สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 141 ความในใจของไทเฮา (รีไรท์)
เสียงคุ้นหูแฝงความแปลกใจนั้น แม้เล่อเหยาเหยาไม่หันกลับไปมอง ก็รู้ว่าคือผู้ใด
ดังนั้น จึงยื่นมือซ่อนเก็บกระดาษของตนขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่คิดให้คนที่มา ได้เห็นข้อความบนกระดาษของตน
คนที่มามอง อดเบ้ริมฝีปากไม่ได้ ก่อนส่งเสียง ‘ชิ’ ออกมาอย่างไม่พอใจ
“มองสักหน่อยก็ไม่ได้ตาย เหตุใดต้องทำเป็นความลับด้วยล่ะ!”
สำหรับการกระทำของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีอดส่งเสียงฮึอย่างไม่พอใจไม่ได้
เล่อเหยาเหยาจึงเพียงมองเขาด้วยหางตาอย่างไม่เกรงใจตอบกลับเขาไป
“นี่คือความปรารถนาของบ่าว จึงไม่อยากให้ท่านรู้”
แม้เล่อเหยาเหยาจะรู้สึกว่าความจริงตนไม่ได้ปรารถนาสิ่งใด แต่เธอไม่อยากให้หนานกงจวิ้นซีล่วงรู้
ทว่ายิ่งเล่อเหยาเหยาทำลึกลับ หนานกงจวิ้นซียิ่งแปลกใจ
ในใจคล้ายมีแมวตัวน้อยกระโดดเข้าไป จนคันยุบยิบไม่หยุด
เล่อเหยาเหยายิ่งไม่อยากให้เขาล่วงรู้ เขายิ่งอยากรู้
ดังนั้น หนานกงจวิ้นซีจึงไม่สนใจสิ่งใด อาศัยความสูงแข็งแรงที่ได้เปรียบของตน ยื่นแขนออกไปดึงกระทงในมือเล่อเหยาเหยาไปทันที
ทว่า เล่อเหยาเหยาที่ล่วงรู้ถึงแผนการนี้ของเขาอยู่แล้ว จึงกระโดดถอยหลังอย่างรวดเร็ว ก่อนเห็นว่าตงฟางไป๋อยู่ด้านหลังตนพอดี จึงไปหลบที่ด้านหลังของเขาทันทีโดยไม่คิด
หนานกงจวิ้นซีเห็นเช่นนั้น กลับไม่ได้หยุดการกระทำของตนลง เพราะความดื้อรั้นในใจ มิอาจขวางกั้นเอาไว้ได้
สุดท้าย เป็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ทนมองต่อไปไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นอยู่ด้านข้างว่า
“จวิ้นซี เลิกวุ่นวายได้แล้ว”
น้ำเสียงแฝงการเตือนของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ทำให้หนานกงจวิ้นซีหัวเราะออกมา ก่อนไม่สร้างความวุ่นวายอีก
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น ถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่าสุดท้ายยังไม่ลืมที่จะแลบลิ้นปลิ้นตาให้หนานกงจวิ้นซี
การกระทำนี้ เธอตั้งใจยั่วโมโหหนานกงจวิ้นซี
คิดไม่ถึง หลังจากเธอทำท่าทางนี้จบ กลับรู้สึกถึงสายตาอันร้อนแรงมองมาที่ตน
สายตานั้นดูแปลกตาอย่างยิ่ง ทำให้ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตะลึงชั่วขณะ ก่อนหันกลับไปมองที่มาของสายตานั้น
เมื่อเห็นท่าทางชายหนุ่มผู้นั้น เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงเกิดเสียง ‘ตูม’ในสมอง ก่อนพลันขาวโพลน
เพราะคนผู้นั้นมิใช่ผู้ใด แต่เป็นผู้นำสูงสุดของแคว้นเทียนหยวน
ฮ่องเต้!
เล่อเหยาเหยาเห็นโอรสสวรรค์องค์นี้เพียงแวบเดียวในงานประสูติของไทเฮา สุดท้ายโอรสสวรรค์องค์นี้เพียงยังสร้างความประทับใจให้แก่ตนอย่างมากอีกด้วย
เพราะโอรสสวรรค์องค์นี้เพียงไม่รู้เวลานั้นมีสิ่งใดดลใจ ต่อหน้าเหล่าขุนนาง คิดให้เธอโยกย้ายไปอยู่ข้างกายเขา สุดท้ายเธอจึงปฏิเสธไป
โชคดีที่ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงพิโรธ เธอจึงโล่งอก
เวลานี้ ฮ่องเต้ทรงมองเธออีกครั้งเพื่อสิ่งใด!
