สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 144.1 เด็กน้อย เจ้ากำลังยั่วยวนเปิ่นหวางหรือ (1) (รีไรท์)
- Home
- สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!
- ตอนที่ 144.1 เด็กน้อย เจ้ากำลังยั่วยวนเปิ่นหวางหรือ (1) (รีไรท์)
เล่อเหยาเหยานึกย้อนไปว่าสิบแปดปีที่ผ่านมา คนที่เอ่ยว่าชื่นชอบตน ความจริงมากมายทีเดียว
เพราะตนก่อนหน้านี้ถือว่ารูปโฉมชวนพิศอย่างยิ่ง ในโรงเรียนมีชายหนุ่มที่ส่งจดหมายสารภาพรักมาให้เธอก็มีไม่น้อย แต่เธอใช้เหตุผลเรื่องการเรียน ปฏิเสธมาโดยตลอด
เพราะโตมาอายุขนาดนี้ ยังไม่มีชายใดทำให้เธอใจหวั่นไหวมาก่อน
ทว่าวันนี้ ไม่รู้คือวันใด ภายในหนึ่งวันกลับมีชายสองคนมาสารภาพรักต่อเธอ!
อีกทั้งชายสองคนนี้ พูดตามความจริง รูปร่างโดดเด่น สถานะโดดเด่น นิสัยแตกต่างกัน ไม่ว่าผู้ใดปรากฎตัว ต่างทำให้สตรีหลงใหล
เริ่มจากพญายม!
พญายมในใจเธอ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอมีแต่ความหวาดกลัวให้กับเขา
เพราะมาถึงที่นี่ครั้งแรก ได้ยินข่าวลือที่ทำให้คนหวาดผวามาไม่น้อย ในใจเธอจึงเริ่มหวาดกลัวเขา
สุดท้ายเห็นพญายมคนเดียวใช้มือเปล่าฟาดฟันเหล่าโจรภูเขาสิบกว่าคนด้วยตาตนเอง ภาพขาหักแขนขาดท้องไส้ทะลักสมองกระจายนั้น กระทั่งวันนี้นึกถึงเธอยังคงหวาดกลัวในใจ ดังนั้นตนจึงหวาดกลัวพญายมยิ่งขึ้น
กลัวว่าตนเพียงไม่ระมัดระวังจะทำให้ท่านอ๋องนี้ไม่พอใจ เพียงปลายนิ้วของเขา สามารถมอบความตายให้เธอได้
ดังนั้นขณะที่ปรนนิบัติพญายม เธอจึงตั้งใจอย่างยิ่ง ด้วยกลัวว่าตนจะทำเรื่องผิดพลาด จะทำให้พญายมโมโห
และความหวาดกลัวที่เธอมีต่อพญายม ก็ค่อยๆ กลายเป็นความคุ้นชิน
จนกระทั่งช่วงนี้ เธอจึงพบว่าพญายมที่สังหารคนราวผักปลาในสายตาคนบนโลก คล้ายมีบางอย่างแตกต่างออกไป ความหวาดกลัวเขาจึงลดน้อยลงอย่างช้าๆ
ทว่ากระทั่งวันนี้พญายมสารภาพรักกับเธอ ความจริงเล่อเหยาเหยายังสับสนอย่างหนัก
เพราะเกรงว่าจะเป็นครั้งแรกที่พญายมสารภาพรักกับคนผู้หนึ่ง!
เขาพูดว่าเขาต้องการเธอ!
แต่ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขา กลับยังคงสับสนไม่หยุด
ดังนั้นคำตอบนี้ เธอจึงตอบเขาไม่ได้ ทว่ากลับกลัวว่าหากเธอพูดว่าไม่ชื่นชอบเขา พญายมจะสับเธอออกเป็นชิ้นๆ
คิดไปแล้ว ในใจเล่อเหยาเหยาขนพองสยองเกล้า
ต่อมาพูดถึงองค์ชายเจ็ดตรงหน้านี้!
ความจริงเดิมทีเธอไม่รู้ว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาสารภาพรักกับเธอ
เพราะนึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่พวกเขาเจอหน้ากัน พวกเขาขัดแย้งกันมากขึ้น
รวมทั้งปกติมิตรภาพระหว่างพวกเขา คล้ายเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาแต่ชาติก่อน แต่ละวันหากไม่ลับฝีปากกัน พวกเขาต่างรู้สึกว่าไม่คุ้นชิน
สำหรับเขา ถือว่าไม่ได้ชื่นชอบ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะสารภาพรักกับเธอ
อีกทั้งเธอในสายตาเขา เป็นเพียงขันทีผู้หนึ่ง!
