สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 136 ความอ่อนโยนในดวงตาเย็นชา (รีไรท์)
เมื่อรู้สึกถึงสายตาค้นหาความจริงของเหนียนซูหลาน ทำให้เล่อเหยาเหยาตกใจชั่วขณะ เห็นชัดว่าเหนียนซูหลานกำลังหาคำตอบบางอย่าง
เพราะเธอตอนนี้เป็นเพียงขันทีผู้หนึ่ง ในสายตาของคนสูงส่งเช่นพวกเขา เดิมทีเธอไม่มีค่าอันใดเลย
ดังนั้น ตอนนี้ชายหนุ่มสูงส่งดุจเทพเซียนกลับลดตัวมาโอบกอดบ่าวเช่นเธอ จะไม่ทำให้คนตกตะลึงได้เช่นไร!
ยิ่งกว่านั้น เหนียนซูหลานมีใจแก่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ แม้กระทั่งคนตาบอดยังสามารถมองเห็นได้
แต่พญายมล่ะ!
เขาสนใจเหนียนซูหลาน หรือว่าไม่สนใจกันแน่!
หากไม่สนใจ เมื่อคืนเหตุใดเขาต้องไปส่งเหนียนซูหลาน วันนี้ยังออกไปไหนต่อไหนกับเธอสองคนอีก!
หากสนใจ ตอนนี้เหตุใดเขาจึงมาโอบกอดบ่าวที่ฐานะต่ำต้อยเช่นเธอกัน!
เวลานี้เล่อเหยาเหยาสับสนในใจ
ทว่าเธอก็รู้ว่าแม้เธอจะคิดจนสมองแตก ก็คงเดาความคิดในใจของชายตรงหน้านี้ไม่ได้แน่
แต่ถูกหญิงงามอายุมากกว่าถลึงตามองเช่นนี้ เธอพลันรู้สึกกดดันอย่างหนัก
ความรู้สึกนั้น คล้ายเป็นมือที่สามถูกภรรยาจับได้อย่างไรอย่างนั้น!
หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดเงยหน้ามองไปยังใบหน้าเคร่งขรึมของพญายม ก่อนเอ่ยถามอย่างขลาดกลัวว่า
“ท่านอ๋อง คุณหนูเหนียน”
เล่อเหยาเหยายังเอ่ยไม่จบ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่หลังจากได้ยินคำพูดของเธอ พลันหันหน้าไปเอ่ยกับหนานกงจวิ้นซีด้านข้างว่า
“ศิษย์น้อง เดี๋ยวเจ้าไปส่งซูหลานด้วยนะ”
น้ำเสียงของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เย็นชา และหนักแน่นอย่างไร้ข้อกังขา
หนานกงจวิ้นซีได้ยิน ใบหน้าพลันตะลึงชั่วขณะ ส่งเสียงอย่างตกใจขึ้นว่า
“หืม!”
เห็นชัดว่าหนานกงจวิ้นซีถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋สั่งกำชับอย่างกะทันหันจนตกใจ ไม่ใช่เพียงเขา กระทั่งเหนียนซูหลานก็แปลกใจเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ มองแผ่นหลังที่ไร้เยื่อใยของเขาอีกครั้ง
แม้กระทั่งหางตาเขาก็ไม่มองมาที่เธอ เพราะสายตาเขาตกอยู่เพียงขันทีน้อยในอ้อมกอด
เพราะเหตุใดกัน!
หรือสำหรับเขา ขันทีน้อยผู้หนึ่งสำคัญมากกว่าเธอ!
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเหนียนซูหลานพลันว่างเปล่า
…
พระจันทร์คล้อยทางทิศตะวันตก ทางช้างเผือกเคลื่อนย้าย เมฆไหลหมุนวน สายลมเย็นพัดโชย
เวลานี้เงียบสงัด รอบด้านไร้ผู้คน เหลือเพียงเสียงตีเกราะเคาะไม้บอกเวลาแว่วมาไม่ไกล และเสียงเห่าหอนของสุนัข โดยไร้เสียงอย่างอื่น
แสงจันทร์ขาวกระจ่างที่สาดอ่อนโยนลงมานั้น ทำให้ใต้หลังคาเกิดเงาหลากสีสันขึ้น
เมืองหลวงตอนกลางวัน แม้จะคึกคักเป็นพิเศษ เสียงผู้คนสับสนวุ่นวาย จนไร้ที่ว่าง ผู้คนเดินขวักไขว่
คิดไม่ถึงเมืองหลวงตอนกลางคืน บนถนนกลับหนาวเย็นเช่นนี้
หากเดินบนถนนเพียงผู้เดียว ในใจคงหวาดหวั่นเป็นแน่!
