สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 115 ถูกจับหน้าอกอีกครั้ง (รีไรท์)
น้ำเสียงดุจแดดจ้าในเดือนสาม อบอุ่นและอ่อนโยน ดังออกมาจากปากของตงฟางไป๋
รวมทั้งรอยยิ้มงดงามนั้นของเขา คล้ายกับลำธารไหลรินซู่ซ่าเข้ามาในใจเธอ ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ และอบอุ่นอย่างมาก
ความรู้สึกนั้น เพียงคนที่ใกล้ชิดกับเธอเท่านั้น จึงจะมีได้!
นั่นคือความรู้สึกของครอบครัว!
เล่อเหยาเหยาไม่รู้ แต่เธอกลับรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้า คิดดีกับเธอจากใจจริง!
ต่อไปเธอต้องปฏิบัติต่อเขาดังเช่นพี่ชาย เขาคือพี่ชายของเธอ!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดหัวเราะทั้งน้ำตาไม่ได้ ท่าทางยิ้มแย้มอย่างพอเหมาะนั้น งดงามดุจบุปผา สวยเกินคำบรรยาย!
สำหรับรอยยิ้มดุจบุปผาของเล่อเหยาเหยานั้น ทำให้ตงฟางไป๋ตกตะลึงอย่างหนัก
นัยน์ตาเรียวยาวที่มองเล่อเหยาเหยา ปรากฏความตกตะลึง เคลิ้มเคลิ้มขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ใจที่ควบคุมไม่อยู่ อดไม่ได้ที่จะถูกเธอดึงดูดเอาไว้ ปลุกเร้าความรู้สึกในใจขึ้นมา
สายตาบ่งบอกความในใจของตงฟางไป๋ ทำให้เล่อเหยาเหยาที่ไม่เคยมีความรักไม่อาจรับรู้ได้
เธอรู้เพียงตงฟางไป๋อ่อนโยนและดีกับเธอ เป็นพี่ชายแสนดีคนหนึ่ง
แต่เธอไม่รู้ก็คือเธอและตงฟางไป๋ คนหนึ่งยิ้มแย้มดุจบุปผา คนหนึ่งสายตาบ่งบอกความในใจออกมา ภาพนี้ในสายตาของสองคนที่อยู่ตรงข้าม จะเป็นเรื่องที่ขัดหูขัดตามากเพียงใด
ทันใดนั้น หนานกงจวิ้นซีมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น และหยุดกินขนมดอกกุ้ยฮวาลง
เพราะไม่รู้เหตุใด ขนมดอกกุ้ยฮวาที่กินเข้าไปจึงเปลี่ยนไปเปรี้ยวจี้ดขึ้นมา ทำให้เขากินไม่ลง
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ด้านข้าง แม้จะไม่พูดสิ่งใดออกมา เพียงจิบชาอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา แต่หากมองให้ดีจะเห็นว่ามือใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อของเขากำแน่น จนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
ส่วนเล่อเหยาเหยาและตงฟางไป๋มองตาและยิ้มให้กัน ไม่รู้สบตากันนานเพียงใด กระทั่งรถม้าที่วิ่งเอื่อยๆ ชนเข้ากับบางสิ่ง รถม้าพลันโคลงเคลงครู่หนึ่ง
เพราะเล่อเหยาเหยาไม่ได้คาดคิดว่ารถม้าที่วิ่งเอื่อยๆ จะพลันโคลงเคลง ดังนั้น เธอจึงไม่ได้ตั้งตัว ร่างกายพลันพุ่งไปข้างหน้าอย่างรุนแรง
และหนานกงจวิ้นซีที่นั่งอยู่ด้านหน้าเธอเห็นเข้า ใบหน้าหล่อเหลาที่เบื่อหน่ายพลันตกตะลึง ในใจรู้สึกดีใจขึ้นมา
เห็นว่าเล่อเหยาเหยาโผเข้ามาที่ตน หนานกงจวิ้นซีกางแขนขึ้นทันที คิดรับเล่อเหยาเหยาเอาไว้
แต่สุดท้าย กลับมีบางคนที่รวดเร็วกว่าเขา
เห็นเพียงชายหนุ่มด้านข้างยื่นแขนออกมา รับตัวเล่อเหยาเหยาไว้อย่างแม่นยำ
และมือของผู้นั้น ยังจับเข้าที่หน้าอกของเล่อเหยาเหยาอีกครั้งพอดี
“เอ่อ”
ทันใดนั้นดวงตาสองคู่จ้องมองกัน
ดวงตางดงามสบเข้ากับดวงตาเย็นชา
คนหนึ่งสับสน อีกคนเย็นชา
ทันใดนั้นจากนั้น
คนหนึ่งสีหน้าขวยเขินตกตะลึง คนหนึ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนเช่นเดิม
คนหนึ่งน้ำตานองหน้า คนหนึ่งเตลิดเปิดเปิง
เล่อเหยาเหยาตะโกนในใจ มารดามันเถอะ จับหน้าอกเธออีกแล้ว!
