สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 128.2 รอยฟันบนหน้าอก (2) (รีไรท์)
เล่อเหยาเหยาเมื่อได้ยิน ดวงตาคู่งามเป็นประกาย ก่อนเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“เพียงเท่านี้หรือ!”
“ทั้งหมดเป็นเช่นนี้”
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยามีน้ำเสียงไม่แน่ใจ เสี่ยวมู่จื่อคิดเพียงเธอยังคงหวาดกลัว จึงเอ่ยอย่างมั่นใจขึ้น
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ดวงตาคู่งามกวาดมองชั่วขณะ เห็นภายในห้องนอกจากผ้าปูเตียงที่ถูกผลัดเปลี่ยนของเธอ เสื้อผ้าที่เธอสวมยังเป็นตัวเดิมเมื่อคืนนี้
คิดดูแล้ว เสี่ยวมู่จื่อเพียงผลัดเปลี่ยนผ้าปูเตียงให้เธอ เสื้อผ้าบนร่างกายของเธอ เขาไม่ได้แตะต้อง!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาที่เดิมทีกระวนกระวายใจ ในที่สุดก็ผ่อนคลายลง
ทว่านั่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะแม้จะรู้จากปากเสี่ยวมู่จื่อว่า เมื่อคืนเธอเพียงอาเจียนรดตัวพญายม ทำให้พญายมจากไป
แต่ขณะที่เธออาเจียนรดพญายมนั้น เธอกำลังทำสิ่งใดอยู่!
อีกทั้ง ภายในสมองของเธอยังมีภาพที่เลือนรางปรากฏขึ้นมา!
ก่อนหน้านี้ผู้ใดถอดเสื้อผ้าเธอกันแน่!
เป็นพญายม ตงฟางไป๋ หรือหนานกงจวิ้นซี…
ยิ่งคิดใจเล่อเหยาเหยายิ่งสั่นไหวขึ้นอีกครั้ง
ความรู้สึกไม่แน่ใจเช่นนี้ ทำให้เธออกสั่นขวัญแขวน ร้อนใจไม่หยุด
ก่อนคิดหุนหันไปเอ่ยถามพญายม แต่สุดท้ายเธอไม่มีความกล้าเช่นนั้น
ในที่สุดยังคงเป็นเสี่ยวมู่จื่อที่รับรู้ถึงความไม่สบายใจร้อนรนของเธอ จึงอดเอ่ยถามอย่างห่วงใยไม่ได้
“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าเป็นอะไร กลัวท่านอ๋องจะลงโทษเจ้าหรือ เจ้าอย่ากังวลเลย ความจริงท่านอ๋องเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก คงจะไม่ตำหนิเจ้าหรอก มิฉะนั้นตอนเช้า เขาคงไม่ตั้งใจมาสั่งให้ข้าเตรียมชาสร่างเมา รอเจ้าตื่นขึ้นมาดื่ม ”
“อะไรนะ พญายมสั่งให้เตรียมให้ข้าโดยเฉพาะหรือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาพลันตกใจ สีหน้าตะลึงไปชั่วขณะ
เห็นเช่นนั้น เสี่ยวมู่จื่อพลันพยักหน้าอย่างหนักแน่น พลางเอ่ยขึ้นว่า
“ใช่แล้ว ดังนั้นหากท่านอ๋องคิดตำหนิเจ้าจริง คงไม่ห่วงใยเจ้าเช่นนี้หรอก”
“จริงหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาจึงสับสนในใจ
เมื่อเอ่ยพูดเช่นนี้ พญายมห่วงใยตนยิ่งนัก
…
สำหรับความไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืน ทำให้ใจของเล่อเหยาเหยากระวนกระวาย
เธอทราบดีว่าตนคิดยุ่งเหยิงเช่นนี้ต่อไปมิใช่ทางออก สู้ไปเอ่ยถามด้วยตนเองน่าจะดีกว่า!
หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาถือโอกาสที่ด้านหลังตำหนักไร้ผู้คน ไปตักน้ำ ก่อนอาบน้ำอย่างรวดเร็ว
เพราะเมื่อคืนดื่มสุรามากมาย บนร่างกายจึงได้กลิ่นเหม็นของสุรา กระทั่งเธอยังทนไม่ได้
โชคดีที่วันนี้ซิงและเหม่ยไม่อยู่ น่าจะถูกท่านอ๋องส่งไปทำงานบางอย่าง
รวมทั้งจากคำบอกเล่าของเสี่ยวมู่จื่อ ตอนนี้พญายมเข้าวังหลวงยังไม่กลับมา!
เดิมทีตำหนักหย่าเฟิงมีเพียงพวกเขาพักอาศัย เมื่อพวกเขาไม่อยู่ ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงวางใจลง
หลังจากอาบน้ำอย่างมีความสุขและเปลี่ยนเป็นชุดที่สะอาดสะอ้าน ได้รับข่าวว่าพญายมกลับจากวังหลวงมาแล้วพอดี และเวลานี้เขาอยู่ที่ห้องหนังสือ
หลังรู้เรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาอดตกใจไม่ได้ ก่อนหัวใจจะเต้นระรัว
แต่เธอรู้ว่าการคิดสับสนยุ่งเหยิ่ง คงมิสู้การไปเอ่ยถามเพื่อให้ได้คำตอบด้วยตนเอง อาจเพราะน่าจะไม่โชคร้ายมากมายดังที่คิดก็ได้
หลังตัดสินใจ เล่อเหยาเหยาพลันมาที่ห้องชา ก่อนเจอเสี่ยวกุ้ยจื่อกำลังเตรียมชาอยู่พอดี เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น พลันเข้าไปรับช่วงทำต่อทันที
“เสี่ยวกุ้ยจื่อ ข้าทำเองเถิด”
“อืมได้ เช่นนั้นเจ้ายกชาไปให้ท่านอ๋องเถิด พื้นด้านหน้าตำหนักยังปัดกวาดไม่เรียบร้อย ข้าขอตัวไปทำงานก่อน”
เสี่ยวกุ้ยจื่อคือขันทีน้อยที่เพิ่งเข้ามาใหม่ จึงถูกจัดสรรมาที่ตำหนักหย่าเฟิง แต่เขาเพียงทำงานหนักในตำหนักหย่าเฟิงเท่านั้น
เขาเพิ่งอายุสิบสามปี แม้หน้าตาจะธรรมดา แต่กลับเป็นคนที่ฉลาดเป็นกรด ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงเห็นว่าเขาเป็นน้องชายมาตลอด
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวกุ้ยจื่อ เล่อเหยาเหยาหลังจากพยักหน้าพลางยิ้มบางๆ ยกน้ำที่เพิ่งต้มจนเดือดชงชา
แต่เพราะมีเรื่องในใจให้คิดมากเกินไป สับสนกลัวว่าพญายมจะรู้ว่าตนคือผู้หญิง หากเป็นเช่นนั้น ประเดี๋ยวเธอเจอหน้าเขา ควรทำเช่นไรดี!
ในใจหวาดกลัว ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงสติหลุดลอย กระทั่งน้ำในถ้วยชาเอ่อล้น เธอยังไม่รู้ตัว
หลังจากได้สติเห็นน้ำเอ่อล้นเต็มถ้วยชา ก่อนไหลลงบนโต๊ะ เธอพลันตกใจ จึงวางกาน้ำชาในมือลงอย่างรวดเร็ว คิดเทน้ำชาในถ้วยนั้นทิ้งไป
กลับเพราะอกสั่นขวัญแขวน พลันลืมไปว่าน้ำนี้เพิ่งต้มสุกมา จึงร้อนผ่าวอย่างยิ่ง!