อีกทั้ง สายตาที่มองเธอเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ทำให้เล่อเหยาเหยาพลันนึกถึงจิ้งจอก!
ไม่ผิด คือจิ้งจอก!
ครั้งก่อนที่เจอฮ่องเต้ครั้งแรกที่ตำหนักหลงเทียน รู้สึกเพียงพระองค์ดูสูงส่งแฝงความงามสง่า แต่แฝงความเด็ดเดี่ยว
เวลานี้มองดวงตาที่เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มคู่นั้นของพระองค์อีกครั้ง คล้ายสุนัขจิ้งจอกที่กำลังวางแผนบางอย่าง ทำให้เล่อเหยาเหยา พลันขนลุกชัน หนังศีรษะอดชาวาบไม่ได้
“เอ่อ”
“ขันทีน้อยผู้นี้ น่าสนใจเสียจริง กระทั่งวันนี้เจิ้นยังจำการแสดงเรื่องอู่ซงตีเสือครั้งที่แล้วได้ ช่วงหลังมานี้เหล่านางสนมต่างสั่งให้มีการแสดงนี้ขึ้น ช่างดูไม่เบื่อเสียจริง!”
ขณะที่เล่อเหยาเหยาถูกฮ่องเต้มองจนหนังศีรษะชาวาบ โชคดีที่สายตาของฮ่องเต้ละจากเธอไป
ทว่าเล่อเหยาเหยายังไม่ทันถอนหายใจ พลันได้ยินรับสั่งเช่นนี้ขึ้นมา
เพราะถึงอย่างไรก็เกี่ยวข้องกับตน เล่อเหยาเหยาจึงย่อมยืนฟังอย่างตั้งใจ!
อีกทั้ง หลังฟังฮ่องเต้รับสั่งประโยคนี้จบ สายตาเล่อเหยาเหยาอดแอบมองไปยังพญายมที่อยู่ข้างกายไม่ได้
เห็นเพียงหลังจากชายหนุ่มได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ ใบหน้าดุจน้ำแข็งหมื่นปีนั้น แม้ตอนเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ ยังเย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นเดิม ช่างเป็นคนที่เย็นชาเสียจริง!
“เสด็จพี่ทรงชมเกินไปแล้ว ‘เขา’มีความสามารถเพียงน้อยนิดเท่านั้น”
น้ำเสียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋เย็นชา มองเล่อเหยาเหยาอย่างไม่เต็มใจ ทว่าร่างกายสูงใหญ่นั้น กลับเข้ามาขวางหน้าเล่อเหยาเหยาโดยไม่รู้ตัว ทำให้บดบังสายตาสำรวจของชายหนุ่มตรงหน้าไว้
เพราะเขาไม่ได้ลืมเลือน ครั้งก่อนในตำหนักหลงเทียนเสด็จพี่ปรารถนาได้คนตัวเล็กนี้
สำหรับท่าทางปกป้องหวงแหนของเหลิ่งจวิ้นอวี๋นี้ ฮ่องเต้เหลิ่งจวิ้นเทียนเพียงยิ้มมุมปาก ไม่รับสั่งสิ่งใดออกมาอีก
เวลานี้กลุ่มของพวกเขาได้มาถึงริมฝั่งของทะเลสาบแล้ว
เห็นเพียงเวลานี้ เพราะเทศกาลดอกบัวมีเพียงปีละครั้ง ด้านข้างทะเลสาบถึงแน่นขนัด ผู้คนเดินขวักไขว่
ทว่าเมื่อเป็นโอรสสวรรค์ เพียงมีเงิน มักจะหาที่นั่งที่ดีได้
ดังนั้น ไม่นานกลุ่มของเล่อเหยาเหยา จึงไปที่ศาลาพักร้อนหยกขาวที่อยู่ริมฝั่งของทะเลสาบ
เวลานี้น่าจะประมาณยามซวี ดวงดาวบนฟ้าระยิบระยับ พระจันทร์ลอยเด่น ทำให้พื้นที่ของจักรวาลถูกตกแต่งอย่างงดงามไร้ที่สิ้นสุด
สายลมยามค่ำคืนพัดโชย ความร้อนในตอนกลางวันหายไป ก่อนส่งสายลมเข้ามาแทนที่ ทำให้ผู้คนสดชื่น