เหลิ่งจวิ้นอวี๋พูดในใจว่าหน้าอกราบเรียบ รูปร่างเล็กผอมเกินไป ต้องบำรุง!
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาและเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงสบตากัน ต่างคนต่างใจ และสายตาของสองคนที่เหลือที่มองพวกเขาตะลึงเล็กน้อย แววตาดูคลุมเครือ
กระทั่งเสียงนอบน้อมของบ่าวชายที่ขับรถม้าดังขึ้นจากด้านนอก เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงปล่อยมือที่จับหน้าอกของเล่อเหยาเหยาออก
“ทูลท่านอ๋อง องค์ชายเจ็ด ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
เมื่อได้ยิน เหลิ่งจวิ้นอวี๋ขานรับเบาๆ
หนานกงจวิ้นซีพลันเลิกม่านแล้วกระโดลงจากรถม้าเป็นคนแรก ตามมาด้วยเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ต่อมาคือตงฟางไป๋ สุดท้ายจึงเป็นเล่อเหยาเหยา
เมื่อเล่อเหยาเหยาเลิกม่านออก คิดจะกระโดดลงไปเช่นพวกตงฟางไป๋ พลันมีมือใหญ่เรียวยาวยื่นมาตรงหน้า
“น้องเหยา ข้าประคองเจ้าเอง!”
“เอ่อ ไม่…”
เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาอยากส่ายหน้าปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มสง่านุ่มลึกของตงฟางไป๋ เธอจึงไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ กลับยิ้มมุมปากพลางเอ่ยขึ้นว่า
“ขอรับ”
เอ่ยจบ มือเธอก็วางลงที่มือของตงฟางไป๋ จากนั้นก็ถูกประคองลงจากรถม้า
หลังจากทั้งสองยิ้มให้แก่กัน เล่อเหยาเหยาเบือนหน้ามองไปสำรวจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ารอบๆ
เมื่อเห็นพระราชวังอันยิ่งใหญ่ตรงหน้า ยังตกตะลึงไปชั่วขณะ
นี่คงเป็นวังหลวงของแคว้นเทียนหยวน ช่างโอ่อ่าเสียจริง!
เพียงทอดสายตาไป เห็นกำแพงแดงสูงใหญ่นั้น ล้อมรอบไปทั่ววังหลวง ประตูวังขนาดสิบกว่าเมตรนั้น แสดงความโออ่าและเคร่งขึมออกมาอย่างไม่รู้จบ!
ดวงตางดงามไม่กระพริบ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาในวังหลวง!จะพลาดสิ่งต่างๆ ไปได้เช่นไร หากวันหน้าเธอกลับไปยังศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ไม่ว่าอย่างไรยังสามารถป่าวประกาศเรื่องเหล่านี้ได้!
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ หลังจากพวกเหลิ่งจวิ้นอวี๋ปรากฏตัว ด้านหน้าก็มีขันทีวัยกลางคนรีบหัวเราะเข้ามาต้อนรับ จากนั้นก็น้อมตัวทักทาย ก่อนนำพวกเล่อเหยาเหยาเดินเข้าไปภายในวังหลวง
ระหว่างทาง เล่อเหยาเหยาไม่ลืมสำรวจทิวทัศน์รอบกาย
ไม่แปลกที่เป็นวังหลวง เพราะทิวทัศน์ล้วนถูกตกแต่งไว้อย่างโอ่อ่าตระการตา!
