สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 112.1 ความรักของตงฟางไป๋ (1) (รีไรท์)
หากชายผู้หนึ่งขยับเข้าใกล้ชิดเรื่อยๆ และยิ่งผ่านไปยิ่งใกล้ คุณคิดว่าเขาอยากทำสิ่งใด
หากชายหนุ่มหล่อเหลาทำให้คลั่งไคล้ พลันโน้มตัวเข้ามาหาคุณอย่างช้าๆ คุณจะรู้สึกใจเต้นหรือไม่
เล่อเหยาเหยาตอนนี้ มองใบหน้าโดดเด่นเหนือใครของชายหนุ่มตรงหน้าที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้เธอ
มือใหญ่ที่เรียวยาวนั้นของเขา ค่อยๆ ยื่นออกมาบนใบหน้าเธอ ทำให้ตกตะลึงเพียงเล็กน้อย ทว่าไม่ได้คิดสิ่งใดมาก
กระทั่งมือใหญ่ของชายหนุ่ม พลันหยุดที่ศีรษะของเธอ ทันใดนั้นก็ยกมือออกมาอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ น้องเหยาบนศีรษะของเจ้ามีเศษหญ้า!”
“โอ เช่นนี้เองหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ จึงมองเศษหญ้าในมือเรียวยาวของเขา เล่อเหยาเหยาเพียงยิ้มมุมปากให้กับตงฟางไป๋
รอยยิ้มนั้นไร้เดียงสา หวานหยดย้อย
แต่เธอกลับไม่รู้ แม้ในใจของเธอจะไม่ได้รู้สึกรักชายหนุ่มตรงหน้าใดๆ ทั้งสิ้น ทว่ากลับไม่ได้รวมถึงบางคน
เมื่อเห็นรอยยิ้มดุจบุปผาของคนตัวเล็ก ตงฟางไป๋รู้สึกเพียงหัวใจของตน คล้ายถูกบางอย่างพุ่งชนอย่างรุนแรง ในใจทะลักความคุ้นเคยที่แปลกใหม่ขึ้นมา คล้ายหัวใจห้องบนพลันมีบางสิ่งหยั่งรากลึกลงไป เติบโตขึ้น
แต่เขากลับไม่รู้ว่าความรู้สึกแปลกใหม่นี้คือสิ่งใด และยิ่งไม่รู้ว่าเวลานี้สายตาของเขาที่มองเล่อเหยาเหยา ดูทะนุถนอม หลงใหลมากที่สุด
เขาไม่รู้ว่าสิ่งพวกนี้ กลับตกอยู่ในสายตาของคนบางคนทุกอย่าง และคนผู้นั้นคือ…
“ไป๋!”
เสียงเรียกที่สดใสดังขึ้น ตงฟางไป๋ที่เดิมทีมองเล่อเหยาเหยาอย่างหลงใหล จึงพลันได้สติ ก่อนจะหันไปมองที่มาของน้ำเสียงนั้นพร้อมกับเล่อเหยาเหยา
เห็นเพียงหนานกงจวิ้นซีที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ด้านหลังของพวกเขาตั้งแต่เมื่อใด
“หนานกงจวิ้นซีหรือ” ตงฟางไป๋เห็นหนานกงจวิ้นซีที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกตนมีสีหน้าตะลึง เล่อเหยาเหยาด้านข้างก็กระพริบตาครู่หนึ่งอย่างแปลกใจ
“เอ่อ”
เป็นเด็กน่าตายผู้นั้น!
