สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 131.1 ท่องเที่ยวทะเลสาบ (1) (รีไรท์)
ขณะตงฟางไป๋ดีดพิณ ดูจริงจังและช่ำของ
อาจเป็นเพราะการดีดพิณของเขาไม่ใช่แค่ดีดมาปีสองปีแล้ว แม้ปิดตา เขาก็ยังดีดดุจเปลวไฟในเตากลายเป็นสีเขียวสดใส[1] โน้ตเพลงที่วิเศษนั้น ทำให้ในมือเขาดุจมีชีวิต ดึงดูดใจเช่นนี้
ส่วนสายตาเล่อเหยาเหยาที่มองไปยังมือคู่งดงามขาวผ่องนั้น อดมองขึ้นไปด้านบนไม่ได้
เห็นเพียงชายหนุ่มชุดขาวทั้งตัวนั้น มีท่วงท่างดงามอย่างเป็นธรรมชาติ บุคลิกงามสง่า
บนใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างสง่างาม หน้าตาผ่อนคลาย ดวงตาคู่ที่ปิดนั้น มีขนตาดกดำทั้งหนาทั้งแน่น ทำให้เกิดเงามืดที่สวยงามบนเปลือกตาทั้งสองข้าง ทำให้ใบหน้าเขายิ่งโดดเด่นมากขึ้น
คล้ายชายหนุ่มที่มีความรู้ความสามารถและรูปร่างหน้าตาดีนี้ พบเจอได้ยากบนโลกใบนี้!
เล่อเหยาเหยาโชคดียิ่งที่ได้เจอกับเขา ได้รู้จักกับเขา
ขณะเล่อเหยาเหยาขบคิดในใจ สายตาก็มองไปยังมือที่กำลังดีดพิณของชายหนุ่มอีกครั้งอย่างช้าๆ
จนกระทั่งหลังผ่านไปนาน เสียงพิณจบลง ทว่ายังก้องกังวานอยู่ดุจควัน ดุจหมอกที่ยังคงไม่สลายไป
หายใจแผ่วเบารอบหนึ่ง ชายหนุ่มปิดตาลง ก่อนขยับขนตาอยู่ครู่หนึ่ง พลันลืมตาคู่สดใสดุจดวงดาวขึ้น ยกริมฝีปากแดง เอ่ยถามคนที่อยู่ข้างกายว่า
“เห็นว่าข้าดีดพิณเช่นไรแล้วใช่หรือไม่”
“ข้าเห็นแล้ว”
เล่อเหยาเหยาที่ค่อยๆ ได้สติจากเสียงพิณยอดเยี่ยมเมื่อครู่ หลังได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม พลันพยักหน้าพลางเอ่ยขึ้น
“ดี เช่นนั้นตอนนี้ เจ้าลองดีดให้ข้าดูสักรอบก่อนเถิด”
“อะไรนะ! ให้ข้าดีดรอบหนึ่ง คือขะ…ข้าทำไม่ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยากลับตกใจอย่างหนัก ก่อนพลันส่ายหน้าดุจระลอกคลื่นพลางเอ่ยขึ้น
เมื่อเห็นท่าทางกังวลของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋เพียงยิ้มมุมปาก
“ข้ารู้ว่าเจ้าทำไม่ได้ แต่ก่อนหน้านี้เจ้าเคยสัมผัสพิณมาก่อนหรือไม่”
“ไม่เคย”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยตามความจริง แม้แต่เปียโน ก่อนหน้านี้เธอก็เคยแตะเพียงไม่กี่ครั้ง แต่พิณกลับไม่เคยแตะต้องเลยแม้แต่ครั้งเดียว
การชื่นชอบพิณ ล้วนเพราะวันนี้ เห็นชายหนุ่มเลิศล้ำดุจเซียนนี้ ดีดบรรเลงเพลงอย่างงามสง่า ออกมาได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ จึงทำให้เธอพลันชื่นชอบ
ตงฟางไป๋ได้ยิน ยิ้มพลางเอ่ยว่า
“เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าลองดีดหนึ่งรอบก่อน บรรเลงเพลงที่ข้าเล่นเมื่อครู่นี้ เพื่อให้เจ้าได้สัมผัสพิณนี้ดูก่อน ลองการวางมือในการดีดพิณ เพียงเจ้าเข้าใจโครงสร้าง ทำนองเสียงของพิณนี้ ต่อไปข้าค่อยให้หนังสือเรียนพื้นฐานเกี่ยวกับพิณแก่เจ้า เจ้าหยิบกลับไปค่อยๆ ทำความเข้าใจ เพื่อจะได้คุ้นเคยมากขึ้น”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาพลันตระหนักทันที ก่อนดวงตาคู่งามจะโค้งขึ้น ยิ้มกว้างเห็นฟันออกมา
“ได้ เช่นนั้นข้าจะลองดูก่อน”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยขึ้น ในใจก็พรั่งพรูความดีใจขึ้นมา
