สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 145.2 เที่ยงคืนตีสามหมาป่าปรากฏตัว (2) (รีไรท์)
- Home
- สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!
- ตอนที่ 145.2 เที่ยงคืนตีสามหมาป่าปรากฏตัว (2) (รีไรท์)
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ใช้มือขวาควักขี้ผึ้งสีขาวออกมาส่วนหนึ่ง จากนั้นทาลงบนแผลฟกซ้ำที่หัวเข่าของเล่อเหยาเหยา
ตอนแรกเล่อเหยาเหยากลัวเจ็บปวด จึงสูดหายใจ ‘ฟืดฟาด’ ร่างกายก็เกร็งแน่น
ทว่าเมื่อขี้ผึ้งนั้นถูกทาลงบนบาดแผลของเธอ หัวเข่าที่เจ็บปวดอย่างหนัก พลันถูกปกคลุมด้วยความรู้สึกเย็นเฉียบชั้นหนึ่งทันที
ราวกับด้านบนถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง ความปวดแสบที่มีค่อยๆ หายไป เหลือเพียงความรู้สึกเย็นเฉียบ
เรื่องนี้ทำให้เล่อเหยาเหยาพลันประหลาดใจ
ทว่าเธอก็รู้ว่าด้วยสถานะของพญายม ของที่ใช้และสวมใส่ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อคิดดูแล้วเธอจึงไม่ประหลาดใจอีก
ขณะเดียวกันเหลิ่งจวิ้นอวี๋หลังจากช่วยทายาให้เล่อเหยาเหยาเสร็จสิ้น และเห็นใบหน้าของเธอดูไม่เจ็บปวดเช่นเมื่อครู่แล้ว จึงเอ่ยปากขึ้นว่า
“รู้จักเจ็บปวดแล้วกระมัง ครั้งหน้าจำไว้อย่าใจร้อน”
“บ่าวทราบแล้ว ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาพลันพยักหน้าพลางเอ่ยขึ้นทันที
ได้ยินเช่นนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงพยักหน้าอย่างพอใจ พลันเก็บขี้ผึ้งในมือ จากนั้นเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาที่นั่งอยู่บนเตียงตรงหน้าว่า
“ต่อไปทุกวันยามเช้าและเย็นต้องมาทายาที่นี่ จำเอาไว้ด้วย”
“เอ่อ!”
ทุกวันตอนเช้าและเย็นหรือ!
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยามีสีหน้าตะลึงงัน แววตาปรากฏความแปลกใจขึ้นหลายส่วน
ทันใดนั้น เล่อเหยาเหยาก็คิดอะไรบางอย่างได้ จึงเอ่ยพูดออกมาทันที
“ท่านอ๋อง ไม่เป็นไร บ่าวรับยาไป ทาเองก็ได้ ”
ก่อนที่เล่อเหยาเหยาจะพูดจบ เมื่อเห็นสายตาที่เย็นชาของชายหนุ่มตรงหน้า ก็พลันกล้ำกลืนคำพูดทั้งหมดไป
เอ่อ ช่างเป็นชายหนุ่มที่ชั่วร้ายเสียจริง! ขยับหรือไม่ขยับก็ถลึงตา ไม่รู้หรือว่าเวลาเขาถลึงตาน่าตกใจเพียงใด ทั้งยังเอ่ยพูดว่าชื่นชอบตน มีผู้ใดทำเช่นนี้กับคนที่ชื่นชอบกัน!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดยื่นปากออกมาไม่ได้ พลันรู้สึกถูกเอาเปรียบ
แต่เธอกลับไม่รู้ตัวว่าท่าทางของตนเวลานี้ ดุจเด็กน้อยที่ทำปากยื่นอย่างง้องอน ทำให้คนรู้สึกเห็นใจ
คิ้มเข้มโค้งงอน ดวงตาคมสดใส เค้าโครงที่ประณีตดุจหยกแกะสลักที่รังสรรค์ขึ้นมาอย่างละเอียดรอบคอบ ร่างกายเล็กอ้อนแอ้นของเธอ สวมเพียงชุดชั้นในบางเบาตัวหนึ่ง บนร่างกายแม้ไร้การเสริมแต่งที่งดงาม ทว่ากลับดูน่าเห็นใจ ดุจเซียนน้อยที่เดินออกมาจากภาพนั้น ทำให้ใจคนที่เห็นต่างพลันเต้นระรัวขึ้นมา
