สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 133 พญายมกินเต้าหู้เหม็น (รีไรท์)
ดื่มสุราเวียนไปหลายรอบ อาหารบนโต๊ะถูกทานไปเจ็ดแปดส่วน
เวลานี้เล่อเหยาเหยาจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ซื้อเต้าหู้เหม็นมา
เดิมทีเธอคิดจะนำเต้าหู้เหม็นนั้นกลับไปทานเอง แต่ตอนนี้คิดดูแล้ว เกรงว่าหากนำกลับไป คงเย็นชืดแล้วคงไม่อร่อย ดังนั้นจึงหยิบเต้าหู้เหม็นที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันขึ้นมาแล้วเปิดออก
ขณะที่เปิดห่อกระดาษน้ำมันนั้น กลิ่นเหม็นก็ปกคลุมไปทั่วดาดฟ้าเรืออย่างรวดเร็วทันที พร้อมกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซีที่ต่างพากันขมวดคิ้วมุ่น กระทั่งเหนียนซูหลานยังใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกด้วยสีหน้ารังเกียจ แววตาปรากฏความไม่พอใจแวบขึ้นมา
หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างเป็นคนแรกที่อดทนไม่ไหว จึงพลันตะโกนเสียงดังขึ้น
“เจ้าหมูน้อย เต้าหู้เหม็นนี้เหม็นเสียจริง!”
“เต้าหู้เหม็นไม่เหม็น จะเรียกว่าเต้าหู้เหม็นได้เช่นไร!”
สำหรับคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ รู้สึกหมดคำพูดกับคำพูดเขา
เมื่อได้ยิน หนานกงจวิ้นซีมีสีหน้างงงวย มุมปากยกขึ้น ทว่ากลับไม่เอ่ยสิ่งใดขึ้นมาอีก
กลับเป็นตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้าง หลังจากเห็นเต้าหู้เหม็นสีเหลืองทองผสมเทาในกระดาษน้ำมัน ด้านบนยังมีพริกและต้นหอมมากมาย เมื่อครู่ที่ได้กลิ่นก็เหม็นอย่างมาก แต่พอได้กลิ่นนานเข้า กลับรู้สึกว่ามิได้เหม็นหึ่งขนาดนั้น
ดังนั้น จึงสูดดมเบาๆ ก่อนที่จะหันดวงตาดำขลับแคบยาวคู่สวยนั้น มองไปยังเล่อเหยาเหยาพร้อมเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เจ้าสิ่งนี้ มันรสชาติเป็นเช่นใดหรือ!”
“ฮ่า ๆ พี่ไป๋ ท่านลองชิมดูดีหรือไม่ ความจริงเต้าหู้เหม็น เมื่อดมจะรู้สึกเหม็น แต่เมื่อทานเข้าไปจะหอมอย่างยิ่ง!”
เมื่อเห็นตงฟางไป๋คล้ายถูกทำให้ประหลาดใจ ดังนั้น เล่อเหยาเหยาพลันเอ่ยแนะนำอย่างกระตือรือร้น
นอกจากนี้เธอยังทราบดีว่า ไม่แปลกที่พวกตงฟางไป๋และหนานกงจวิ้นซีจะรังเกียจเต้าหู้เหม็นเช่นนี้
เพราะเหล่าคุณชายที่คาบกุญแจทองมาเกิดเช่นพวกเขา ปกติสิ่งที่สวมใส่ใช้สอยต่างดีที่สุดมิใช่หรือ สำหรับพวกเขาของกินที่ไม่มีประโยชน์ และดูสกปรกประเภทนี้ พวกเขาต้องดูถูกไม่ทานแน่นอน
ดังนั้น ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นเต้าหู้เหม็นนี้ จึงรังเกียจเช่นนี้
เล่อเหยาเหยาพลางคิดในใจ ดังนั้น จึงหยิบตะเกียบคีบเต้าหู้เหม็นหนึ่งชิ้นเข้าปาก
และเมื่อทาน บนใบหน้าเล็กที่งดงามนั้น ก็ปรากฎท่าทางพออกพอใจออกมา
คล้ายของกินในปากเธอ คืออาหารเลิศรสที่สุดบนโลกใบนี้
เห็นเช่นนั้น ตงฟางไป๋ที่แปลกใจอดถูกดึงดูดไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางกินอย่างเอร็ดอร่อยของเล่อเหยาเหยา ดังนั้น เขาก็หยิบตะเกียบคีบขึ้นมาหนึ่งชิ้น
แต่ว่าเมื่อใช้ตะเกียบคีบขึ้นมา เขากลับไม่ทานทันที และเมื่อลองดมกลิ่น คิ้วงามขมวดขึ้นเล็กน้อย ยังไม่ทันส่งเข้าปาก หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าก็อดเอ่ยถามอย่างตกใจไม่ได้ว่า
“ไป๋ เจ้าจะทานสิ่งนี้จริงหรือ ทานแล้วปวดท้องจะทำเช่นไร!”