เมื่อเห็นท่าทางคล้ายตื่นเต้นรอคอยต่อของสิ่งใหม่ของเล่อเหยาเหยา ทำให้ตงฟางไป๋อดยิ้มไม่ได้ พลันยืนขึ้น ให้เธอนั่งลง
เมื่อเล่อเหยาเหยานั่งลงตรงหน้าพิณ เห็นพิณตัวนี้ แม้เธอจะไม่คุ้นเคยกับพิณแม้แต่นิดเดียว แต่ดูจากรูปลักษณะภายนอก รู้ว่าพิณตัวนี้ราคาไม่เบาแน่ หากเธอทำพังเสียหาย จะทำเช่นไร!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาหวาดหวั่น
ส่วนใบหน้าขลาดกลัวอย่างสุดจะบรรยาย ตงฟางไป๋เห็นเช่นนั้น อดรีบเอ่ยขึ้นไม่ได้
“ไม่ต้องกลัว ลองดีดดูก่อน”
“ได้ ตกลง”
หลังได้รับคำสั่งจากตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาสูดหายใจลึกๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสงบอารมณ์ พลันยื่นมือลูบพิณอย่างเบามือ จากนั้นก็เลียนแบบการขยับนิ้วของตงฟางไป๋เมื่อครู่ ดีดบรรเลงขึ้น
ครั้งแรกที่สัมผัสพิณ เล่อเหยาเหยาดีดบรรเลงอย่างระคายหูเสียจริง ๆ กระทั่งตัวเธอที่ได้ยิน ยังขนลุกไปทั้งตัว
เอ่อ เหตุใดผู้อื่นดีดพิณและเธอดีดพิณจึงต่างกัน เขาดีดบรรเลงออกมาดุจเสียงจากสวรรค์ ส่วนเธอดีดบรรเลงออกมาดุจเสียงโหยหวน
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกละอายใจ จากนั้นจึงค่อยๆ หยุดการดีดบรรเลงพิณลง บนใบหน้าดูท้อใจและขออภัย
ตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น กลับยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยปลอบใจว่า
“ความจริง เจ้าดีดดีมากทีเดียว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าดีดพิณ”
“จริงหรือ พี่ไป๋”
เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ แม้รู้ว่าเขาปลอบใจเป็นส่วนใหญ่ แต่เล่อเหยาเหยายังพลันเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
เมื่อเห็นใบหน้าเล็กตรงหน้ายิ้มแย้มดุจบุปผา ตงฟางไป๋เพียงพยักหน้าพลางยิ้ม
เพราะมีกำลังใจจากตงฟางไป๋ ต่อมาเล่อเหยาเหยาจึงไม่กังวลอีก ดีดบรรเลงอย่างกล้าหาญขึ้นมา
แม้เธอจะดีดยังไม่ครบทั้งห้าเสียง เสียงระคายหู แต่คนที่ฟังต่างไม่ใส่ใจ เหตุใดเธอต้องใส่ใจกัน!
ดังนั้น ตลอดทั้งบ่ายเล่อเหยาเหยาจึงผ่านไปด้วยการดีดพิณ
เพราะเล่อเหยาเหยาเฉลียวฉลาด ดังนั้น หลังฝึกฝนมาตลอดทั้งบ่าย จึงค่อยๆ รู้เคล็ดลับบางอย่าง
เห็นเช่นนั้น ตงฟางไป๋ภูมิใจอย่างยิ่ง จึงชื่นชมเธอไม่น้อย
เมื่อได้รับความมั่นใจจากเขา เล่อเหยาเหยาย่อมดีใจอย่างมาก และชื่นชอบพิณยิ่งขึ้น
ไม่รู้เพราะคนที่บรรเลงพิณคือตงฟางไป๋ หรือเพราะเหตุผลอื่น
จากนั้น ตงฟางไป๋ก็เริ่มบรรเลงเพลงขึ้นอีกครั้ง ก่อนให้เล่อเหยาเหยาบรรเลงไปพร้อมเขา
เล่อเหยาเหยาแม้จะเข้าใจเคล็ดลับ แต่กลับยังไม่เข้าใจทั้งหมด
และเวลานี้ตงฟางไป๋ ยืนอยู่ด้านหลังของเธอเพื่อคอยชี้แนะ เมื่อเล่อเหยาเหยาบรรเลงผิดทำนอง พลันยื่นมือประกบชี้แนะเล่อเหยาเหยา
พวกเขาเวลานี้ คนหนึ่งตั้งใจอยู่กับการเรียนพิณ คนหนึ่งตั้งใจสอนชี้แนะ ดังนั้นจึงจดจ่อความคิดทั้งหมดอยู่ที่พิณ แต่พวกเขากลับไม่รู้ตัว ในสายตาของบางคนที่เห็น เรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น
“พวกเจ้า กำลังทำสิ่งใดกัน!”
