สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 113.1 รูเจาะบนหู (1) (รีไรท์)
เมื่อตงฟางไป๋พูดออกไป ทุกคนในนั้นต่างพากันตกตะลึง
หนานกงจวิ้นซีมองไปตามสายตาของตงฟางไป๋ เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้าง ดวงตาดอกท้อน่ามองนั้นอดเป็นประกายไม่ได้ ก่อนจะปรากฎความตกใจขึ้นมาในแววตา
“ไป๋ ที่เจ้าบอกว่าคนบางคนนั้น คือผู้ใด!”
แม้ในใจจะมีคำตอบ แต่หนานกงจวิ้นซียังเอ่ยถามอย่างไม่ตายใจ
แอบตกใจในใจ
หรือไป๋ก็…
เป็นไปไม่ได้!
สวรรค์!
บ่าวน่าตายนี้ บนร่างมีเสน่ห์ใดกันแน่!
ไม่เพียงศิษย์พี่ใหญ่และตนที่หลงใหล กระทั่งไป๋…
พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีตกใจ และมากที่สุดคือหวาดกลัว
เพราะขันทีน้อยนี้คล้ายทำสงครามเย็นกับศิษย์พี่ใหญ่ สำหรับเขากลับทำท่าทางเย็นชาห่างเหิน แล้วก็ลับฝีปากต่อปากต่อคำกับเขา
แต่กับไป๋ กลับอ่อนโยนอยู่ตลอดเวลา
หรือไม่ใช่แค่เพียงไป๋ที่มีความรู้สึกดีๆ กับขันทีน้อยนี้ แม้กระทั่งขันทีน้อยนี้เองก็…
พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีอดขมวดคิ้วน่ามองเป็นปมไม่ได้ สายตาที่มองเล่อเหยาเหยาก็แฝงด้วยความโมโห สีหน้าพลันเบื่อหน่ายขึ้นมา
สำหรับสายตาโมโหของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยามีท่าทีแปลกใจอย่างมาก
และไม่รู้เหตุใด เมื่อเห็นสายตาที่หนานกงจวิ้นซีมองมายังตน คล้ายตนคือหญิงสาวที่ออกไปมีชู้นอกบ้าน แล้วถูกสามีจับได้ ไม่ผิด!องค์ชายเจ็ดนี้กินยาผิดแน่นอน!
ฮึ! ไม่สน!
เล่อเหยาเหยาเบือนหน้าออกไป ไม่มองใบหน้าไม่พอใจของหนานกงจวิ้นซีอีก แต่มองหน้าหล่อเหลางามล้ำของตงฟางไป๋แทน
อืม สิ่งที่ทำให้สบายใจยามเช้าตรู่ ยังคงเป็นใบหน้าสุภาพอ่อนโยนตรงหน้านี้
ไม่เหมือนพญายมที่เย็นชาโอหัง ไม่เหมือนหนานกงจวิ้นซีที่อารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าตรงหน้านี้
สบายตาสบายใจ น่ามองคล้ายจะมองเช่นไรก็มองไม่พอ
และเมื่อครู่ความหมายในคำพูดของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาก็เข้าใจ จึงอดดีใจไม่ได้
ฮา ฮา พี่ไป๋มาเพื่อเธอโดยเฉพาะ!
ดีใจจริงๆ!
ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยายิ่งชื่นใจ
ริมฝีปากยิ้ม หน้าตาผ่อนคลาย เล่อเหยาเหยายิ้มอย่างสดใสงดงามให้กับตงฟางไป๋
ทำให้ตงฟางไป๋ที่เห็น ยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้น
แต่ขณะที่เล่อเหยาเหยาและตงฟางไป๋ยิ้มให้กันอยู่นั้น กลับไม่รู้ตัวว่ามีดวงตาเย็นชาแคบยาวล้ำลึกคู่หนึ่ง กำลังมองสีหน้าทั้งหมดของพวกเขาอยู่
มือใหญ่ที่วางอยู่ใต้โต๊ะคู่นั้น ค่อยๆ กำหมัดแน่นขึ้น
….