หลังจากพวกเล่อเหยาเหยาเข้ามานั่งในศาลาพักร้อน มีคนนำผลไม้ น้ำชามากมายขึ้นมาวางบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
เวลานี้ ไทเฮาที่สนทนาบางอย่างกับเหนียนซูหลานอยู่ตลอดเวลา ก็คล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงหันกลับไปมองเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม ก่อนรับสั่งอย่างอ่อนโยนว่า
“อวี๋เอ๋อร์ ปีนี้เจ้าคล้ายอายุสิบแปดแล้วสินะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”
เมื่อได้ยินรับสั่งของไทเฮา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงเอ่ยปากขึ้นเบาๆ
สำหรับสีหน้าเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ไทเฮาคุ้นชินจนเป็นปกติ
อีกทั้งไทเฮาก็ถือว่ามองเหลิ่งจวิ้นอวี๋เติบโตขึ้นมา จึงรู้ว่าเขาแข็งนอกอ่อนใน
ไทเฮายังไม่ได้เข้าเรื่อง กลับเบนหัวข้อออกไป
หลังได้ยินคำตอบของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงรับสั่งขึ้นอีกครั้งว่า
“เทียนเอ๋อร์อายุเท่าเจ้า ก็ตบแต่งพระสนมสองคนสามคนแล้ว อวี๋เอ๋อร์น่าจะถึงเวลาสร้างครอบครัวได้แล้วกระมัง!”
พอไทเฮารับสั่งขึ้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดิมทีมีสีหน้าเรียบเฉย เพียงเลิกคิ้วขึ้น กวาดสายตาครู่หนึ่ง ก็เห็นสายตาสนุกในความลำบากของผู้อื่นของฮ่องเต้เหลิ่งจวิ้นเทียน ที่ยิ้มเพียงมุมปาก
อันที่จริงจุดประสงค์ในใจของไทเฮาคือสิ่งใด ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ
แต่ว่า เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับเพียงเงียบงันชั่วขณะ คล้ายขบคิดบางสิ่ง
ไทเฮาเห็นเช่นนั้น ก็ไม่รีบกดดันเขา กลับมองไปยังเหนียนซูหลานที่ก้มหน้าแดงก่ำอย่างเขินอาย นั่งอยู่ข้างกายตนด้วยสีหน้ารักใคร่
เห็นเพียงวันนี้เหนียนซูหลาน สวมกระโปรงสีกุหลาบปักลายดอกโบตั๋นบางเบาดุจแสงจันทร์
กระโปรงนั้นเป็นแบบที่ได้รับความนิยมที่สุดในเมืองหลวงปีนี้ ทำให้เธอรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น สง่างดงาม
ส่วนผมด้านบนของเธอ ปักด้วยปิ่นจ้าวเยว่ที่ได้รับความนิยมที่สุดในปีนี้ ตรงกลางพวงปิ่นสลักดอกโบตั๋น เมื่อร่างกายเธอเคลื่อนไหว ปิ่นพวงทองที่ตรงกลางผมเธอพลิ้วไหวไปมา ทำให้เธอดูหลากหลายลักษณะ
ต้องพูดว่าเหนียนซูหลานคือสาวงามที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม และชำนาญด้านการแต่งกายอย่างยิ่ง
ดังสุภาษิตที่ว่ารูปงามสามส่วน แต่งตัวเจ็ดส่วน เธอสามารถใช้รูปโฉมที่ไม่เลวนั้น แต่งกายให้ตนดูเปล่งประกายดึงดูดใจ ทำให้ผู้คนละเลยเธอได้ยาก!