ขณะที่พวกเล่อเหยาเหยาจดจ่ออยู่กับพิณ พลันเสียงทุ้มต่ำเคร่งขรึมก็ดังขึ้นมา
เห็นชัดว่าเป็นฤดูร้อน อากาศจึงร้อนแรงจนแผดเผาคนได้
แต่น้ำเสียงทุ้มต่ำ เคร่งขรึมเช่นนี้ ดุจสายลมเย็นในเดือนสิบสองที่พลันพัดผ่านมา ทำให้อุณภูมิลดต่ำลงหลายองศาอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินเสียงเย็นชาที่ดังขึ้น เล่อเหยาเหยาและตงฟางไป๋ต่างตกใจ พลันเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน มองไปยังที่มาของเสียงนั้น
เห็นเพียงชายหญิงคู่หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาที่ประตูเรือนพักด้านหลังไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
ชายหญิงคู่นี้ ชายหนุ่มรูปโฉมหล่อเหลา หญิงสาวรูปโฉมงดงาม จนชวนให้ตกตะลึงอย่างยิ่ง
เห็นเพียงชายหนุ่มสวมชุดสีม่วงลายพญางู คาดเข็มขัดสีทองรอบเอว มวยผมประดับกวนหยก
เสริมด้วยรูปร่างสูงตระหง่านดุจภูเขา สองขาตรงยาว ไหล่กว้างเอวคอด ทั่วร่างกายนั้น ต่างกระจายกลิ่นอายสูงส่งและน่าเกรงขามที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดออกมา
แต่ใบหน้านั้น กลับเย็นชาราวก้อนน้ำแข็งหมื่นปี คิ้วกระบี่กว้าง จมูกโด่งดุจถูกเหลา ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง แสดงความโมโหของเจ้าของออกมา
ยังมีดวงตาเย็นชาล้ำลึกดุจค่ำคืนคู่นั้น ภายในแววตาดำขลับเย็นชาและเคร่งขรึม ทุกที่สายตามองไป ต่างถูกแช่แข็ง
เวลานี้สายตาของชายหนุ่มดุจลูกศร พุ่งตรงมาทางเล่อเหยาเหยา
หลังรับรู้ถึงสายตาคมกริบเย็นชาของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาอดหนาวสั่นไม่ได้
เพราะ ใบหน้าชายหนุ่มแม้จะเย็นชาเช่นเดิม แต่จากกลิ่นอายโหดเหี้ยมที่ออกมาจากตัวเขา และสายตาคมกริบดุจลูกศรคู่นั้น ต่างส่งข้อความหนึ่งออกมา นั่นคือ…
เขากำลังโมโห!
“เอ่อ”
เมื่อเห็นชายหนุ่มโมโห ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตะลึงเล็กน้อย พลันทำตัวไม่ถูก
พญายม ตอนนี้เป็นอันใดขึ้นอีก!
ตอนเช้ายังอารมณดีอยู่มิใช่หรือ!
อีกทั้ง…
เมื่อเบนสายตาอีกครั้ง เห็นหญิงสาวยืนอยู่ข้างกายพญายม เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงภายในสมองเกิดเสียง ‘ตู้ม’ ขึ้นมา ดวงตาคู่งามพลันเบิกกว้าง
เห็นเพียงผู้หญิงคนนี้ อายุน่าจะประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี ฟันขาวดวงตาสดใส สวยงามแปลกตา
คิ้มเข้มดุจพระจันทร์เสี้ยว โค้งงอเป็นธรรมชาติ ดวงตาสว่างสดใส ขนตาดูงอนยาว ดวงตามองซ้ายมองขวา ประกอบกันอย่างสวยงาม
ใต้จมูกงาม คือริมฝีปากแต่งแต้มด้วยชาดแดง รวมเข้ากันจึงงดงามสะดุดตาอย่างที่สุด
ส่วนผมหวีเป็นทรงวงเดือนที่นิยมทำกันมากที่สุดในยุคนี้ ตรงกลางมวยผมประดับด้วยลูกปัดผีเสื้อที่ทำจากไข่มุกอย่างประณีต ทำให้ผมเธอยิ่งงดงามมากขึ้น
บนร่างบางนั้น สวมกระโปรงผ้าซาหลัวโปร่งแสงสีชมพู แน่นกระชับไปทั้งตัว ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งบนรูปร่างเธอ ถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด
เมื่อเห็นหญิงสาวที่งดงามนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกคุ้นตา มีความรู้สึกสนิทสนมประเภทหนึ่ง เมื่อลองคิดทบทวนดูจึงพบว่า ความจริงผู้หญิงคนนี้มิใช่ผู้ใด แต่เป็นเหนียนซูหลาน สาวน้อยที่เต้นระบำอย่างงดงามน่าตกตะลึงในวันประสูติกาลของไทเฮาที่ตำหนักหลงเทียน!
[1] เปลวไฟในเตากลายเป็นสีเขียวสดใส หมายถึง การบรรลุถึงจุดสมบูรณ์ มาจากเรื่องเล่าของเต๋าแห่งการปรุงยาในสมัยโบราณของจีน ซึ่งมักจะคิดว่าเมื่อเปลวไฟที่อยู่ในเตาตอนปรุงยาได้กลายเป็นสีเขียวสดใส ก็มักจะเป็นช่วงที่ปรุงได้สำเร็จโดยสมบูรณ์