หรือตอนนี้ทุกคนต่างไม่สนใจว่าเรื่องรักต่างเพศ เป็นความรักที่ผิดรูปแบบ!
หรือวันนี้เขาบ้าคลั่งขึ้นมา!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาหลังได้สติ พลันเอ่ยปากขึ้น
“แต่บ่าวเป็นขันทีนะ”
เดิมคิดว่าเพียงตนพูดเช่นนี้ หนานกงจวิ้นซีจะยกธงขาวยอมแพ้ไปเอง
คิดไม่ถึง หลังได้ยินคำพูดของเธอ หนานกงจวิ้นซีเพียงนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนพลันเอ่ยปากขึ้น
“เมื่อศิษย์พี่ใหญ่ไม่สนใจ เหตุใดข้าต้องสนใจด้วย อีกทั้งข้าชื่นชอบเจ้า ไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นบุรุษหรือสตรี!”
“เอ่อ”
หนานกงจวิ้นซีเอ่ยอย่างหนักแน่นเช่นนี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาพลันไม่รู้ควรตอบเช่นไร
หลังประหลาดใจ เล่อเหยาเหยาเอ่ยอย่างอึดอัดขึ้นว่า
“ก่อนหน้านี้ท่านเกลียดชังบ่าวมากมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้จึงพูดว่าชื่นชอบบ่าว”
สำหรับคำถามนี้ ความจริงเล่อเหยาเหยาแปลกใจอย่างยิ่ง
เพราะมิตรภาพระหว่างเธอและหนานกงจวิ้นซี ดุจน้ำกับไฟที่ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้ ตอนนี้เขากลับสารภาพรักกับเธอ หรือ…
“ท่านกำลังกลั่นแกล้งบ่าวใช่หรือไม่ บ่าวทราบดี”
คล้ายในที่สุดล่วงก็รู้ถึงอุบายของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาจึงโมโหอย่างหนัก
น้ำเสียงอดแฝงด้วยความโกรธเคืองไม่ได้
ทว่าสำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีกลับเงียบงันชั่วขณะ จึงเอ่ยเสียงเบาขึ้น
“ข้าจะนำเรื่องเหล่านี้มาล้อเล่นหรือ”
น้ำเสียงหนานกงจวิ้นซีทุ้มต่ำ เศร้าโศก ราวกับสัตว์ร้ายที่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คนฟังปวดใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยากัดฟันแน่น ไม่รู้จะตอบเช่นไรถึงจะดีที่สุด
หากพูดตรงๆ ออกไปว่าเธอไม่ชอบเขา จะทำร้ายจิตใจเขาเกินไปหรือไม่!
ทว่าที่ผ่านมา เธอปฏิเสธการสารภาพรักของชายหนุ่มเช่นนี้มาโดยตลอด ครั้งนี้ก็คงไม่แตกต่างกัน
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาคิดจะเอ่ยปากขึ้น ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับคล้ายรับรู้ถึงบางอย่างขณะที่เธอเงียบงัน เธอยังไม่ได้สติ ริมฝีปากตนพลันถูกริมฝีปากอ่อนนุ่มประกบอยู่ด้านบน
“เอ่อ”
เมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากของชายหนุ่มประกบลงบนริมฝีปากตน สมองเล่อเหยาเหยาพลันขาวโพลน
ทว่านั่นเพียงชั่วขณะเท่านั้น
หลังเธอได้สติ มือของตนคล้ายเคลื่อนไหวอัตโนมัติสะบัดออกไปอย่างรุนแรง
ต่อจากนั้น…
เสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังขึ้นก้องกังวานอย่างมาก เดิมทีหนานกงจวิ้นซีเพียงจุมพิตเล่อเหยาเหยาเบาๆ ร่างกายถอยหลังหนึ่งส่วนอย่างรวดเร็ว ออกห่างจากริมฝีปากของเล่อเหยาเหยา
