สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 129.2 เจ้าคือผู้หญิง (2) (รีไรท์)
เพราะพักนี้เธอเข้าออกโรงหมอบ่อยครั้ง ดังนั้นตำแหน่งที่ตั้งในโรงหมอ เล่อเหยาเหยาจึงคุ้นเคยอย่างมาก
โรงหมออันดับหนึ่งมีทั้งหมดสองชั้น
ด้านล่างเป็นสถานที่ตรวจอาการเพื่อรักษาโรค และจัดเก็บตัวยาให้ผู้คนที่มาซื้อยา
ชั้นสองกลับเป็นแบ่งแยกออกเป็นห้อง จัดเตรียมไว้ให้กับผู้ป่วยอาการค่อนข้างหนัก ไม่สามารถขยับตัวได้ เป็นสถานที่ดูแลและรักษาคนป่วยที่ปลอดภัย
ส่วนสถานที่ที่ตงฟางไป๋พักอาศัย กลับเป็นด้านหลัง
ตงฟางไป๋เป็นคนพิถีพิถันอย่างยิ่ง ดังนั้นที่พักอาศัยจึงย่อมไม่ธรรมดา
แต่เขาไม่ชื่นชอบความหรูหรา ดังนั้นสถานที่พักอาศัยจึงสร้างและตกแต่งอย่างเรียบง่าย
ด้านในตึกถูกแบ่งอย่างเป็นสัดส่วน ด้านข้างมีบ่อน้ำ ภายในบ่อน้ำเลี้ยงปลาคาร์ปหลากสีสันเอาไว้
เห็นเพียงเวลานี้ แสงแดดยามเที่ยงวันสาดส่องลงมา แสงแดดสีทองนั้นสาดลงบนพื้นน้ำเป็นประกาย ทำให้น้ำในบ่อเกิดเป็นชั้นแสงสีทอง แพรวพราวอย่างยิ่ง
นอกจากบ่อน้ำขนาดเล็กนั้นแล้ว ด้านข้างยังมีสนามหญ้า
บนสนามหญ้านั้น เห็นชัดว่าเพิ่งขุดได้ไม่นาน ด้านบนยังคงเปลือยเปล่า ไม่มีสิ่งใด
ครั้งที่แล้วเล่อเหยาเหยาได้ยินตงฟางไป๋เอ่ยว่า ที่นี่หว่านเมล็ดตัวยาเช่นตู้จ้ง ไป๋เสา ไป๋เหอ ตี้หวง ลงไป
หลังกวาดมองที่ดินผืนนั้น ก็เดินเข้าไปในเรือนด้านหลัง ดวงตาคู่งามอดกวาดมองรอบด้านไม่หยุด สุดท้ายสายตาหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มที่กำลังตากดอกเก๊กฮวยและยาอยู่ที่ศาลาด้านหน้า
เส้นผมดำดุจน้ำตก ใช้เพียงผ้าสีขาวเรียบง่ายรวบมัดเป็นช่อเล็กขึ้น ที่เหลือสยายอยู่บนไหล่และหน้าอก
เส้นผมดำสนิทราวถูกสาดหมึก และเสื้อผ้าสีขาวดุจหิมะบนร่างกายนั้น แสดงถึงความสดใสไร้ที่ติออกมา
ไหล่กว้างเอวคอด รูปร่างผอมเพรียว สะโพกผอมบาง สองขาตรงดุจดินสอ
เสื้อคลุมยาวสีขาวดุจหิมะนั้น ทำให้ผิวของชายหนุ่มขาวเกลี้ยงเกลา ดูคล้ายดอกบัวขาวที่โผล่จากโคลนตม ใสบริสุทธิ์ สะอาดสะอ้าน เย็นสดชื่น และงามสง่า
เห็นเช่นนั้น ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตะลึงงัน
อาจเพราะรับรู้ว่าด้านหลังมีคนจับจ้อง ชายหนุ่มพลันหมุนตัวกลับมา
ขณะที่ชายหนุ่มหมุนตัว แสงแดดสีทองที่สาดลงมาบนตัวชายหนุ่ม คล้ายเคลื่อนไหวได้ ทำให้ผมสีดำบนศีรษะเงางามของเขา ปรากฏมุมองศาที่งดงาม แฝงด้วยแสงสีทอง
ยังมีใบหน้าเยือกเย็น คิ้วกระบี่โค้งงอถึงจอนผม ดวงตาแคบยาวหรี่ลงเพราะแสงแดดที่ทะลุเข้ามา ภายในดวงตาปรากฏแสงระยิบระยับ มีเสน่ห์อย่างยิ่ง
หน้าผากขาวผ่อง คางกลมมน ริมฝีปากแดงชุ่มชื้น
ชายหนุ่มผู้นี้งดงามสบายตา ดุจเทพเซียนที่หลุดออกมาจากภาพวาด ทำให้คนที่เห็นต่างอดใจสั่นไม่ได้