ไม่แปลกที่หนานกงจวิ้นซีจะกังวลเช่นนี้ เพราะเต้าหู้เหม็นนี้ เขายังไม่เคยกินมาก่อนจริง จึงรู้สึกเพียงเหม็นหึ่ง!
หากของเหล่านี้ไม่ใช่เล่อเหยาเหยาซื้อ เขาคงโยนทิ้งไปแล้ว
ตอนนี้เห็นตงฟางไป๋จะทาน ดังนั้น จึงพลันตกใจ
เมื่อเห็นท่าทางตกอกตกใจเช่นนี้ของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาอดชำเลืองมองเขาอีกครั้งไม่ได้
ชายผู้นี้ขี้ตกใจเสียจริง มันก็แค่เต้าหู้เหม็น มิใช่ยาพิษ สมควรให้เขาทำเช่นนี้หรือ!
เล่อเหยาเหยาก่นด่าในใจ มองหนานกงจวิ้นซีอย่างเหยียดหยาม
จากนั้น เมื่อหันไปมองตงฟางไป๋ ก็ยิ้มแย้มดุจบุปผา
“พี่ไป๋ ท่านรีบชิมดูสิ ข้าไม่ได้โกหกท่านจริงๆ เต้าหู้เหม็นนี้รสชาติไม่เลวเลย”
เมื่อได้ยินคำพูด และสายตาคาดหวังของเล่อเหยาเหยา มุมปากตงฟางไป๋อดยกขึ้นไม่ได้ จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบาขึ้น
“ได้ เช่นนั้นข้าจะลองดู”
เอ่ยจบ ตงฟางไป๋ค่อยๆ นำเต้าหู้เหม็นในตะเกียบส่งเข้าปาก
หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้าง ดวงตาดอกท้อของเขาก็เบิกกว้าง แววตาปกคลุมด้วยความแปลกใจหลายส่วน
“ไป๋ รสชาติเป็นเช่นไร!”
เห็นตงฟางไป๋เคี้ยวเต้าหู้เหม็นในปากอย่างสง่างาม หนานกงจวิ้นซีที่มิสัยไม่อดทน พลันเอ่ยถามขึ้น
ส่วนเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้าง ก็มองตงฟางไป๋ด้วยสายตารอคอยคำตอบ
ส่วนตงฟางไป๋เมื่อเห็นสายตาไถ่ถามของหนานกงจวิ้นซีและเล่อเหยาเหยา ใบหน้าหล่อเหลาสุขุมงามสง่านั้นพลันปรากฎรอยยิ้มงามสง่าขึ้น ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ฮ่า ๆ รสชาติไม่เลวจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ ดวงตางามของเล่อเหยาเหยาพลันโค้งงอ ยกริมฝีปากแดงขึ้น ยิ้มกว้างเห็นฟัน ก่อนเอ่ยว่า
“ฮ่า ๆ ข้าบอกแล้ว สิ่งที่ข้าแนะนำจะผิดพลาดได้เช่นไร!”
เอ่ยจบ หยิบตะเกียบขึ้นคีบเต้าหู้เหม็นอีกชิ้นนำเข้าปากตน
คิดไม่ถึง เพิ่งคีบเต้าหู้เหม็นชิ้นนั้นขึ้นมา พลันถูกคนแย่งทานจนหมดก่อนหนึ่งก้าว
“เอ๊ะ ท่านคีบเองไม่ได้หรือ!”