หลังทานอาหารเช้าเสร็จ รถม้าก็เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ดังนั้นพวกพญายมพลันมาถึงหน้าประตูวังอ๋อง
เห็นเพียงประตูหน้าของวังอ๋อง ได้มีรถม้าหรูหราคันหนึ่งหยุดรออยู่
รถม้าแปดมงคล ด้านบนประดับด้วยหินล้ำค่าสีแดงเม็ดใหญ่
ใต้แสงอาทิตย์เรืองรอง จึงเปล่งประกายแวววาวสะดุดตา ล้ำค่าน่าเกรงขาม
รถม้าสวยหรูเช่นนี้ ก็มีเพียงคนที่มีสถานะสูงศักดิ์เช่นพญายมจึงจะนั่งได้
เมื่อเล่อเหยาเหยาตกตะลึงกับฐานะของคนร่ำรวย พวกเขาสามคนก็ได้กระโดดเข้าไปด้านในรถม้าแล้ว
ตามเหตุผลแล้ว บ่าวเช่นเธอ ไม่มีคุณสมบัติขึ้นไปนั่งบนรถม้า ต้องเดินเท้าเพียงเท่านั้น
ดังนั้นหลังจากเห็นพวกพญายมกระโดดขึ้นรถม้าไป เล่อเหยาเหยาจึงยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างรถม้า เตรียมพร้อมเดินทางไปยังวังหลวง
ถึงแม้เดินเท้าจากที่นี่จนถึงวังหลวงจะไม่ไกลเกินไป ทว่าเท้าเล็กของเธอคงเมื่อยล้าแน่
โดยเฉพาะพักนี้เธออาจทำงานหนักเกินไป จึงมักอยากนอน และง่วงนอนง่ายเป็นพิเศษ
อาจเป็นเพราะหลายวันมานี้ เพื่อเรื่องคณะละคร เธอจึงเหนื่อยล้ามาก
รอให้งานวันประสูติของไทเฮาจบลง เธอต้องกลับไปนอนเพิ่มพลังงานถึงจะดี
ขณะที่เล่อเหยาเหยาคิดในใจ ม่านบนรถม้าที่เดิมทีห้อยย้อยลงมา พลันถูกมือใหญ่เรียวยาวขาวผ่องเลิกขึ้นจากด้านใน
ตามมาด้วยเสียงเข้มประณีตของตงฟางไป๋ดังขึ้น
“น้องเหยา ใยไม่รีบขึ้นรถ”
“เอ่อ”
ขึ้นรถหรือ!
เธอนั่งได้หรือ!
อาจเพราะรู้ถึงความในใจของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋จึงยิ้มอย่างงดงามพลางเอ่ยขึ้นว่า
“น้องเหยารีบขึ้นมาเถิด ที่นี่ห่างจากวังหลวงไม่น้อย เจ้าคงไม่คิดจะเดินไปหรอกนะ ในนี้ยังมีที่นั่ง!”
หลังได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ และมองรอยยิ้มอ่อนโยนถูกใจของเขาอีกครั้ง เห็นชัดถึงความงดงามอันโดดเด่น ทำให้คนที่เห็นเคลิบเคลิ้มหลงใหล
แต่ว่าเล่อเหยาเหยายังคำนึงถึงสีหน้าของพญายมที่นั่งเงียบอยู่บนรถม้า
เห็นเพียงพญายมที่นั่งอยู่ภายใน กำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่เงียบๆ สำหรับคำพูดของตงฟางไป๋ เขาไม่ได้แสดงท่าทีใดออกมา
ไม่มีความเห็น แสดงว่ายอมรับไม่ใช่หรือ!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันดีใจ
เพราะเธอไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้เมื่อสามารถนั่งรถม้าได้ หากไม่นั่ง เธอต้องเดินไปยังวังหลวงอีกไกลมิใช่หรือ!
