สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 147.1 เรียกเปิ่นหวางว่าอวี๋ (1) (รีไรท์)
เมื่อก่อนขณะที่ดูละครทีวี เล่อเหยาเหยาเห็นว่าภายในละครพีเรียต เหล่าจอมยุทธนั้นบินทะยานไปมาจึงอิจฉาอย่างยิ่ง
คิดดูแล้ว หากเช้าวันหนึ่งตนสามารถมีวิทยายุทธ์เช่นคนในละคร บินทะยานไปมา เช่นนั้นจะยอดเยี่ยมเพียงใด!
ทว่าขณะนั้นเธอรู้ดีว่าเดิมทีนี้เป็นเพียงความคิดเพ้อฝัน คนมิใช่นกจึงไร้ปีก เหตุใดจะบินได้!
เช่นนั้นกลายเป็นมนุษย์นกหรือ!
แต่ตอนนี้ เธอเป็นมนุษย์นกแล้ว!
ทิวทัศน์รอบด้าน เคลื่อนผ่านรอบกายตนไม่หยุด เล่อเหยาเหยาที่กังวลและหวาดกลัวในตอนแรก ค่อยๆ คุ้นชิน สุดท้ายจึงรักความรู้สึกบินทะยานนี้
เพราะเธอตอนนี้รู้สึกว่าตนคล้ายนกน้อยที่กำลังกางปีก บินวนเวียนอยู่กลางท้องฟ้า
ส่วนปีกของเธอ คือชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง
เขาพาเธอบินทะยาน เพียงเป็นสถานที่ที่เธออยากไป เธอเอ่ยเพียงประโยคเดียว เขาจะพาเธอบินไปที่นั่น
ดังนั้นพวกเขาสองคน จึงดุจนกน้อยสองตัวที่บินอย่างอิสระกลางท้องฟ้า เคลื่อนผ่านยอดไม้ บินผ่านทุ่งหญ้า เด็ดช่อดอกไม้ที่สวยงาม บินขึ้นหลังคาสูง มองวิถีชีวิตของผู้คนด้านล่าง เคลื่อนผ่านทะเลสาบที่งดงาม
รับลมยามเย็นที่พัดผ่านเข้ามา ไล่ตามพระอาทิตย์ที่งดงามนั้น
เวลานี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
รอยยิ้มบนใบหน้าเธอ จึงดุจดอกเหมยสามพันดอกที่กำลังเบ่งบาน งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เสียงหัวเราะของเธอ ดุจไข่มุกเม็ดใหญ่น้อยที่ร่วงลงสู่ถาดหยก ดังกังวานจับใจ สดใสชวนหลงใหล
ทำให้คนฟังอดพลอยหัวเราะตามเธอไม่ได้ หัวใจก็เปลี่ยนไปเป็นสดใสเบิกบานขึ้นมา
“กระต่ายน้อย เจ้ามีความสุขหรือไม่”
“มีความสุข ข้ารู้สึกมีความสุขมาก”
สำหรับคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาเอ่ยปากขึ้นพลางหัวเราะอย่างมั่นใจ
เสียงหัวเราะดุจระฆังเงินนั้น ดังออกมาจากปากเธอไม่หยุด ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ได้ยินภายในใจดุจอาบด้วยน้ำผึ้งที่หอมหวาน
อีกทั้งครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่เล่อเหยาเหยาแทนตัวเองว่าข้าต่อหน้าเขา ไม่ใช้คำว่าบ่าว
ในขณะนี้ ‘เขา’ ได้ลืมตัวตนของเขาแล้วและเริ่มยอมรับตัวตนของเขาอย่างช้าๆ
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ปลาบปลื้มใจอย่างมาก
สุดท้ายเหลิ่งจวิ้นอวี๋พาเล่อเหยาเหยาบินไปยังที่ต่างๆ มากมาย จนกระทั่งพระอาทิตย์เคลื่อนลับไปทางทิศตะวันตก
ความมืดเข้าครอบคลุมท้องฟ้าทั้งหมดไว้
พอตกกลางคืน ท้องฟ้าที่เคยส้มเรืองรอง ถูกความมืดมิดเคลื่อนเข้ามาบดบังไว้ทั้งหมด จึงมืดมิดดุจน้ำหมึกสีดำ แต่บนท้องฟ้ามืดมิดเช่นนี้ มีพระจันทร์กระจ่างลอยสูงอยู่อย่างโดดเด่น ล้อมรอบด้วยดวงดาวเปล่งประกาย
ดุจเพชรมากมายนับไม่ถ้วนส่องประกายออกมา ระยิบระยับ งดงามอย่างยิ่ง
เวลานี้เล่อเหยาเหยาถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋โอบกอดอยู่บนอาคารที่สูงที่สุดในเมืองหลวง กำลังก้มลงชื่นชมแสงไฟนับหมื่นของครัวเรือนด้านล่าง แสงไฟยามค่ำคืนที่น่าหลงใหล ทำให้คนเคลิบเคลิ้มมัวเมา!
หากเป็นไปได้ เธออยากหยุดเวลานี้ให้อยู่เช่นนี้ไปตลอดชีวิต!