เมื่อเห็นว่าคนที่ทานเต้าหู้เหม็นของเธอคือหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาจึงโมโหจนกัดฟันกรอด
เด็กน้อยน่าตายนี้ เมื่อครู่มิใช่ทำหน้ารังเกียจอยู่หรือ! ตอนนี้เหตุใดจึงแย่งเธอทานเช่นนี้!
ใจของบุรุษ ช่างเหมือนเข็มในก้นมหาสมุทร์เสียจริง!
ส่วนหนานกงจวิ้นซีพลางทานเต้าหู้เหม็น พลางมองท่าทางกัดฟันกรอดของเล่อเหยาเหยา อดเอ่ยขึ้นไม่ได้
“อืม ไป๋พูดไม่ผิดเลย รสชาติเต้าหู้เหม็นนี้ ไม่เลวจริงๆ!”
เอ่ยจบ หนานกงจวิ้นซีคล้ายฉุกคิดขึ้นได้ ก่อนหันไปเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นิ่งเงียบมาตลอดว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านลองชิมสักชิ้นหรือไม่ เต้าหู้เหม็นนี้ แม้จะไม่ใช่อาหารอันโอชะ แต่บางครั้งทาน รสชาติแปลกใหม่ดีนะ”
หนานกงจวิ้นซีพลางกิน พลางเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋
ทว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยังไม่ทันเอ่ยปาก เล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซีกลับมีสีหน้าตกตะลึงชั่วขณะ พลันเอ่ยปากขึ้นโดยไม่คิดว่า
“ท่านอ๋องไม่ทานของประเภทนี้หรอก!”
หลังเอ่ยจบประโยคนี้ ไม่เพียงเล่อเหยาเหยาที่ตะลึง กระทั่งเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ตะลึงเช่นกัน
เพราะเมื่อครู่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ได้มีความคิดที่จะทานเต้าหู้เหม็นนี้ ทว่าหลังได้ยินคำพูดที่มั่นใจของเล่อเหยาเหยา ดวงตาเย็นชาที่เรียบเฉยกลับเปล่งประกายขึ้น
ส่วนหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้าง หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา กลับเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า
“เจ้ามิใช่ศิษย์พี่ใหญ่ จะรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ไม่ทานได้เช่นไร ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านว่าถูกหรือไม่!”
สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงส่งเสียง ‘อืม’ตอบรับขึ้นเบาๆ พลันหยิบตะเกียบคีบเต้าหู้เหม็นขึ้น ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของเล่อเหยาเหยา
“พี่อวี๋ จะทานสิ่งนี้จริงหรือ สิ่งนี้ดูไม่สะอาด ท่านอย่าทานดีกว่า!”
เมื่อเห็นท่าทางนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เหนียนซูหลานที่อยู่ด้านข้างก็ตกใจ
เพราะแม้เธอจะไม่ได้พบหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋มาห้าปี แต่พวกเขาเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก พูดได้ว่าเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่วัยเยาว์
สำหรับนิสัยของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เหนียนซูหลานก็รู้แจ้งเป็นอย่างดี
เธอรู้ว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋เป็นคนทานยาก หากมิใช่ของดีที่สุด เขาจะไม่แตะต้องแน่นอน
แต่ตอนนี้เหตุใด กลับทานของที่ไม่มีค่าไร้ประโยชน์เช่นนี้!
พอคิดถึงตรงนี้ เหนียนซูหลานก็สงสัยในใจ
แต่ที่เธอหวาดกลัวที่สุดคือ กลัวว่าพี่อวี๋จะทานของผิดสำแดง จนปวดท้อง ดังนั้นจึงคิดยับยั้ง
แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับไม่สนใจคำพูดของเธอ ดวงตาเย็นชากวาดมองไปยังเล่อเหยาเหยาที่แปลกใจอยู่ตรงหน้านั้น จากนั้นก็นำเต้าหู้เหม็นบนตะเกียบเข้าใส่ปาก
เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าทานเต้าหู้เหม็นอย่างไร้ความรู้สึก สายตาเล่อเหยาเหยาจ้องเขม็งอยู่บนใบหน้าเขา ราวกลัวจะพลาดสิ่งใด
แต่ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนสุดท้าย กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เพราะพญายมทานเต้าหู้เหม็น ด้วยใบหน้านิ่งเฉยอย่างยิ่ง
บนใบหน้านิ่งเฉยนั้น ทำให้ผู้คนคาดเดาความคิดในใจเขาไม่ออก
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เล่อเหยาเหยาแปลกใจที่สุดคือ
พญายมที่จู้จี้จุกจิกมาตลอด และสถานะสูงส่งเช่นนี้ กลับทานสิ่งที่ดูน่ารังเกียจในสายตาเขาเข้าไป
สุดท้ายเป็นเพราะเขาแปลกใจอยากลิ้มลอง หรือว่าเพราะเหตุใด!