พระราชวังเรืองรอง ตกแต่งอย่างหรูหรา สูงตระหง่านใหญ่โต สูงต่ำเรียงรายกันอย่างสวยงาม
ด้านบนตำหนักปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลืองสลับกับสีเขียว
เวลานี้เป็นเวลาเช้าตรู่ พระอาทิตย์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า สาดส่องแสงงดงามออกมา ทำให้กระเบื้องเคลือบสีเหลืองทอประกายสีทองสว่างไสว!
แต่ละชั้นของพระราชวัง ผู้คนภายในวิ่งไปมา ด้วยท่าทางมีระดับ เห็นถึงความน่าเกรงขามของราชวัง!
สุดท้ายพวกเล่อเหยาเหยาถูกขันทีนำทางพามาที่ตำหนักหลงเทียน!
ตำหนักหลงเทียน มีพื้นที่กว้างใหญ่ ภายในตกแต่งอย่างตระการตา ชายคาทั้งสูงและใหญ่ บันไดทำด้วยหินอ่อนสีขาว
มีเหล่าองครักษ์ด้านนอก ระยะห้าก้าวมีองครักษ์คนหนึ่ง สิบก้าวมีกลุ่มหนึ่ง หอกเกราะอยู่ไม่ห่างมือ
หลังเข้ามาในตำหนักหลงเทียน เล่อเยาเหยาทอดสายตามองไปรอบๆ เห็นเพียงตำหนักหลงเทียนที่สว่างเรืองรองแห่งนี้ เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แขกแน่นขนัดจนไร้ที่นั่ง คึกคักด้วยเสียงผู้คน
เพราะตอนนี้ฮ่องเต้และไทเฮาไม่อยู่ ดังนั้นทุกคนจึงไม่รักษาท่าที พูดคุยกัน จับกลุ่มสมาคมกันไม่หยุด…
ยังมีเหล่าสตรีจากครอบครัวขุนนาง ที่จับกลุ่มหัวเราะยิ้มแย้มกัน
พอเหลิ่งจวิ้นอวี๋ปรากฏตัว ทุกคนที่เห็นต่างพากันเข้ามาเคารพและทักทาย แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับเพียงพยักหน้าเบาๆ แสดงท่าทีเย็นชาออกไป
ทว่าทุกคนต่างคล้ายชินชากับรุ่ยอ๋องที่เป็นเช่นนี้ หลังพูดคุยไม่กี่ประโยค เห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋สีหน้าเย็นยะเยือก ไม่สนใจ ก็ค่อยๆ ถอยตัวออกไป
หนานกงจวิ้นซี ที่เป็นองค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นต้าเซี่ย เพราะครั้งนี้เขาหนีมาที่นี่เพราะหนีการอภิเษกสมรส และไม่อยากถูกคนรู้เข้า เดิมทีวันนี้คือวันประสูติกาลของไทเฮา เขาจึงไม่อยากมาเข้าร่วม
แต่เขาก็ยังมา เพราะเขาแปลกใจอย่างมากว่า ขันทีน้อยที่มั่นใจในตนเองเช่นนี้ มีความสามารถอันใดที่จะทำให้ไทเฮาเบิกบานใจได้
พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซี อดหันไปแอบมองขันทีน้อยที่มองสำรวจรอบด้านไม่หยุดอยู่ด้านหลังนั้นไม่ได้
เห็นเพียงนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่‘เขา’มาที่วังหลวง บนใบหน้างดงามนั้นเต็มไปด้วยความแปลกใจและตกตะลึง ทว่าน่ารัก
เมื่อเห็นเช่นนั้น หนานกงจวิ้นซียิ้มมุมปาก ดวงตาดอกท้อพลันอ่อนโยนลง
เล่อเหยาเหยาไม่รู้หนานกงจวิ้นซีกำลังแอบมองตน เพราะมัวแต่มองสำรวจรอบด้านไม่หยุด
สุดท้ายหลังพวกเหลิ่งจวิ้นอวี๋นั่งลง เธอจึงทำตัวเรียบร้อยปรนนิบัติอยู่ด้านหลังพวกเขา
เห็นเพียงเวลานี้ ใกล้จะเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ภายในตำหนักหลงเทียน ผู้คนเดินขวักไขว่ วุ่นวายด้วยเสียงผู้คน ดูคึกคักอย่างยิ่ง