เล่อเหยาเหยาพลันเอ่ยยิ้มกับตงฟางไป๋ว่า
“ขอรับ”
เอ่ยจบ คิดใช้มือเท้าปีนขึ้นไปบนรถม้า
เพราะเธอแขนขาสั้นเล็ก รถม้านี้สูงมาก อยากขึ้นไปจำเป็นต้องปีนขึ้นไป
ขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังคิดจะปีนขึ้นรถม้า มือใหญ่เรียวยาวขาวผ่องกลับปรากฎขึ้นมาตรงหน้าเธอ
มือคู่นี้ น่ามองยิ่งนัก
ผิวขาวผ่อง เห็นข้อกระดูกชัด นิ้วมือเรียวยาว กระทั่งเล็บยังถูกตัดอย่างเรียบร้อย
และปลอกเล็บนั้น ใต้แสงอาทิตย์เรืองรองนั้น เกิดเป็นแสงอ่อนโยนหวานล้ำ น่ามองชวนหลงใหลอย่างยิ่ง
ดุจงานศิลปะภายในพิพิธภัณฑ์
นอกจากมือใหญ่น่ามองเรียวยาวนี้ ยังมีเสียงดังดุจหยกของตงฟางไป๋ดังขึ้นมา
น้ำเสียงนั้น อ่อนโยนดุจเสียงไผ่กลางหุบเขา สูงส่งดังเมฆลอยสูงเหนือยอดเขา สุภาพอ่อนโยน สงบและละมุน
“มา ข้าช่วยดึงเจ้าขึ้นมา”
“ขอรับ”
เมื่อได้ยินเสียงดุจเสียงจากสวรรค์ของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาอดพยักหน้าไม่ได้ จากนั้นก็ยื่นมือเล็กของตนไปหาเขา
ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋เมื่อจับมือเล็กขาวใสของเล่อเหยาเหยา ดวงตาเย็นชาน่ามองเกินไปอดเป็นประกายครู่หนึ่งไม่ได้
แม้บนใบหน้าจะมีรอยยิ้มส่งางามเช่นเดิม แต่ในใจกลับสั่นระรัวไม่หยุด
มือเล็กมาก!
นุ่มนิ่ม เล็กกะทัดรัด และผิวยังเนียนหมดจด นี่คือมือของบุรุษจริงหรือ!
ตงฟางไป๋สงสัยในใจ
เล่อเหยาเหยาไม่รู้ความคิดในใจตงฟางไป๋ เพียงอาศัยความช่วยเหลือของตงฟางไป๋ สามารถเข้ามาในรถม้าอย่างรวดเร็ว
ดวงตางามกวาดไปรอบๆ
เห็นเพียงภายในรถม้านี้กว้างขวางอย่างมาก
ด้านในยังสามารถวางโต๊ะหนังสือไม้เนื้อแข็งได้ตัวหนึ่ง
มีหนังสือและพู่กันจานหมึกวางอยู่ด้านบน เดาว่าปกติพญายมตอนเข้าวังหลวง ก็ไม่ลืมงานราชการ
นอกจากโต๊ะไม้เนื้อแข็งนั้น ตรงกลางยังมีโต๊ะเล็กวางอยู่
ด้านบนโต๊ะวางพวกเครื่องชาและขนมผลไม้ไว้
จริงอย่างที่คิด ฮ่องเต้และชนชั้นสูงถึงจะสามารถเสพสุพเช่นนี้ได้ ภายในหรูหราอย่างกับห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
และเวลานี้ พญายมกับองค์ชายเจ็ดนั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน ส่วนตรงข้ามพวกเขามีเพียงตงฟางไป๋นั่งอยู่
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาจึงเดินไปนั่งลงข้างตงฟางไป๋
หลังจากทุกคนนั่งเรียบร้อยแล้ว รถม้าก็เคลื่อนออกไปด้านหน้า
ส่วนเล่อเหยาเหยาหลังนั่งลงบนรถม้า สายตาของพญายมก็ไม่มองตัวเธอเลย ทำเพียงอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบๆ คล้ายภายในหนังสือมีบางอย่างดึงดูดความสนใจเขาไว้
ตรงข้ามกับพญายมที่นิ่งเงียบ หนานกงจวิ้นซีที่นั่งอยู่ข้างกายเขา ก็นั่งหาวอยู่ข้างๆ หลังหาวเสร็จ ก็มองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างอย่างเบื่อหน่าย
ขณะเล่อเหยาเหยากวาดมองสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอเงียบๆ หูกลับพลันได้ยินเสียงเข้มดึงดูดของตงฟางไป๋ขึ้นว่า
“น้องเหยา เจ้าหิวหรือยัง กินขนมพวกนี้รองท้องหน่อยเถิด!”