แม้ตอนนี้จะไม่ได้อยู่ผู้เดียว แต่ในใจเล่อเหยาเหยายังกังวลประหลาดใจ ทว่านั่นเป็นเพราะมีเหตุผล
นั่นคือ…
เธอยังคงอยู่ในอ้อมกอดของพญายม
สำหรับการรับรู้นี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาประหลาดใจอย่างมาก
เพราะร่างกายของเธอไม่ได้เป็นสิ่งใด แต่ดูจากท่าทางพญายม เห็นชัดว่าอุ้มเธอราวกับเสพติดไปแล้ว!
แต่เขากลับคล้ายคนที่ไม่เป็นสิ่งใด ใบหน้าเย็นชาโอหังนั้น ยังคงทำให้คนคาดเดาความคิดไม่ได้เช่นเดิม
ทำให้เล่อเหยาเหยาอดใจลอยนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ไม่ได้
เมื่อครู่หลังพวกเขาลงจากเรือ เหนียนซูหลานยังไม่ยินยอม สุดท้ายหมดหนทาง ถูกหนานกงจวิ้นซีส่งกลับไปดุจผู้พิทักษ์ดอกไม้
ตงฟางไป๋ไปทางเดียวกับพวกเขา จึงนั่งรถม้ากลับไปพร้อมกัน คิดไม่ถึง พญายมกลับให้เขากลับไปก่อน
ตงฟางไป๋ได้ยิน เพียงพยักหน้าให้กับเขา หลังบอกลาเธอก็จากไป
สุดท้าย จึงเหลือเพียงพวกเธอที่เวลานี้คนขับรถม้าวิ่งเข้ามาเหงื่อชุ่มทั้งตัว สีหน้าวิตกกังวลพอดี ก่อนเอ่ยว่าล้อรถม้าไม่รู้เหตุใดจึงเสียหาย
คนขับรถม้านั้นคงเกรงพญายมจะลงโทษตน เพราะกลางดึกเช่นนี้ จะหารถม้าหยิบยืมได้ง่ายดายเช่นไร!
คิดไม่ถึง พญายมเพียงเอ่ยปากเบาๆ ประโยคเดียวว่า ‘ไม่เป็นไร’ท่ามกลางสายตาแปลกใจของคนขับรถม้านั้น ก่อนอุ้มเธอเดินจากไป
หากจะเดินกลับวังอ๋อง ความจริงแม้เล่อเหยาเหยาจะง่วง ทว่าเธอยังสามารถเดินกลับไปได้ ถึงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยกว่าหนึ่งชั่วยาม
หากเปลี่ยนเป็นพญายม จากฝีเท้าของเขา ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็ถึงอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่ทำให้เล่อเหยาเหยาแปลกใจที่สุดคือ พญายมเดินช้าอย่างมาก ดูแล้วคล้ายเดินกินลมชมวิว
ยังมีเพราะเธอน้ำหนักตัวไม่หนักหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงลืมเลือนว่าในอ้อมกอดเขายังมีเธอ!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดกระพริบตาคู่งามไม่ได้ พลันกัดริมฝีปากแดงเบาๆ ก่อนเอ่ยแฝงหยั่งเชิงหลายส่วนขึ้น
“คือว่าท่านอ๋อง บ่าวมิได้เป็นสิ่งใด ท่านวางบ่าวลงเถิด”
แม้บนถนนจะมีเพียงพวกเขา แต่เขาอุ้มเธออยู่เช่นนี้ หากถูกคนเห็นเข้าจะคิดเช่นไร!
แม้ไม่ได้ถูกเห็นเข้า ทว่าถูกพญายมอุ้มเช่นนี้ เธอมักกังวลในใจ รวมทั้งเดิมทีร่างกายเธอไม่ได้เป็นสิ่งใด พญายมเขามองเธออ่อนแอเกินไปหรือไม่!