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงถูกน้ำร้อนลวกเข้าอย่างน่าเศร้า
เมื่อบนมือเจ็บปวดขึ้น เล่อเหยาเหยาจึงร้อง ‘โอ๊ย’ขึ้นมา ร่างกายราวถูกไฟดูด กระโดดถอยหลังทันที พลันสะบัดมือเล็กไม่หยุด
“โอ๊ย เจ็บ”
เมื่อรู้สึกนิ้วของตนคล้ายถูกไฟแผดเผา จนเจ็บปวดอย่างยิ่ง ทำให้ใบหน้าประณีตเล่อเหยาเหยาขมวดเป็นปม ในใจหงุดหงิดขึ้นมา
หรือว่าปีนี้เป็นปีชงของเธอ!
เหตุใดพักนี้เธอจึงต้องประสบเรื่องหนักหนา ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ต่างโชคร้าย
เมื่อกัดฟันกรอดมองนิ้วมือแดงปื้น หางตาเล่อเหยาเหยามีน้ำตาเอ่อคลอออกมา
ก่อนรีบเป่านิ้วมือที่ถูกลวก แต่ยังไม่เป็นผล
ทว่าเล่อเหยาเหยาก็ไม่กล้าล่าช้า เพราะพญายมกลับจากวังมาสักพักแล้ว เธอยังไม่ไปส่งชา พญายมอาจโมโหจนลงโทษเธอได้
หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงข่มความเจ็บปวดบนปลายนิ้ว ก่อนชงชาใหม่อีกครั้ง ก่อนยกถาดน้ำชานั้นตรงไปที่ห้องหนังสือ
เห็นเพียงเวลานี้ ตะวันแผดกล้า ไอร้อนคุกคาม ร้อนจนทนไม่ไหว
จักจั่นบนต้นไม้ส่งเสียงร้องไม่หยุด ทำให้คนฟังรู้สึกกระวนกระวาย
กระทั่งสายลมที่พัดผ่าน ต่างพัดพาความร้อนมาด้วย
ระยะทางจากห้องชาไปที่ห้องหนังสือไม่ไกล แต่เมื่อเล่อเหยาเหยามาถึงห้องหนังสือ กลับเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
เมื่อเห็นใกล้ประตูบานสลักของห้องหนังสือเข้าไปทุกขณะ เล่อเหยาเหยากลับชะงักฝีเท้า
เห็นเพียงประตูไม้ของห้องหนังสือไม่ได้ลงกลอน จากช่องว่างนั้นจะเห็นภาพด้านในเลือนลาง
แม้ไม่เห็นเงาร่างของพญายม แต่เล่อเหยาเหยายังคงรู้สึกได้ว่าพญายมอยู่ด้านใน
หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาเดิมทีที่สงบใจลง กลับตื่นเต้นขึ้นอีกครั้ง
เสียงหัวใจ ‘ตึกตักตึกตัก’นั้น ทำให้ใจเธอมิอาจสงบลงได้
กัดริมฝีปากล่างแน่นชั่วขณะ ก่อนเล่อเหยาเหยาจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มความวิตกกังวลของตนเอาไว้ ก่อนมือข้างหนึ่งยกถาด อีกข้างยกเคาะประตูไม้บานสลักที่ไม่ได้ลงกลอนนั้นเบาๆ
หลังเสียงเคาะประตูดังขึ้น ภายในห้องที่เงียบงัน พลันมีเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าดังออกมาจากภายใน
“เข้ามา”
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยากุมมือทั้งสองข้างแน่น เม้มริมฝีปากแดงครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือผลักบานประตูไม้ลายสลักเปิดออก จากนั้นก็ก้มหน้าหลุบสายตา ทำท่าทางบ่าวผู้นอบน้อม เดินเข้าไปในห้องหนังสือ
เล่อเหยาเหยาเพราะอกสั่นขวัญแขวน สำหรับเรื่องเมื่อคืนที่ไม่แน่ใจทั้งหมด ดังนั้นหลังเข้ามาในห้อง จึงไม่เงยหน้ามองไปยังพญายม
เพราะเธอตอนนี้ แม้เมื่อครู่จะเน้นย้ำและจัดการอารมณ์ตนไม่หยุด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพญายมจริงๆ เธอกลับเริ่มสับสนไม่สบายใจอีกครั้ง
สุดท้ายพญายมรู้เรื่องเธอมากน้อยเพียงใด!