ขณะเล่อเหยาเหยาสงสัยในใจ กลับไม่รู้ตัวว่า ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดก็คือ
ที่แท้ ‘เขา’ชอบทานสิ่งนี้ เขาจะจดจำไว้
…
หลังจากทุกคนดื่มกินจนอิ่ม ท้องฟ้ามืดมนไปแล้ว
แต่ริมฝั่งของทะเลสาบซีหู พวกร้านค้าแผงลอยกลับขายอย่างคึกคักเร่าร้อน เสียงหัวเราะครึกครื้นแว่วไกลมาบนฝั่งไม่ขาดสาย เห็นชัดว่ามีคนกำลังเมามายโวยวายอยู่ที่นั่น
พวกเล่อเหยาเหยาที่อยู่บนเรือ เพิ่งทานดื่มจนอิ่ม กลับไม่รู้สึกง่วงงุนแม้แต่เล็กน้อย
โดยเฉพาะเมื่อยังอยู่บนดาดฟ้าเรือ รับสายลมเย็นยามค่ำคืน ทำให้รู้สึกสบายอย่างยิ่ง
และเวลานี้ เสี่ยวเอ้อร์บนเรือยกอาหารที่เหลือบนโต๊ะทั้งหมดลงไป เปลี่ยนเป็นนำกาน้ำชาดอกไม้ชั้นดีและสุราผลไม้ ขึ้นมา
เพราะเมื่อครู่เพิ่งทานอิ่ม เล่อเหยาเหยาจึงขี้เกียจขยับตัว นั่งแบะพุงกลมโตอยู่บนเก้าอี้ ทว่าใบหน้ากลับแสดงท่าทีพออกพอใจ
คล้ายแมวน้อยแสนน่ารักที่เพิ่งกินอิ่มจนพุงกาง ทำให้คนที่เห็นรู้สึกสงสารขึ้นมาจากในใจ
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาทานอิ่ม ตงฟางไป๋อดหยิบกาน้ำชา รินชาดอกไม้ให้เล่อเหยาเหยาไม่ได้ ก่อนยื่นไปตรงหน้าเธอ
“มา ดื่มชาล้างคอก่อนเถิด!”
“ขอบคุณพี่ไป๋”
เมื่อเห็นตงฟางไป๋ใส่ใจเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาอดหันไปยิ้มให้แก่เขาไม่ได้
ตรงข้ามกับด้านของตงฟางไป๋และเล่อเหยาเหยา เหนียนซูหลานเวลานี้ก็กำลังรินชาดอกไม้ให้กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จากนั้นใช้สายตาอ่อนโยนดุจน้ำมองใบหน้ายโสโอหังนั้นของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนช้อย ดุจกระแสน้ำที่ดึงดูดใจคน
“พี่อวี๋ ดื่มชาเถิด ดื่มสุราไม่ดีต่อร่างกาย!”
ภายในน้ำเสียงของเหนียนซูหลาน ดูอ่อนโยน ทว่าแฝงด้วยความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง ทำให้คนฟังต่างเข้าใจความในใจที่เธอมีต่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋
ส่วนเล่อเหยาเหยาที่ได้ยินคำพูดของเหนียนซูหลาน ยังอดเงยหน้ามองฝั่งตรงข้ามไม่ได้
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เหนียนซูหลานที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น ขยับเข้าไปชิดใกล้พญายมมากขึ้น
เห็นเพียงเหนียนซูหลานกำลังถือถ้วยชา ร่างกายนั้นพิงบนตัวพญายมราวกับไร้เรี่ยวแรง
ท่าทางเช่นนี้ของเธอ ดึงดูดใจคนยิ่งนัก
…………………………………………..