ขณะที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋นิ่งเงียบ ใจของเหนียนซูหลานเต้นระรัวอย่างที่สุด
สองมือที่วางบนเข่าดึงผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไม่หยุด ใบหน้าเรียวก็ก้มต่ำลง
ตรงข้ามกับเหนียนซูหลานที่กระวนกระวายใจ เล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้าง หลังได้ยินคำพูดของไทเฮา สายตาก็มองไปยังชายหนุ่มชุดดำด้านหน้าของตนอย่างรวดเร็ว
ความหมายของไทเฮา เธอไม่ใช่คนโง่เขลา จึงย่อมฟังเข้าใจ
อีกทั้งเหนียนซูหลานผู้นี้ ได้รับความโปรดปรานจากไทเฮา ดังนั้นครั้งนี้ผู้ที่สายตาเฉียบแหลมก็ต้องมองออกว่า ไทเฮาคิดออกหน้าแทนเหนียนซูหลาน
ตอนนี้ต้องรอดูว่าพญายมจะตอบเช่นไร
หากเขาตอบตกลง เช่นนั้นไทเฮาต้องไม่พลาดโอกาสที่หาได้ยากนี้แน่ โดยการให้เหนียนซูหลานอภิเษกกับเขา
พอนึกถึงพญายมต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น เล่อเหยาเหยาจึงอดอึดอัดใจไม่ได้
คล้ายมีคนกำลังใช้มือสอดเข้าไปภายในหัวใจเธอ ทำให้ในใจเธอทรมานไม่หยุด
กระทั่งเธอรู้สึกประหลาดใจ ว่าตนทรมานเรื่องใดกันแน่!
เวลานี้ เล่อเหยาเหยาสงสัย ทว่าในเธอยังใจเต้นระรัว ขณะรอคำตอบของพญายม
สุดท้าย เขาจะตอบเช่นไรกันแน่!
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาเล่อเหยาเหยาจ้องเขม็งไปที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างกังวลสุดที่จะบรรยายได้
เพราะเวลานี้สายตาของทุกคนมองไปยังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงไม่มีผู้ใดสังเกตถึงเรื่องนี้
แต่คนอื่นไม่สังเกตถึงเรื่องนี้ กลับมิได้รวมถึงตงฟางไป๋
เมื่อเห็นสีน่าวิตกกังวลของเล่อเหยาเหยา ใจของตงฟางไป๋พลันปวดหนึบ
เธอคงกำลังกังวล!
เหตุใดเธอถึงชื่นชอบอวี๋!
เหตุใดเขาไม่เจอเธอให้เร็วกว่านี้!
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจตงฟางไป๋อึดอัด สุดท้ายเพียงยกสุราขึ้นดื่มย้อมใจ ปิดบังรอยยิ้มขมขื่นนั้น
ขณะเดียวกันเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นิ่งเงียบมานาน ท่ามกลางสายตาของทุกคนเพียงเผยอริมฝีปาก ก่อนเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า
“เสด็จแม่ ตอนนี้ลูกยังไม่มีแผนการที่จะอภิเษก!”
น้ำเสียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋แม้จะเบา แต่ความหนักแน่นในน้ำเสียง กลับมิอาจละเลย
เมื่อได้ยิน สีหน้าไทเฮาร้อนรนหลายส่วน
“อวี๋เอ๋อร์ เจ้าอายุไม่น้อยแล้ว รวมทั้งเรื่องลงหลักปักฐานช้าเร็วต้องเกิดขึ้น เจ้า…”
ไทเฮาคิดจะรับสั่งบางสิ่ง ทว่ากลับถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋ตัดบทเสียก่อน
“เสด็จแม่ เมื่อเรื่องลงหลักปักฐานช้าเร็วต้องเกิดขึ้นแน่ เช่นนั้นยืดให้ออกไปน่าจะเหมาะกว่า!”
เห็นชัดว่าสำหรับเรื่องแต่งงานที่ไทเฮาเอ่ยถามกดดันเขา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ดูอดทนไม่ได้แล้ว
ไทเฮาย่อมมองเรื่องนี้ออก แต่พระองค์กำลังร้อนใจ
“อวี๋เอ๋อร์ เจ้าคงยังมิมีหญิงสาวที่ชื่นชอบใช่หรือไม่!”
รับสั่งนี้ของไทเฮา ตรงไปตรงมายิ่งนัก หลังพระองค์รับสั่งประโยคนี้จบ ทุกคนต่างพลันเงียบงัน เพราะทุกคนต่างอยากฟังคำตอบของเหลิ่งจวิ้นอวี๋
โดยเฉพาะเหนียนซูหลาน
เพราะเธอรักชายผู้นี้มาหลายปี ใฝ่ฝันตลอดว่าจะกลายเป็นเจ้าสาวของชายผู้นี้
แต่ชายผู้นี้ สายตาของเขาคล้ายไม่เคยสนใจเธอเลย เธอจึงร้อนใจอย่างมาก!
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาโศกเศร้าของเหนียนซูหลาน จ้องมองไปยังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ท่าทางราวร้องไห้นั้น ดูไปแล้วช่างน่าสงสารเสียจริง
………………………………………