ขณะรู้สึกเจ็บที่แก้มดุจไฟแผดเผา ทำให้หนานกงจวิ้นซีอดใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม มุมปากปรากฏรอยยิ้มขมขื่นออกมา
“ศิษย์พี่ใหญ่จุมพิตเจ้า เจ้าเคลิบเคลิ้ม ข้าจุมพิตเจ้า กลับทำให้เจ้ารังเกียจขนาดนั้นหรือ”
น้ำเสียงของหนานกงจวิ้นซีทุ้มต่ำเลือนราง ภายในปิดบังความผิดหวังไว้ไม่ได้
ครั้งแรกที่ได้ยินหนานกงจวิ้นซีใช้น้ำเสียงเอ่ยพูดเช่นนี้ กลับทำให้เล่อเหยาเหยาไม่คุ้นเคยยิ่งนัก
เพราะหนานกงจวิ้นซีก่อนหน้านี้ มักพูดจาตาต่อตา ฟันต่อฟันกับเธอ ตอนนี้ขณะที่โมโหอย่างหนัก คล้ายแฝงด้วยเสียงร้องไห้ที่แผ่วเบา กลับทำให้เล่อเหยาเหยาทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
เพราะรับมือชายหนุ่มที่เย่อหยิ่ง เธอมีหลากหลายวิธีในการรับมือ แต่รับมือชายหนุ่มที่โศกเศร้าเสียใจคล้ายกำลังร้องไห้ เธอทำสิ่งใดไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
อีกทั้งฝ่ามือยังรู้สึกเจ็บปวด ในใจเล่อเหยาเหยาเริ่มวิตกกังวล
มือคนที่ตบยังเจ็บปวด คนที่ถูกตบต้องเจ็บแน่นอน
ทว่าฝ่ามือเมื่อครู่นั้น เธอไม่ได้ตั้งใจ เพียงตกใจที่ถูกเขาจุมพิตเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นจึงไม่ทันคิดก็…
“ท่าน”
เดิมทีเล่อเหยาเหยาคิดเอ่ยพูดบางอย่าง ปลอบใจชายหนุ่มตรงหน้า
เพราะเป็นครั้งแรกที่ตบเขา ในใจเธอจึงรู้สึกเสียใจ
โดยเฉพาะชายหนุ่มตรงหน้านี้ ตอนนี้ยังคงเสียใจอย่างหนัก ราวกับ…เอ้อ…คงมิใช่ร้องไห้!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดชาวาบที่หนังศีรษะไม่ได้
ทว่าเธอยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด เสียงเคาะประตูกลับพลันดังขึ้น ในคืนที่เงียบงันนี้จึงดังก้องเป็นพิเศษ
หลังเสียงเคาะประตูดังขึ้น เล่อเหยาเหยาและหนานกงจวิ้นซีภายในห้องต่างตกตะลึง
เพราะตอนนี้เป็นเวลาดึกดื่น ผู้ใดจะมาเคาะประตูเวลานี้กัน!
ขณะที่เล่อเหยาเหยาและหนานกงจวิ้นซีต่างสงสัยในใจ เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าดังขึ้นจากอีกฝั่งของประตูไม้บานสลัก
“เจ้าหลับแล้วหรือยัง!”
เป็นพญายม!
หลังได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย ในใจเล่อเหยาเหยาดุจถูกค้อนทุบเข้าอย่างรุนแรง หัวใจก็พลันเต้นเร็วยิ่งขึ้น
ไม่รู้เพราะตอนกลางวันหลังทราบว่าพญายมมีใจให้กับตน เล่อเหยาเหยาจึงยังมึนงง ในใจก็ยังสับสนไม่หยุด
เพราะเดิมทีเธอยังไม่แน่ใจถึงความรู้สึกที่ตนมีต่อพญายม ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าตอนนี้ควรเผชิญหน้ากับพญายมเช่นไร
ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ชายหนุ่มที่เย็นชาจนทำให้คนเย็นยะเยือกจนตายได้ เวลานี้พลันเอ่ยพูดว่าชื่นชอบเธอ นี่คือเรื่องที่ทำให้คนยากที่จะยอมรับได้ที่สุดบนโลกนี้เสียจริง
ทว่าตอนนี้มิใช่เวลาคิดเรื่องนี้