เล่อเหยาเหยาเห็นชายหนุ่มพลันหมุนตัวมา ใบหน้าจิ้มลิ้มตะลึงเล็กน้อย ส่วนชายหนุ่มเองก็เช่นกัน
ทว่าชายหนุ่มหลังจากตกตะลึง ก็ได้สติอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกมุมปาก แย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนน่าประทับใจออกมา
รอยยิ้มนั้น คล้ายลมฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม พัดเอื่อยเข้ามาภายในใจคน ทำให้คนรู้สึกเบิกบานผ่อนคลาย
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นบนใบหน้าชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาที่กังวลมาทั้งวัน รู้สึกจิตใจสงบลง
ไม่รู้เหตุใด เธอมักรู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้ บนตัวดุจแฝงด้วยเวทมนตร์ที่ทำให้คนจิตใจสงบลงได้
แม้ฟ้าจะถล่มลงมา เพียงมีเขาอยู่ข้างกาย เรื่องทุกอย่างต่างเปลี่ยนไปคล้ายไม่สำคัญ
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดยิ้มตอบชายหนุ่มไม่ได้ จากนั้นเดินตรงเข้าไปหาชายหนุ่ม
“พี่ไป๋”
“น้องเหยา ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋ยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยขึ้น
เล่อเหยาเหยาที่ยิ้มมุมปาก หลังได้ยินคำพูดนี้ของตงฟางไป๋ ในใจพลันสะดุด ‘กึก’ขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ ค้างเช่นกัน
ไม่รู้เธอคิดมากไปหรือไม่ เธอมักรู้สึกว่าคำพูดของตงฟางไป๋วันนี้ดูแปลกไป
แม้ใบหน้าของเขายังยิ้มแย้มเช่นเดิม อ่อนโยนกับเธอเช่นเดิม
แต่เมื่อครู่เขาเอ่ยว่าในที่สุดหรือ!
หรือเขารอเธอมาตลอด!
เขารอเธอเพราะเหตุใดกัน! หรือเพราะเรื่องเมื่อคืนนี้!
พอคิดถึงตรงนี้ ใจของเล่อเหยาเหยาเต้นระรัว พลันรุนแรงขึ้นไม่หยุด
กระทั่งใบหน้าเล็กงดงามนั้น ก็เริ่มกังวลและอึดอัดขึ้นหลายส่วน
สำหรับสีหน้าอึดอัดกังวลของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋ย่อมเห็นอยู่ในสายตา แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงยิ้มที่มุมปากพลางเอ่ยว่า
“มาเถิด ดูเจ้าวิ่งมาจนหน้าแดงหมดแล้ว ดื่มชาให้ชื่นใจก่อนเถิด! ”
“เอ่อ ขอรับ”
แม้ในใจจะกังวลอึดอัดไม่หยุด แต่เมื่อเห็นท่าทางงามสง่าอ่อนโยนของตงฟางไป๋ พลันทำให้เล่อเหยาเหยาคาดเดาความคิดเวลานี้ของเขาไม่ได้
จากคำพูดเมื่อครู่ของตงฟางไป๋ เขาคล้ายรู้ถึงบางอย่าง แต่ตอนนี้เขากลับทำตัวปกติกับเธอ โดยไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว
สุดท้ายเขารู้หรือไม่รู้กันแน่!
สำหรับเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาสงสัยอย่างยิ่ง
แต่เธอยังไม่ซักถามทันที เพราะเธอคอแห้งจริงๆ!