เขามาได้เช่นไร
สำหรับองค์ชายเจ็ดผู้นี้ เล่อเหยาเหยาไม่เคยรู้สึกดีต่อเขาเลย
ดังนั้น หลังจากเห็นหนานกงจวิ้นซีปรากฏตัวขึ้น เพียงน้อมกายคารวะ พลันเบือนหน้าออกไปไม่มองเขาเลย
เดิมคิดว่าครั้งนี้ หนานกงจวิ้นซีจะมาหาตงฟางไป๋ คิดไม่ถึง กลับได้ยินหนานกงจวิ้นซีพลันเอ่ยขึ้นว่า
“ไป๋ เจ้าจะกลับโรงหมอแล้วหรือ! ดีเลย ข้ามีเรื่องจะคุยกับบ่าวผู้นี้”
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี ตงฟางไป๋และเล่อเหยาเหยาต่างมีแววตาประหลาดใจ แต่สุดท้ายตงฟางไป๋ยังพยักหน้าให้หนานกงจวิ้นซี พลางเอ่ยขึ้นว่า
“เช่นนั้นก็ดี ข้าขอตัวกลับก่อน พวกท่านคุยกันเถิด”
ตงฟางไป๋เอ่ยอย่างสุภาพ พยักหน้าบอกลาเล่อเหยาเหยา จากนั้นก็หมุนกายเดินจากไป
สายลมตอนกลางคืนพัดเอื่อย โชยมาที่ร่างกายขาวผ่องของเขา เสื้อผ้าปลิวไสว ผมยาวด้านหลังพริ้วไสวขึ้นอย่างงดงาม
เมื่อรวมเข้ากับพระอาทิตย์ตกดินด้านหลัง ทำให้เขาดูคล้ายเทพเซียนที่ขี่ลมกลับไป เล่อเหยาเหยาที่เห็นจึงดวงตาเป็นประกายอย่างตกตะลึง
กระทั่ง เงาร่างของตงฟางไป๋หายลับไปจากสายตาของเธอ เล่อเหยาเหยาจึงค่อยๆ ได้สติ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแหบพร่ากัดฟันกรอดดังขึ้นข้างหู
“เจ้ามองพอหรือยัง!”
ตอนนี้หนานกงจวิ้นซีโมโห ในใจไม่พอใจอย่างมาก
บ่าวน่าตายนี้ ชอบทำให้เขาโมโหง่ายดายเสียจริง
ไม่รู้สึกเลยหรือ! ว่าเขายืนอยู่ตรงนี้เป็นนาน แต่สายตา ‘เขา’ กลับอยู่ที่คนอื่นตลอด หรือเขาเทียบกับชายผู้อื่นไม่ได้ขนาดนั้น!
‘เขา’ มองที่เขาให้นานกว่านี้ มันเสียเวลามากหรือ!
ตรงข้ามกับหนานกงจวิ้นซีที่โมโห เล่อเหยาเหยากลับหันหน้ากลับไปอย่างเกียจคร้าน เมื่อเห็นสีหน้าโมโหของหนานกงจวิ้นซี กลับมีสีหน้าไม่เข้าใจขึ้นมา
องค์ชายเจ็ดน่าตายนี้เกิดบ้าอันใดขึ้นอีก เธอมองของเธอ เขาเสียหายที่ใด! ช่างเข้าใจยากเช่นศิษย์พี่ใหญ่ของเขาเสียจริง!
พอนึกถึงพญายม ในใจเล่อเหยาเหยายิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น
เพราะหลังจากคืนนั้นที่โรงเตี๊ยมหลูอวี้ พญายมมองเธอด้วยสีหน้าเย็นชาตลอด คล้ายกำลังทำสงครามเย็นกับเธอ
เรื่องนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกจนใจ แต่หากคนอื่นชอบโมโหก็ปล่อยให้พวกเขาโมโหไปเถิด เธอไม่สนใจแล้ว
นั่นเท่ากับว่าองค์ชายเจ็ดตรงหน้านี้ก็เช่นกัน!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาหลุบตาลง ไม่มองหน้าหนานกงจวิ้นซีอีก เพียงเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“มิทราบว่าองค์ชายเจ็ดอยากคุยสิ่งใดกับบ่าวหรือ”
น้ำเสียงเล่อเหยาเหยาเรียบเฉย คล้ายไม่กังวล
เห็นเช่นนั้น ในใจหนานกงจวิ้นซียิ่งไม่พอใจ
เพราะเขาพบว่าท่าทีของขันทีน้อยตรงหน้าที่ปฏิบัติต่อเขาและคนอื่น แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
กับตงฟางไป๋ ‘เขา’ พูดจา ยิ้มแย้มต้อนรับ
แต่กับเขา กลับมีท่าทางเย็นชา หรือมีร่องรอยความหงุดหงิด
หลังรับรู้ถึงเรื่องนี้ หนานกงจวิ้นซีอึดอัดใจ จนใจ ทว่าเขากลับไม่สามารถขอให้ผ่ายตรงข้ามทำสิ่งใดได้
หรือว่าจะขอร้องฝ่ายตรงข้ามให้ปฏิบัติต่อเขาเช่นผู้อื่นและอ่อนโยนลง!
เรื่องนี้เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้!