เห็นเล่อเหยาเหยาทำปากยื่นพร้อมมีสีหน้าจนใจ เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเกิดความร้อนขึ้นในใจ ก่อนความอบอุ่นจะทะลักขึ้นมา ราวกลับภูเขาน้ำแข็งหมื่นปีในใจลูกนั้น พลันถูกแสงอาทิตย์ที่อบอุ่นสอดส่องเข้าไป ทำให้ภูเขาน้ำแข็งในใจเขามีร่องรอยของการละลาย
ทันใดนั้นขณะเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ได้สติ นิ้วมือของเขาขยับเล็กน้อย จากนั้นก็วาดลงระหว่างจมูกที่น่ารักของเล่อเหยาเหยาครู่หนึ่ง
ท่าทางรักใคร่อย่างที่สุดและสนิทสนมเช่นนี้ ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋และเล่อเหยาเหยาต่างตกใจ พลันสบตาซึ่งกันและกัน ทันใดนั้นสายฟ้าสวรรค์ก็ชักนำอัคคีพสุธามาทำให้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น
เล่อเหยาเหยารู้สึกว่าขณะนี้เธอคล้ายถูกไฟดูด
กระทั่งภายในใจก็ชาหนึบ
สำหรับท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมของชายหนุ่มเมื่อครู่ เธอกลับไม่รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย อีกทั้งยังรู้สึกชื่นชอบ
ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็แปลกใจเช่นกัน แต่ปล่อยผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แม้เขาจะไม่เคยรักใคร่ผู้ใดเช่นวันนี้มาก่อน แต่จากวันนี้เป็นต้นไป เขาจะรักทะนุถนอม ‘เขา’ ตามใจ ‘เขา’
อีกทั้งเขาทราบดีว่าเรื่องของพวกเขา เวลานี้รีบร้อนไม่ได้
เพราะความสัมพันธ์ สถานะของพวกเขา ต่างคล้ายมีชั้นหนาๆกั้นเอาไว้ แต่เขาเชื่อว่าเพียงตนก้าวไปทีละก้าว ต้องมีวันหนึ่งจะลดระยะห่างระหว่างพวกเขาลงได้
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ลุกยืนขึ้น พลันวาดแขนยาวออกไป เล่อเหยาเหยาที่ตั้งตัวไม่ทัน ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง
เสียง ‘อา’ ดังขึ้นพร้อมกับเล่อเหยาเหยาที่ตกใจเล็กน้อย
ทว่าปากเล็กที่อ้ากว้างเล็กน้อยของเธอนั้น ไม่นานก็ถูกริมฝีปากทรงกระจับอ่อนนุ่มน่ามองแตะลงครู่หนึ่ง
ทว่าครั้งนี้แม้จุมพิตของชายหนุ่ม จะเพียงแตะแล้วพลันออกห่าง ทว่ากลับทำให้เธอถลึงตาอย่างโมโห แต่กลับได้รับเพียงรอยยิ้มสดใสของชายหนุ่ม
ยังมีสีหน้าที่สนุกและบรรลุผลของเขา ดูราวกับหมาป่าตัวใหญ่ที่กำลังภาคภูมิใจ
เห็นเช่นนั้นเล่อเหยาเหยาแม้จะหงุดหงิดในใจ ทว่าสุดท้ายก็เปลี่ยนไปเป็นขวยเขิน
ความจริงพญายมก็ร้ายกาจเช่นกัน
สุดท้ายเหลิ่งจวิ้นอวี๋อุ้มเล่อเหยาเหยากลับไปที่ห้องของตน ขณะที่เล่อเหยาเหยากังวลอย่างหนัก ตัวเธอก็ถูกวางลงบนเตียงนอน
โชคดีที่ภายในเตียงนอนเวลานี้ว่างเปล่า ดูแล้วหนานกงจวิ้นซีคงจากไปแล้ว พร้อมกับตอนที่พวกเขาออกจากห้องไป
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่แม้จะเพียงเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ บางคนกลับรับรู้ได้
“เมื่อครู่เจ้ากังวลสิ่งใดหรือ”
“เอ่อ”
คิดไม่ถึงว่าการแอบถอนหายใจของตน จะถูกพญายมจับได้ ดวงตาคู่งามของเล่อเหยาเหยาจึงพลันเบิกกว้าง พูดไม่ออก ราวครึ่งวันก็พูดไม่ออกมาแม้ประโยคเดียว
“มะ…ไม่มี”
ไม่ง่ายกว่าที่จะตามหาลิ้นตนพบ เล่อเหยาเหยาจึงเอ่ยปากขึ้น
แต่คำพูดตะกุกตะกักนั้น กลับดูเปิดเผยความจริงที่อยากปกปิดออกมา