ขณะที่เล่อเหยาเหยาสงสัยในใจ ชายหนุ่มที่อุ้มเธอเดินไปด้านหน้าโดยไม่พูดจา ยังไม่หยุดฝีเท้าลง แต่ก็ไม่ได้เพิ่มความเร็ว ยังคงรักษาความเร็วฝีเท้าไว้เช่นเดิม
อีกทั้งไม่รู้เขาได้ยินคำพูดของเธอหรือไม่ เพราะเขาไม่เอ่ยปากใดๆเลย
ขณะที่เล่อเหยาเหยาคิดว่าเขาคงไม่เอ่ยพูด กลับได้ยินเสียงทุ้มมีเสน่ห์แหบพร่าดังขึ้นเหนือศีรษะ
“เช่นนี้ ดียิ่งนัก”
เมื่อได้ยินคำพูดสั้นได้ใจความ ทุ้มต่ำมีเสน่ห์ ดุจสายลมยามดึกพัดผ่านมานั้น แฝงด้วยความเลื่อนลอยไม่จริงจัง
ทว่าคำพูดของชายหนุ่ม กลับทำให้เล่อเหยาเหยาตกใจ ดวงตาคู่งามเบิกขึ้น
เช่นนี้ ดียิ่งหรือ!
พญายมเอ่ยเช่นนี้ หมายถึงสิ่งใด
เล่อเหยาเหยาประหลาดใจ ทว่าเธอยังคิดความหมายของประโยคนี้ไม่ออก ได้ยินชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า
“เจ้าอยากเรียนดีดพิณหรือ”
“เอ่อ”
ได้ยินชายหนุ่มพลันเอ่ยขึ้นเช่นนี้ ทำให้ใบหน้าเล็กของเล่อเหยาเหยาตะลึงชั่วขณะ พลันนึกถึงเรื่องวันนี้ที่เธอเรียนดีดพิณอยู่ด้านหลังเรือนกับตงฟางไป๋ ก่อนพญายมจะเห็นเข้า
คิดไปแล้ว จึงเอ่ยตามความจริงว่า
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
คิดดูแล้วหลังเธอมาถึงที่นี่ ความจริงทุกวันต่างผ่านไปด้วยดี ทว่าบางครั้งเบื่อหน่าย
วันนี้หลังได้ยินเสียงเพลงพิณของตงฟางไป๋ เธอชื่นชอบพิณทันที
คิดว่า ต้องมีวันหนึ่งที่ตนก็สามารถเป็นเหมือนตงฟางไป๋ ดีดพิณได้อย่างยอดเยี่ยม โดยไม่สูญเสียความงดงาม!
หลังคิดถึงตรงนี้ แววตาเล่อเหยาเหยาเป็นประกายปรากฎความใฝ่ฝันขึ้น
ภายใต้แสงจันทร์ ดุจศูนย์รวมของแสงจันทร์อันสุกสกาว สว่างไสว ทำให้ยากที่จะมองข้าม!
เห็นเช่นนั้น ดวงตาเย็นชาแคบยาวคู่นั้นของชายหนุ่มอดเป็นประกายครู่หนึ่งไม่ได้ สุดท้ายหลังเขาเงียบเป็นเวลานาน จึงเอ่ยปากขึ้นว่า
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ ข้าจะสอนเจ้าเล่นพิณด้วยตนเอง”
น้ำเสียงของชายหนุ่มยังคงทุ้มต่ำเช่นเดิม แต่เมื่อเล่อเหยาเหยาได้ฟัง กลับดุจสายฟ้าฟาด เล่อเหยาเหยาตกใจจนตาเบิกกว้างอยู่ตรงนั้น ปากเล็กอ้ากว้าง สีหน้าตกตะลึง จนสุดที่จะบรรยายได้ กระทั่งพูดจายังตะกุกตะกัก
“อ๊ะ! ท่า…ท่า…ท่านอ๋อง ”
สวรรค์!
เธอฟังผิดไป หรือวันนี้พญายมดื่มมากเกินไป!
เขาจึงเอ่ยว่าจะสอนพิณเธอเช่นนี้!
เขามิใช่มีกิจธุระงานบ้านเมืองมากมายหรือ! รวมทั้งเวลานี้ยังมีคนงามอย่างเหนียนซูหลานปรากฏตัวขึ้นมาอีก เขามิใช่ยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้หรือ! เหตุใดกลับยังมีเวลาว่างมาสอนพิณเธอกัน!