อีกทั้ง เขาก็ยอมเสียหน้าไม่ได้!เขาเป็นถึงองค์ชายเจ็ดผู้สง่างามแห่งแคว้นต้าเซี่ย!จะให้ลดตัวขอร้องขันทีน้อยผู้หนึ่งให้ทำดีกับตนได้อย่างไร!
เขาคงเสียสติถึงทำเช่นนั้น!
หลังคิดถึงเรื่องนี้ หนานกงจวิ้นซีมีสีหน้าบูดบึ้งยิ่งขึ้น แต่ว่าเขากลับไม่ลืมเรื่องที่มาหาบ่าวผู้นี้
หลังจากระงับความไม่พอใจลง หนานกงจวิ้นซีจึงมองใบหน้าเล็กที่ก้มหลุบสายตาของเล่อเหยาเหยา
“ข้ามาที่นี่ เพราะอยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้ากับศิษย์พี่ใหญ่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
ผ่านมาหลายวัน สีหน้าศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่ดีเช่นเดิม เย็นชากว่าเมื่อก่อนยิ่งไปอีก
แม้สีหน้าก่อนหน้านี้ของศิษย์พี่ใหญ่ จะไม่ได้มีสีหน้าที่ดีอันใดเลย แต่หลังจากมาที่นี่ การเปลี่ยนแปลงของศิษย์พี่ใหญ่ เขาเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน
หลังจากคืนนั้นที่โรงเตี๊ยมหลูอวี้ บ่าวผู้นี้กลับมาในสภาพเปียกปอนไปทั้งตัว และตอนสุดท้ายที่เขาเจอศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่กำลังตามหาบางอย่างในแม่น้ำไม่หยุด และท่าทางดูเศร้าโศก ราวกับสัตว์ร้ายที่สูญเสียลูกน้อยไป
และจากน้ำเสียงของศิษย์พี่ใหญ่ เวลานั้นเขาคิดว่าบ่าวผู้นี้จมน้ำเสียชีวิตไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องใดขึ้นกับพวกเขา เขากลับไม่รู้เลยสักนิด รู้เพียงศิษย์พี่ใหญ่คล้ายถูกบ่าวผู้นี้กลั่นแกล้ง ต่อมาศิษย์พี่ใหญ่ก็ทำหน้าเคร่งขรึมมาจนถึงตอนนี้
ดังนั้น เขาจึงแปลกใจกับเรื่องในคืนนั้นอย่างมาก แต่เขาก็รู้ว่าไม่ได้คำตอบจากทางศิษย์พี่ใหญ่แน่ ดังนั้น เขาจึงต้องมาหาขันทีน้อยผู้นี้เพื่อซักถามให้ชัดเจน
แต่เห็นชัดว่าสำหรับความสงสัยของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาเองก็ไม่ได้ให้คำตอบ เพียงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“นั่นคือเรื่องระหว่างบ่าวและท่านอ๋อง หากองค์ชายเจ็ดอยากทราบ คงต้องไปถามท่านอ๋อง”
ทราบดีว่าหนานกงจวิ้นซีเอ่ยถามสิ่งใด แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่อยากตอบ เพราะทุกคนต่างมีเรื่องที่ตนไม่อยากเอ่ยถึง
โดยเฉพาะในคืนนั้น เกิดเรื่องใดขึ้น หรือว่า…
พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น เล่อเหยาเหยายังรู้สึกโมโหในใจ
เพราะเธอเกลียดพวกที่ไม่สนใจความยิมยอมของผู้อื่น บีบบังคับผู้อื่นที่สุด
แม้อีกฝ่ายจะเป็นท่านอ๋องสูงศักดิ์ เธอเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่ง หากเป็นคนอื่น ต้องไม่กล้าต่อต้านเป็นแน่
แต่เธอไม่ใช่คนที่เกิดและโตมาในยุคโบราณ
ภายใต้การสั่งสอนจนอายุสิบแปดปีของเธอ ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งรวยจน ไม่มีคนที่สามารถบังคับให้
เธอทำเรื่องที่ไม่ชื่นชอบได้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นพญายมผู้สูงศักดิ์ !
ดังนั้น เธอจึงรู้ว่าพักนี้พญายมตั้งใจทำหน้าเย็นชากับเธอ แต่จะให้เธอทำเช่นไร อย่างมากต่างคนต่างอยู่ เช่นนี้จึงจะดีที่สุด!
ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยากลับรู้สึกอึดอัดใจ สุดท้ายสีหน้าก็ดูไม่สบอารมณ์
เพราะคำพูดของตนเอง จึงเอ่ยกับหนานกงจวิ้นซีอย่างกระหืดกระหอบว่า
“เมื่อองค์ชายเจ็ดไม่มีเรื่องอื่นรับสั่งแล้ว บ่าวขอตัวก่อน”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ ก็ไม่สนทนากับหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านหลังอีก หมุนตัวเดินจากไป
หนานกงจวิ้นซีโมโหกระทืบเท้าอย่างรุนแรงอยู่ด้านหลัง
“เจ้าบ่าวน่าตายผู้นี้”
แม้หนานกงจวิ้นซีจะโมโหอย่างหนัก เล่อเหยาเหยาก็ไม่สนใจเขา เพียงก้าวเดินจากไป
แต่เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง เธอเห็นของที่ใช้กระดาษน้ำมันห่อไว้บนพื้น นอกจากนี้บนพื้นยังมีเสี่ยวหลงเปาหลายลูกหล่นออกมา
“นี่คือ…”
ผู้ใดทำตกไว้!
และยังอยู่ในตำแหน่งนี้ หรือตอนเที่ยง เธอรู้สึกว่า คงอาจคิดไปเอง!
…
พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งวัน วันประสูติห้าสิบปีของไทเฮา ก็มาถึงในที่สุด
เล่อเหยาเหยาก็ใช้ระยะเวลาสั้นๆ ประมาณสิบวัน พยายามใช้ความรู้จากยุคปัจจุบัน มาใช้ที่นี่
เพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่โรงเรียน เล่อเหยาเหยาเข้าร่วมกิจกรรมด้านการแสดง ช่วยในการเขียนบทละครพวกนี้บ่อยครั้ง ดังนั้นภายในคณะละคร จึงคึกคักขึ้น
กระทั่งหัวหน้าคณะยังชื่นชมเล่อเหยาเหยาบ่อยครั้ง เอ่ยว่าเป็นคนหนุ่มมีพลังน่าเคารพเลื่อมใส!
เรื่องนี้เล่อเหยาเหยาย่อมรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจ และคาดหวังอย่างยิ่งว่า ขณะที่ทุกคนชมการแสดงงิ้วนี้จะชื่นชอบ แม้ละครนี้เธอจะไม่ได้แต่งขึ้นเอง แต่ด้านอุปกรณ์ประกอบฉากและฉากหลัง เธอกลับใช้ความสามารถและแรงกายมากมายลงมือทำอย่างจริงจัง
เพราะเธอพบว่าการแสดงงิ้วของเทียนหยวน อุปกรณ์ประกอบฉากเรียบง่ายเกินไป ดังนั้นจึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีออกมา
เธอจึงลงมือลงแรงด้วยตนเอง กระทั่งวาดอุปกรณ์ประกอบฉากออกมาไม่น้อย เพื่อให้คนนำไปทำ
ดังนั้น ทุกคนจึงเห็นว่าแม้เธอจะเป็นขันทีตัวเล็กๆ แต่กลับมีความสามารถ จึงเริ่มมองเธอใหม่ขึ้น
คืนนี้ในที่สุด ละครงิ้วที่เธอทุ่มเทมาสิบวัน ต้องเริ่มแสดงแล้ว เธอไม่ดีใจถึงจะแปลก!
แต่ภายในสิบวันนี้ เธอเห็นพญายมนับครั้งได้ กลับมีแค่ไม่กี่ครั้งที่เห็นใบหน้าชัดเจน
นอกจากนี้แม้เธอจะพบหน้ากับพญายม พญายมต่างรีบร้อนผ่านเธอไป ไม่หยุดฝีเท้าแม้ก้าวเดียว
และเล่อเหยาเหยาก็รับรู้ได้ว่าพญายมยังโกรธเธออยู่ ดังนั้นจึงยิ่งไม่อยากเห็นเธอ
ไม่รู้เหตุใด ก่อนหน้านี้เห็นชัดว่าเธอไม่อยากไปมาหาสู่กับพญายมใดๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อเผชิญกับความเย็นชาของพญายม ในใจเธอกลับรู้สึกไม่พอใจ
สำหรับความรู้สึกที่ขัดแย้งกันของตนนี้ เล่อเหยาเหยาเองก็ไม่เข้าใจตนเองเช่นกัน