และเล่อเหยาเหยาสังเกตเห็นว่า แม้พญายมจะมีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี
ด้านดี เขามีผลงานโดดเด่น วรยุทธไร้เทียมทาน เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ทำให้ผู้คนคนเลื่อมใส
ด้านไม่ดี นิสัยโหดเหี้ยมเย็นชา เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเขา ทำให้คนยากที่จะเข้าใจ และเกลียดชังสตรี
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ หลังจากพญายมปรากฎตัวขึ้นในตำหนัก เหล่าคุณหนูสูงศักดิ์ที่แต่งกายงดงามในงาน ต่างส่งสายตามาทางนี้ไม่หยุด
ทว่าไม่เพียงพญายมที่ถูกเหล่าคุณหนูส่งสายตาให้ กระทั่งหนานกงจวิ้นซีและตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้างก็ถูกเหล่าคุณหนูจ้องมองเช่นกัน
ทว่านี่ก็ไม่แปลก เพราะชายหนุ่มสามคนอย่างเช่นพญายม หนานกงจวิ้นซี และตงฟางไป๋ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอก หรือกลิ่นอาย ต่างหายากในโลกใบนี้
ดังเช่น พญายมที่สวมเสื้อคลุมพญางูสูงค่านั้น ที่ไม่ว่าผู้ใดจะสามารถสวมได้บนร่างกาย
หากเป็นผู้อื่นสวมใส่ เป็นเพียงเสื้อคลุมมังกรตัวหนึ่ง ไม่เหมือนการปรากฎตัวขององค์ชาย
แต่เมื่อสวมลงบนตัวพญายม กลับพลันรู้สึกว่าสูงส่งและสง่างาม
เพราะกลิ่นอายผู้นำที่ออกมาจากตัวเขา และกลิ่นอายเย็นชาที่แผ่กระจายออกมาเวลานี้ ทำให้คนที่เห็นต่างอดใจยอมสยบแทบเท้าเขาไม่ได้
แม้หน้าตาจะดูเย็นยะเยือก แต่ใบหน้ามีเสน่ห์นั้น กลับงดงามคล้ายดอกฝิ่นที่กำลังเบ่งบานยามค่ำคืน แฝงความเย้ายวนที่อันตราย ชวนหลงใหล!
ตรงข้ามกับความเย็นยะเยือกดุจน้ำค้างของพญายม หนานกงจวิ้นซีที่นั่งอยู่ด้านข้างเขา กลับแต่งตัวอย่างสดใสหล่อเหลา
ชายหนุ่มผู้อาจหาญ โดดเด่นเหนือผู้ใด หน้าตาหล่อเหล่า รูปลักษณ์โดดเด่น และความดื้อรั้นบนใบหน้า ทำให้เขาดูสง่ากว่าผู้อื่นหลายส่วน
คล้ายม้าป่าแสนพยศ!
ส่วนตงฟางไป๋ กลับอ่อนโยนนุ่มนวล ท่าทางสง่างาม บุคลิกดูไม่ธรรมดา รูปโฉมงดงามดุจเทพเซียน แม้ทุกคนจะไม่รู้ถึงสถานะของเขา แต่จากบุคลิกมองออกว่า เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!
ดังนั้น เมื่อพวกพญายมปรากฏตัวขึ้นในตำหนักหลงเทียน สายตาของหญิงสาวทุกนาง ต่างตกอยู่บนตัวพวกเขา จากนั้นก็เอนเอียงเข้ากระซิบกระซาบกันอย่างตื่นเต้นดีใจ
แม้เล่อเหยาเหยาจะไม่ได้มีหูที่ยอดเยี่ยม แต่เสียงพูดคุยและสายตาที่มองของคนพวกนั้น รวมถึงเสียงตื่นเต้นดีใจ กลับดังเข้ามาที่หูของเธออย่างไม่มีตกหล่น
“สวรรค์! นั่นรุ่ยอ๋องใช่หรือไม่! รูปโฉมหล่อเหลายิ่ง!”
“ใช่แล้ว เพียงแต่คล้ายรุ่ยอ๋องจะนิสัยโหดเหี้ยม สังหารคนราวผักปลา แต่ชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้ เย็นชาทว่าน่าหลงใหล!”
“ใช่ ”
“ทว่าคุณชายสองท่านข้างกายรุ่ยอ๋องรูปโฉมหล่อเหลายิ่ง เหตุใดข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน!”
……………………………….