แม้จากวังอ๋องมาถึงที่นี่จะไม่ห่างไกลกันมาก แต่เมื่อครู่เธอวิ่งมาอย่างสุดชีวิต ตอนนี้จึงปากลิ้นคอแห้ง
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงหมายมั่นปั้นมือ ดื่มชาให้ชุ่มคอก่อน ก่อนเอ่ยถามได้สะดวก
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงเดินไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่พร้อมกับตงฟางไป๋
ตอนนี้เป็นช่วงหน้าร้อน พระอาทิตย์ลอยเด่นด้านนอก อุณภูมิจึงสูง แสงแดดร้อนแรงนั้น คล้ายสามารถแผดเผาคนได้
เมื่อวิ่งมาตลอดทาง เล่อเหยาเหยาจึงร้อนเหงื่อไหลดุจสายฝน เปียกชุ่มไปทั้งตัว
ดังนั้น หลังเห็นตงฟางไป๋รินชาเย็นสดชื่นให้เธอ เธอรีบยกขึ้นดื่มอย่างไม่เกรงใจ
กระทั่งดื่มจนเห็นก้นถ้วย จึงเรอออกมาอย่างพอใจ
ก่อนแลบลิ้นเลียน้ำชาที่ติดอยู่บนริมฝีปาก เล่อเหยาเหยาหลังดื่มชาถ้วยนี้หมด จึงรู้สึกผิดปกติ
เพราะน้ำชานี้…
“พี่ไป๋ นี่คือชาใดหรือขอรับ!”
รสชาติไม่เลว แต่เธอรู้สึกว่าแฝงรสของยาอยู่
ส่วนตงฟางไป๋หลังได้ยินคำพูดของเธอ อดยิ้มมุมปากไม่ได้ ก่อนหยิบชาถ้วยนั้นของตนขึ้นจิบอย่างละเมียดละไม จึงเอ่ยขึ้นว่า
“นี่คือชาสร่างเมา ดื่มแล้วจะไม่ปวดศีรษะ”
“อืม”
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยานึกได้ทันที และพบว่าชานี้เห็นชัดว่าเตรียมไว้นานแล้ว ตอนนี้จึงเย็นชืด เมื่อดื่มจึงรู้สึกว่าพอดี
คิดแล้วตงฟางไป๋คงเดาว่าเธอต้องมาปรากฏตัวแน่ จึงต้มชาสร่างเมารอเธออยู่ที่นี่!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดรู้สึกในความใส่ใจของตงฟางไป๋ไม่ได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตงฟางไป๋ปฏิบัติกับเธอดุจพี่ชาย หากพูดว่าไม่ซาบซึ้งคงโกหก
ทว่าขณะที่เล่อเหยาเหยาซาบซึ้งในใจ ในใจก็ยังถูกเรื่องเมื่อคืนนั้นทำให้ยุ่งยากใจไปพร้อมกัน
หากไม่รีบสืบให้แน่ชัดว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องใดขึ้น คนที่ถอดเสื้อผ้าเธอคือความฝันหรือว่าความจริง หากคือความจริง คนผู้นั้นที่ถอดเสื้อผ้าเธอคือผู้ใดกัน!