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาอดกัดริมฝีล่างโดยสัญชาตญาณไม่ได้
ทว่าท่าทางตามสัญชาตญาณของเธอนี้ถูกนิ้วหนึ่งหยุดยั้งไว้อย่างรวดเร็ว
“ห้ามกัด ระวังริมฝีปากเจ้าจะเกิดแผล”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ แฝงด้วยความแหบพร่าเจ็ดส่วน มีเสน่ห์สามส่วน ในคืนที่มืดมิดจึงน่าสัมผัสเป็นพิเศษ
เล่อเหยาเหยาได้ยิน ก็คลายริมฝีปากที่กัดอยู่ลงทันที ก่อนพยักหน้าให้กับชายหนุ่ม
“เช่นนั้น บ่าวเข้านอนก่อน ท่านอ๋องเองก็พักผ่อนเถิด”
“อืม”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ลังเล และไม่ทำเรื่องที่ทำให้เล่อเหยาเหยาอกสั่นขวัญแขวนอีก เพียงลุกยืนขึ้น ก่อนเดินออกจากประตูไป
เห็นแผ่นหลังของชายหนุ่มจากไป เล่อเหยาเหยาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สุดออกมา ทว่ายังไม่ทันสูดลมหายใจ ก็เห็นชายหนุ่มที่เดินไปถึงประตู พลันหันกลับมาเอ่ยว่า
“กระต่ายน้อย เจ้าเป็นของเปิ่นหวาง ดังนั้นต่อไปนี้ห้องของเจ้า มีเพียงเปิ่นหวางที่เข้ามาได้ ชายอื่นห้ามเข้ามาเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
เอ่ยจบไม่รอคำตอบของเล่อเหยาเหยา ชายหนุ่มปิดประตูเดินจากไป
เมื่อเห็นประตูไม้บานสลักปิดแน่นลง สมองเล่อเหยาเหยาพลันขาวโพลน หลังได้สติกลับมา จึงพึมพำกับตนเองว่า
“ที่แท้เขารู้อยู่แล้ว”
…
จากที่จู่ๆ เมื่อคืนหนานกงจวิ้นซีกระโดดเข้ามาในห้องเธอ ทั้งยังเอ่ยพูดสิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึงออกมานั้น เล่อเหยาเหยาจึงตื่นขึ้นมาคิดแต่เช้าตรู่ ไม่รู้ควรเผชิญหน้ากับเขาเช่นไร
คิดไม่ถึง หลังปรนนิบัติพญายมและส่งเขาเข้าวังหลวงเสร็จแล้ว ตลอดทั้งวันเธอไม่เห็นหน้าของหนานกงจวิ้นซีเลย
สุดท้ายหลังทานอาหารกลางวันที่โรงครัวเสร็จ ก็ได้ยินจากปากของขันทีที่คอยรับใช้เขาโดยไม่ตั้งใจว่า ตั้งแต่พวกเขาตื่นนอนตอนเช้าก็ไม่เห็นองค์ชายเจ็ดอยู่ในห้อง และไม่รู้ว่าเขาไปที่ใด
เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยารู้สึกสงสัยในใจ
จากคำพูดที่ได้ยินจากเหล่าขันที หนานกงจวิ้นซีไม่ได้กลับไปที่ห้องเขาตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อคืนดึกขนาดนั้น เขาไปที่ใดกันแน่!
เพราะมีเรื่องในใจ จึงส่งผลให้เล่อเหยาเหยารู้สึกไม่อยากอาหารมื้อนี้
คนที่นั่งตรงข้ามเธอ ยังคงเป็นเสี่ยวมู่จื่อดังเดิม
พักนี้เพราะทุกวันเธอกินซุปรังนก โดยแบ่งคนละครึ่งกับเสี่ยวมู่จื่อสองคน เวลานี้เสี่ยวมู่จื่อเพราะมีซุปรังนกบำรุงร่างกาย จึงสูงขึ้นไม่น้อย คนเองก็แข็งแรงขึ้นมาก แตกต่างจากหนุ่มน้อยที่ผอมโซที่พบครั้งแรกคนนั้นอย่างมาก
เพราะร่างกายเติบโตขึ้น ใบหน้าเสี่ยวมู่จื่อจึงดูไร้เดียงสาน้อยลง เปลี่ยนไปดูหล่อเหลา
ท่าทางนั้นความจริงไม่เลว ทว่าน่าเสียดายเขากลับเป็นขันที
ตรงข้างกับเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยากลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
แม้เธอจะทานซุปรังนกทุกวัน อีกทั้งการทานอาหารเห็นชัดว่าแต่ละวันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ร่างกายเธอกลับไม่สูงขึ้น