ในความจำที่เลือนรางของเธอ คล้ายเมื่อคืนมีคนถอดเสื้อผ้าของเธอ คนผู้นี้คือพญายมหรือไม่กันแน่!
แต่ขณะที่เล่อเหยาเหยาสับสนอยู่ในใจ พลันมีเสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ กลับดังขึ้นมาจากภายในห้อง
“เจ้าจะยกชามาให้ข้าได้หรือยัง”
“เอ่อ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของพญายม หลังจากไตร่ตรอง เล่อเหยาเหยาจึงได้สติ ก่อนตกใจว่าเมื่อครู่ตนมัวแต่คิดในใจ จนมาถึงตรงหน้าพญายม ตนกลับเพียงยืนเฉย ไม่ได้วางถาดน้ำชาลง
หลังได้สติ เธอกลับสบสายตาเข้ากับดวงตาเย็นชาล้ำลึกแคบยาวของพญายม
พญายมคล้ายจ้องมองเธออยู่นานแล้ว ดวงตาดำขลับของเขา มืดมิดดุจยามค่ำคืน ทั้งแฝงความเฉลียวฉลาดอ่านใจคนได้ ทำให้เล่อเหยาเหยาที่เห็นวิตกกังวลในใจ พลันยกชาในถาดวางลงบนโต๊ะด้านหน้าพญายม
“ทะ…ท่านอ๋อง เชิญดื่มชา”
เล่อเหยาเหยาอกสั่นขวัญแขวน กระทั่งพูดจายังตะกุกตะกัก
ไม่รู้เพราะขาดความมั่นใจหรือไม่ เล่อเหยาเหยาจึงมักกังวล พญายมรู้เรื่องว่าเธอคือผู้หญิงหรือไม่ มิฉะนั้นเหตุใดสีหน้าเขาวันนี้จึงเคร่งขรึมเช่นนี้
คล้ายสัญญานของเมฆดำทะมึนคืบคลานปกคลุมเมือง ทำให้คนที่เห็นรู้สึกกังวล
แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่รู้ว่า ความจริงที่วันนี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้น
เห็นชัดว่าควรจะเป็นค่ำคืนที่สวยงาม เกิดเรื่องที่งดงามอย่างมากขึ้น เขาคาดหวังและตื่นเต้นเช่นนี้ ทว่าสุดท้ายกลับเกิดเรื่องอันแสนเศร้า
เขาตอนนี้ หูคล้ายยังได้ยินเสียงอาเจียนอย่างหนักของบ่าวตัวเล็กน่าตายตรงหน้านี้ ใต้สะโพกยังรู้สึกถึงกลิ่นและความร้อนระอุนั้น
ยิ่งคิดสีหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น
เพราะสิ่งที่เขาซึ่งเป็นบุรุษภูมิใจที่สุด กลับถูกคนอาเจียนรด…
เขาจะไม่โมโหได้เช่นไร!
รวมถึงเด็กน้อยตรงหน้านี้ ขณะเข้ามาในห้องหนังสือคล้ายมีเรื่องในใจมากมาย บนใบหน้าเล็กประณีตนั้น ไม่รู้กำลังคิดสิ่งใด จึงขมวดยุ่งเหยิงตลอดเวลา คล้ายไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
เมื่อมองถึงตรงนี้ เขาอยากเขาไปหักคอของ ‘เขา’เสียจริง น่าเสียดายที่แม้เขาจะสามารถหักคอทุกคนบนโลกนี้ได้ แต่มีเพียง‘เขา’ที่เขาตัดใจลงมือทำไม่ได้
ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงเพียงกลืนความโมโหทั้งหมดของตนลงไป ทำให้สีหน้ายิ่งดูย่ำแย่ลง