เล่อเหยาเหยาตกใจอย่างหนัก ทว่าเธอค่อยๆ ได้สติ ก่อนคิดเอ่ยปากปฏิเสธ
เพราะพญายมมีท่าทีผิดปกติ นิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ อยู่กับเขาเป็นเวลานาน เธอกลัวว่าจะตกใจจนจับไข้
รวมทั้งวันนี้เธอตกลงกับตงฟางไป๋เรียบร้อยแล้ว ว่าต่อไปเขาจะเป็นคนสอนพิณเธอ!
คนหนึ่งคือพญายมที่นิสัยเย็นชาโอหัง คนหนึ่งคือพี่ใหญ่ที่นิสัยอ่อนโยนสุภาพ แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าควรเลือกผู้ใด!
หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาเดิมทีคิดเอ่ยปากพูดบางอย่าง คิดไม่ถึง บางคนกับคล้ายพยาธิภายในท้องเธอ เธอยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ดวงตาเย็นชาชำเลืองมองมาที่เธอ เล่อเหยาเหยาจึงตกใจจนสั่นเทิ้ม จนแทบดิ้นลงจากอ้อมกอดของพญายม
หลังจากนั้น ยังมีเสียงเคร่งขรึมของชายหนุ่มดังขึ้น
“เป็นอันใด ไม่พอใจหรือ! ”
“เอ้อ มะ…มะ…ไม่ บ่าวมิกล้า”
เมื่อเห็นสายตาเคร่งขรึม แฝงด้วยการตักเตือนของชายหนุ่ม
คล้ายกับว่าหากเธอกล้าไม่เชื่อฟัง เธอจะกลายเป็นห้าม้าแยกศพแน่
เล่อเหยาเหยาหลังตกใจพลันพยักหน้าดุจคลื่น ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ยิ้มแย้มประจบประแจงขึ้น ก่อนเอ่ยเยินยอชายหนุ่ม
“ฝีมือพิณท่านอ๋องเลิศล้ำ บ่าวจะไม่พอใจได้เช่นไร! บ่าวดีใจอย่างมาก และยังเลื่อมใสท่านอ๋อง ดุจแม่น้ำไหลเอื่อย ไร้ที่สิ้นสุด”
ยกปั้นเยินยอคือความสามารถที่บ่าวควรจะมี
หากคิดทำงานในวังอ๋อง ปากต้องหวาน จึงจะไม่มีความผิด กลับกันการประจบสอพลอก็ไม่ต้องใช้เงินมิใช่หรือ!
เห็นชัดว่าครั้งนี้เธอประจบพญายมได้อย่างยอดเยี่ยม ได้รับการยอมรับจากพญายมมาก
ใบหน้าที่เดิมทีเคร่งขรึมค่อยๆ อ่อนโยนลง และค่อยๆ ปรากฎรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก
“หากเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ตกลงตามนี้”
“เอ่อ”
เมื่อเห็นพญายมสรุปรวบรัดเพียงประโยคเดียว เล่อเหยาเหยาเพียงก้มหน้าลงอย่างแปลกใจ
เดิมทีคิดว่ายังต้องลงจากอ้อมแขนของพญายม
ไม่รู้ว่าเพราะเมื่อครู่ถูกพญายมทำให้ตกใจไปรอบหนึ่งหรือไม่ เล่อเหยเหยาจึงอ่อนล้าทั้งกายและใจ จากนั้นความง่วงงุนเข้ามาเยือน ไม่นานก็ค่อยๆ ปิดดวงตาคู่นั้นลง
เมื่ออยู่ในอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของอำพันทะเล และเสียงหัวใจเต้นอันราบเรียบสะกดเข้า ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
หลังจากเล่อเหยาเหยาหลับไป กลับไม่รู้ตัวว่าหลังจากชายหนุ่มรับรู้ว่าเธอหลับไป ก็ค่อยๆ ก้มหน้าลงมาจ้องมองเธอ
ดวงตาเย็นชาที่มักเรียบเฉย ดุจภูเขาน้ำแข็งเย็นยะเยือกคู่นั้น ได้ปรากฎความอ่อนโยนขึ้น
……………………………………