ยังมีแขนเล็กร่างเล็กนั้น ทว่าแม้ส่วนสูงจะไม่เพิ่มขึ้น หน้าอกกลับขยายใหญ่ขึ้น
วันนี้เมื่อตื่นนอน เล่อเหยาเยารู้สึกว่าหน้าอกตนขยายขึ้น จึงเจ็บปวดเล็กน้อย นี่น่าจะเป็นสัญญาณของการเจริญเติบโต
ทุกคนต่างมีใจที่รักสวยรักงาม โดยเฉพาะตนที่เป็นเพียงขันทีปลอม อีกสามปีให้หลังเธอจำต้องออกจากที่นี่ไป ดังนั้นเมื่อเห็นหน้าอกตนเริ่มขยาย เล่อเหยาเหยาจึงเบิกบานใจ อดพันผ้ารัดหน้าอกเพิ่มขึ้นอีกชั้นไม่ได้ เพราะกลัวคนอื่นจะมองออก
แม้เมื่อวานพญายมเอ่ยไม่สนใจว่าเธอคือบุรุษ สตรี หรือขันที แต่ตอนนี้เธอยังไม่มั่นใจหัวใจของตนเอง หรือควรปกปิดความลับนี้ต่อไปดี
เล่อเหยาเหยาคิดในใจ แม้จะรู้สึกสงสัยเพราะเรื่องหนานกงจวิ้นซี แต่ความจริงท้องยังหิวอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ควรสนใจเรื่องอื่น เติมท้องให้อิ่มก่อนค่อยว่ากันทีหลัง
ดังนั้นหลังจากสับสน เล่อเหยาเหยาทานข้าวไปอีกหนึ่งชาม
เห็นชามเปล่าสามใบกองอยู่ตรงหน้าเล่อเหยาเหยา ดวงตาของเสี่ยวมู่จื่อที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอพลันเบิกกว้าง ตกใจมากมายจนสุดจะบรรยาย
พลันเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
“เสี่ยวเหยาจื่อ พักนี้ข้ารู้สึกว่านับวันเจ้ายิ่งทานมากขึ้นเรื่อยๆ”
“เอ่อ..”
เมื่อทานอิ่ม เล่อเหยาเหยาเรออกมาอย่างพอใจ สำหรับคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เพียงยิ้มรับเท่านั้น
“ฮ่า ๆ ข้ากำลังเติบโตน่ะ ทานมากก็ไม่เป็นอันใด เจ้าก็เหมือนกันมิใช่หรือ”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ กวาดสายตาคู่งามไปที่ชามขนาดใหญ่ห้าใบบนโต๊ะหน้าเสี่ยวมู่จื่อนั้นครู่หนึ่ง
เสี่ยวมู่จื่อทานได้เยอะเสียจริง แม้จะไม่มีกับข้าว ทุกมื้อก็ยังสามารถทานข้าวเปล่าได้ถึงห้าชาม
โชคดีที่กับข้าวภายในโรงครัวถูกแบ่งสรรขนาดไว้อย่างดี แต่ข้าวกลับเติมได้ตามสบาย มิฉะนั้นจากจำนวนข้าววันนี้ของเสี่ยวมู่จื่อ ทุกวันคงต้องทำงานทั้งที่ท้องหิวโซเป็นแน่
ส่วนเสี่ยวมู่จื่อเมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา และสายตาที่หยอกล้อ กลับยื่นมือลูบท้ายทอยพลางยิ้มออกมา
เล่อเหยาเหยาพูดคุยหัวเราะกับเสี่ยวมู่จื่ออีกหลายประโยค ก่อนคิดจัดเก็บถ้วยชาม จากนั้นก็กลับไปทำงานที่ตนรับผิดชอบ ผู้ใดจะรู้ว่าขณะเดียวกัน เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงปั่นป่วนภายในท้อง ตามมาด้วยคลื่นน้ำที่รู้สึกน่ารังเกียจซัดสาดขึ้นมา
เสียง “ครืด” ดังขึ้น ถ้วยชามในมือเล่อเหยาเหยาพลันตกลงบนพื้นทั้งหมด เกิดเป็นเสียงการกระทำที่ไม่ระวังออกมา และยังดึงดูดความสนใจของคนอื่นรอบข้าง
ทว่าเล่อเหยาเหยาไม่สนใจสิ่งอื่น หลังใช้มืออุดปาก ก็พุ่งตรงไปที่ถังขยะที่โรงครัวใช้ทิ้งขยะอย่างรีบร้อน ก่อนจะอาเจียนลงไปในถังขยะนั้น
การอาเจียนนี้ ไม่เพียงนำอาหารที่ทานเข้าไปเมื่อครู่ออกมาจนหมด กระทั่งน้ำดีแทบพุ่งออกมา
และสีหน้าเล่อเหยาเหยา เพราะการอาเจียนนี้จึงพลันซีดขาวไร้สีเลือด