จะเป็นชายหนุ่มตรงหน้านี้หรือไม่!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยากัดริมฝีปากล่างแน่นชั่วขณะ จากนั้นค่อยๆ วางถ้วยชาลง ก่อนมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างลังเล
สำหรับท่าทางลังเล อึดอัดไม่สบายใจของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋เห็นอยู่ในสายตาแล้ว
ดังนั้น จึงวางถ้วยชาในมือลงอย่างช้าๆ จากนั้นเงยดวงตาดำขลับขึ้น มองมายังดวงตาคู่งามที่ร้อนรนของเล่อเหยาเหยา
เขารู้ว่าเธอต้องมาเพราะเรื่องเมื่อคืนแน่นอน ทว่าเขาก็ไม่รู้ว่าเธอมาเพื่อเรื่องใด ยังมีสำหรับเรื่องเมื่อคืนเธอจำได้มากน้อยเพียงใด ดังนั้น ตงฟางไป๋จึงเอ่ยปาก ถามเสียงเบาขึ้น
“มีสิ่งใดถามมาเถิด หากข้ารู้จะบอกเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของตงฟางไป๋ ใจเล่อเหยาเหยาทั้งอึดอัดและกังวล
แต่ว่าเมื่อตงฟางไป๋พูดเช่นนี้แล้ว เธอย่อมต้องกระจ่างเรื่องเมื่อคืนนี้ให้ได้
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาขบคิดในใจครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากถามว่า
“พี่ไป๋ เมื่อคืนพวกเราไปดื่มสุราที่โรงเตี๊ยมหลูอวี้ สุดท้ายหลังข้าดื่มจนเมามาย เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ ข้าจำไม่ได้เลย”
คำพูดของเล่อเหยาเหยาแฝงด้วยความหวาดระแวงเจ็ดส่วน อึดอัดไม่สบายใจสามส่วน สายตากังวลนั้น มองไปยังตงฟางไป๋ เพื่อไม่ให้พลาดสีหน้าของเขาแม้แต่นิดเดียว
อีกทั้งใจเวลานี้ เพราะกังวลจึงเต้นเร็วระรัว
เสียงหัวใจเต้น‘ตึกตัก’รุนแรงเช่นนี้ คล้ายจะกระดอนออกมาจากหน้าอก
ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยาที่กระวนกระวายใจ ตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้างกลับมีสีหน้านิ่งสงบ
หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋เงียบงันชั่วขณะ คล้ายกำลังนึกทบทวนบางอย่าง
ขณะที่เขาขบคิด เล่อเหยาเหยาก็รอคำตอบของเขาอย่างอกสั่นขวัญแขวนตลอดเวลา เห็นชัดว่าไม่ถึงหนึ่งนาที แต่เธอกลับรู้สึกว่ายาวนานราวศตวรรษ ทำให้เธอรออย่างกังวล
เขาควรเอ่ยพูดออกมา ไม่พูดจาเช่นนี้ ทำให้คนร้อนใจเสียจริง!
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดอย่างวิตกกังวล ทางด้านตงฟางไป๋คล้ายรับรู้ถึงความคิดในใจของเธอ
ก่อนเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาดำขลับแฝงความอ่อนโยนทว่าคมกริบคู่นั้น จ้องมองไปที่ดวงตาคู่งามที่เต็มไปด้วยความกังวลของเล่อเหยาเหยา ทันใดนั้นจึงเผยอริมฝีปากขึ้น เอ่ยปากว่า
“เจ้าอยากถามว่า ข้ารู้ว่าเจ้าคือผู้หญิงแล้วใช่หรือไม่!”
น้ำเสียงตงฟางไป๋ ยังคงเนิบช้าดุจสายน้ำ ชุ่มชื้น อ่อนโยนเช่นเดิม
แต่เวลานี้ คำพูดทั้งหมดของเขากลับดุจฟ้าที่ผ่าลงมาตอนกลางวัน เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงภายในสมองเกิดเสียง ‘ตูม’ขึ้น ร่างกายพลันแข็งทื่ออย่างที่สุดดุจก้อนหิน
ภาพภายในสมองเหล่านั้นคือความจริง มิใช่ความฝัน
หากพูดเช่นนี้ คนที่ถอดเสื้อผ้าเธอเมื่อคืน คือตงฟางไป๋!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยานอกจากตกตะลึง กลับขวยเขินและเขินอายมากที่สุด
ใบหน้าเล็กที่ตกใจจนอ้าปากค้างนั้น เพราะเขินอายสองแก้มจึงแดงก่ำอย่างรวดเร็ว สายตาที่มองตงฟางไป๋ นอกจากตกตะลึง ยังละอายใจด้วย
แม้เล่อเหยาเหยาจะนิ่งเงียบตลอด แต่ตงฟางไป๋เดาจากสีหน้าของเธอว่ากำลังคิดสิ่งใดในใจ
ดังนั้นครั้งนี้ กลับเป็นตงฟางไป๋ที่มีสีหน้าเก้อเขิน บนใบหน้าแดงก่ำอย่างรวดเร็ว สายตาที่มองเล่อเหยาเหยาคล้ายไม่มั่นใจ และแฝงด้วยความละอายใจและกังวล
………………………………