ตอนนี้พญายมอยู่นอกประตู สามารถเข้ามาได้ทุกเมื่อ แต่ภายในห้องเธอ ยังมีชายหนุ่มอื่น! หากถูกพญายมรู้เห็นเข้า เช่นนั้นจะทำเช่นไรดี!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันกังวลขึ้นมา
ใบหน้าจิ้มลิ้มซีดขาวชั่วขณะ อาจเพราะเล่อเหยาเหยาเองไม่รู้ตัว สุดท้ายตนกลัวพญายมจะรู้เรื่องว่ามีชายอื่นอยู่ภายในห้อง หรือกลัวพญายมจะเข้าใจผิดอย่างอื่น
ดังนั้นเล่อเหยาเหยาเวลานี้ จึงวิตกกังวลดุจมดในหม้อต้มที่วิ่งพล่านรวมกลุ่มกัน
“ทำเช่นไรดี ทำเช่นไร ท่านอ๋องอยู่ด้านนอก ทะ…ท่าน ท่านรีบกระโดดหน้าต่างออกไป”
เล่อเหยาเหยากระวนกระวาย จึงทั้งกระซิบและผลักตัวหนานกงจวิ้นซีที่อยู่หน้าเตียงนอนไม่หยุด หมายให้เขาหนีออกไปทางหน้าต่าง เพราะตอนที่เขามาก็กระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง
คิดไม่ถึง ไม่ว่าเธอจะผลักเช่นไร หนานกงจวิ้นซีคล้ายหินสลักก้อนหนึ่งที่ไม่ขยับแม้แต่ส่วนเดียว เล่อเหยาเหยาจึงร้อนใจอย่างมาก
“หนานกงจวิ้นซี ท่านคิดทำเช่นไร ท่านไม่ได้ยินว่าท่านอ๋องอยู่ด้านนอกหรือ หากท่านอ๋องรู้ว่าท่านอยู่ในห้องของบ่าว จะทำเช่นไร”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยเสียงต่ำกับหนานกงจวิ้นซีพร้อมกัดฟันกรอด
เดิมคิดว่าเธอพูดเช่นนี้ หนานกงจวิ้นซีจะเข้าใจแล้วจากไป คิดไม่ถึงหนานกงจวิ้นซีหลังได้ยินคำพูดนี้ของเธอ กลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแสว่า
“แม้จะรู้ว่าข้าอยู่ในห้องเจ้าแล้วเป็นเช่นไร เจ้าใส่ใจสิน่ะ!”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาตะลึงงัน เพราะหนานกงจวิ้นซีคล้ายพูดจี้จุดบางอย่าง อาจเพราะเธอรู้สึกใส่ใจ จึงไม่อยากให้พญายมสนใจ
เห็นเล่อเหยาเหยาตะลึงงัน หนานกงจวิ้นซีพลันรู้สึกว่าตนอ้างว้าง
เขากลับชื่นชอบคนที่ไม่ควรชื่นชอบ อีกทั้งคนที่คนผู้นั้นชื่นชอบกลับเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของตน
เรื่องนี้ จะให้เขาทนอยู่ได้อย่างไร!
พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีปวดร้าวใจ ดุจกำลังถูกคนใช้มือบดขยี้ จนแทบแหลกสลาย
บนใบหน้าปกคลุมด้วยความเสียใจ
น่าเสียดายที่เวลานี้คือช่วงกลางดึก ภายในห้องไร้แสงไฟ จึงมืดสนิท เล่อเหยาเหยาย่อมมองไม่เห็นสีหน้าเสียใจของหนานกงจวิ้นซี
รวมทั้งความคิดจิตใจของเธอเวลานี้อยู่ที่ชายหนุ่มที่เคาะประตูอยู่ด้านนอก ใจเต้นระรัวอย่างกังวลแทบกระดอนออกมา
และชายหนุ่มตรงหน้าไม่ว่าเธอจะผลักเช่นไร ต่างไม่ไหวติง เล่อเหยาเหยาจึงทั้งโมโหและร้อนใจ
พอดีกับเสียงของชายหนุ่มที่อยู่อีกฝั่งของประตูไม้ดังขึ้นอีกครั้ง คล้ายบีบบังคับให้เธอตอบกลับเขา
“เจ้าหลับแล้วหรือยัง”
“เอ่อ ท่านอ๋อง บ่าวเข้านอนแล้ว มีเรื่องใดพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
หลังได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาเอ่ยปากขึ้นโดยไม่คิดทันที
ทว่าหลังเอ่ยประโยคนี้จบ เธอพลันรู้ว่าตนพูดสิ่งใดออกไป จึงแทบกัดลิ้นตนเองให้ขาดอย่างหงุดหงิด