“เอ่อ ไม่เป็นไร”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยว่าไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ในคนจำนวนสี่คนนี้ ฐานะเธอต่ำต้อยที่สุด คุณชายตรงหน้ายังไม่แตะต้องขนมพวกนี้ เธอจะกล้าทานเช่นไร นั่นมิใช่เกินงามไปหรือ!
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ คิดไม่ถึง ตงฟางไป๋จะนำขนมในจานบนโต๊ะนั้นยื่นส่งมาต่อหน้าเธอ ยิ้มพลางเอ่ยว่า
“กินเถอะ น้องเหยาไม่ต้องมากพิธี”
“พี่ไป๋ ไม่เป็นไรจริงๆ เอ่อ”
เดิมทีเอ่ยปฏิเสธ แต่เมื่อเล่อเหยาเหยาเห็นขนมประณีตตรงหน้าใกล้ๆ กลับอดกลืนน้ำลายไม่ได้
นี่มันขนมดอกกุ้ยฮวา!
ที่เธอชอบทานที่สุด!
สวรรค์รู้ว่าเธอชอบทานที่สุด คือขนมที่อบทุกวัน และเห็นชัดว่าเมื่อครู่เพิ่งกินหมั่นโถวไปสองลูกใหญ่ โจ๊กหนึ่งถ้วยใหญ่ ตอนนี้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เมื่อเห็นขนมน่าทานตรงหน้านี้ ท้องของเล่อเหยาเหยาเริ่มประท้วงขึ้นอีกครั้ง
เสียง ‘จ๊อกๆ’ ดังออกมาจากท้องเธอไม่หยุด ทันใดนั้น เล่อเหยาเหยามีสีหน้าเก้อเขิน พลันยิ้มอย่างละอายใจ แต่เธอก็ไม่คิดลงโทษท้องของตน
เมื่อหิว แน่นอนว่าต้องเติมเข้าไปให้เต็มท้องถึงจะถูกต้องตามหลักของเต๋า!
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงไม่ปฏิเสธความหวังดีของตงฟางไป๋ พลันยื่นมือรับขนมดอกกุ้ยฮวามา จากนั้นก็กัดคำใหญ่
“ฮืม อร่อยมาก!”
เล่อเหยาเหยาพลางกินขนมดอกกุ้ยฮวาที่หอมหวานนั้น พลางชื่นชมอย่างใหญ่โต
แต่ที่เธอพูดคือความจริง ขนมดอกกุ้ยฮวานี้หวานไม่มาก อร่อยมากจริงๆ
เล่อเหยาเหยาหลังทานขนมดอกกุ้ยฮวาชิ้นนั้นหมด เห็นตงฟางไป๋กลับไม่ได้ทานขนมดอกกุ้ยฮวานั้น จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยว่า
“พี่ไป๋ ขนมดอกกุ้ยฮวานี้อร่อยมากนะ ท่านก็ลองทานสักชิ้นเถิด!”
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ทานของหวาน”
สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋เพียงส่ายหน้า ยิ้มจางๆ ให้
“ท่านไม่กิน เช่นนั้นองค์ชายเจ็ด ท่านอ๋อง พวกท่านก็ลองชิมสักชิ้นเถิด ขนมดอกกุ้ยฮวานี้ไม่เลวเลย!”
เพราะทานของเขา เล่อเหยาเหยาจึงต้องเรียกสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
แต่เมื่อเธอเพิ่งเอ่ยจบลง กลับเห็นหนานกงจวิ้นซีที่นั่งอยู่ตรงข้าม หลังได้ยินคำพูดของเธอ ก็ก้มหน้าลงมองจานขนมดอกกุ้ยฮวาตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับขมวดคิ้ว เผยท่าทางรังเกียจออกมา ก่อนเอ่ยว่า
“ข้าก็ไม่ชอบกินของหวาน”
“เอ่อ”
ไม่กินก็ไม่กิน ยังทำท่าทางรังเกียจเช่นนี้ออกมาอีก มองก็รู้ว่าเป็นพวกเลือกกินคนหนึ่ง