ทว่าท้องเธอกลับทนไม่ไหวอีกต่อไป
ขณะมวลดอกไม้สว่างนวลใต้แสงจันทร์ ใต้แสงไฟยามค่ำคืนที่งดงาม ดุจในบทกวีและภาพวาดเช่นนี้ ท้องเล่อเหยาเหยากลับประท้วงขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้า
อีกทั้งความดังของเสียงนั้น แม้ลมพายุด้านบนจะพัดอย่างรุนแรง ทว่ายังคงกลบมันไว้ไม่ได้
ไม่นาน เหลิ่งจวิ้นอวี๋รับรู้ได้ จึงยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยขึ้น
“หิวหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยายื่นมือลูบหน้าท้องอย่างละอายใจ
จบกัน อาหารที่ทานไปตอนกลางวันของเธอช่างเปล่าประโยชน์เสียจริง เพิ่งกินเสร็จก็อาเจียนออกมาทั้งหมด อยากทานเข้าไปอีกครั้ง ทว่ากลับไม่อยากอาหาร
หลังหลับไปตลอดบ่าย เธอหิวจนท้องกิ่ว กำลังคิดไปทานอาหารเย็น กลับเพราะเรื่องเก็บว่าวจึงทำให้ล่าช้า สุดท้ายถูกพญายมพาบินทะยานไปมา
เมื่อครู่ความรู้สึกขณะบินงดงามอย่างมาก ดังนั้นความคิดทั้งหมดของเธอจึงถูกความสุขเบิกบานใจและภาพทิวทัศน์ที่งดงามครอบงำ จนลืมเลือนเรื่องที่ตนยังไม่ได้ทานอาหารไป
เวลานี้หลังสงบลง ท้องของเธอจึงส่งเสียงร้องเตือนเธออย่างไม่เกรงใจ
สำหรับท่าทางเขินอายอย่างเกรงใจของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงหัวเราะ ก่อนเอ่ยว่า
“เช่นนั้น พวกเราไปทานอาหารกันเถิด”
เอ่ยจบ แขนยาวสะบัดพาเล่อเหยาเหยามุ่งตรงไปทิศทางของฝั่งทะเลสาบในเมืองหลวง
ด้วยความเร็วดุจภูตผีปีศาจในยามค่ำคืน แม้มีคนพบเข้า รู้สึกเพียงมีเงาร่างสีดำพาดผ่านหน้าไป ก่อนคิดว่าตนตาลาย
ไม่นานพวกเขาสองคนมาถึงหน้าประตูของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
เวลานี้เป็นช่วงเวลาทองในการทานอาหารเย็น หน้าประตูโรงเตี๊ยมจึงเต็มไปด้วยลูกค้าสูงศักดิ์แต่งกายหรูหรา
เมื่อมองเข้าไป เห็นเพียงความแน่นขนัด ผู้คนเดินพลุกพล่านไปมา
เมื่อหมดหนทาง เพียงเพราะปรากฏตัวขึ้นมาช่วงเวลาทองในการทานอาหารเย็น รวมทั้งโรงเตี๊ยมแห่งนี้คือโรงเตี๊ยมอาหารทะเลอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ของกินภายในจึงเป็นอาหารประเภทต่างๆ รสชาติโอชะ มีอาหารที่คนชอบทานอย่างอุดมสมบูรณ์มีทั้งเนื้อและปลา ผู้คนต่างชื่นชอบมาเลี้ยงฉลอง ทานอาหารทะเลที่นี่
เมื่อเห็นเดิมทีภายในโรงเตี๊ยมไร้ที่นั่ง เล่อเหยาเหยาที่ยืนมองเข้าไปค่อยๆ รู้สึกผิดหวัง
เพราะเมื่อครู่หลังรู้ว่าจะมาทานอาหารทะเล เธอตั้งตารอคอย พูดไปแล้วเธอไม่ได้ทานอาหารทะเลมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนยุคปัจจุบันได้ทานเป็นประจำ ทว่าหลังมาถึงที่นี่ เธอไม่เคยได้ทานมันอีกเลย
รวมทั้งแม้เมื่อครู่เธอจะหิว ทว่าปากกลับพลันจุกจิก ไม่อยากทานพวกไก่เป็ดหมูเนื้อ พลันอยากกินอาหารทะเลขึ้นมา
ดังนั้นพญายมจึงรีบพาเธอมาที่นี่ทันที
แต่ตอนนี้ภายในไม่มีที่ว่าง ประตูด้านนอกยังมีลูกค้ารอคอยอีกไม่น้อย คิดดูแล้วอาหารทะเลมื้อนี้ คงไม่ได้ทานแน่นอน
เล่อเหยาเหยากำลังคิดในใจ ปากเล็กอดยื่นออกมาไม่ได้ แววตาแฝงไปด้วยความผิดหวัง
เธอไม่รู้ตัวว่าท่าทางนี้ของตนน่าสงสารเพียงใด เอาแต่เหลียวซ้ายแลขวา ดุจสุนัขตัวน้อยกำลังรอเจ้าของ ทำให้คนสงสารเห็นใจยิ่งนัก!
เห็นเช่นนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่อยู่ด้านข้างย่อมเข้าใจความคิดของเล่อเหยาเหยา ริมฝีปากกระจับยกขึ้น อดหัวเราะเบาๆ ขึ้นไม่ได้
“พวกเราเข้าไปกันเถิด”
“เอ้อ แต่ไม่มีที่นั่งว่างมิใช่หรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาสงสัยเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มกลับไม่รอเธอ เดินก้าวเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยม
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น เพียงเดินตามติดเข้าไป
หลังเข้ามาด้านใน ผู้จัดการเดินเข้ามาทันที
เพราะตอนนี้กิจการกำลังรุ่งเรือง ดังนั้นแม้แต่ผู้จัดการก็ยุ่งจนอยู่ในสภาพอึดอัด และยังถือกาน้ำชาไว้ในมือทำหน้าที่เป็นเสี่ยวเอ้อร์ในร้าน!
ทว่าแม้จะยุ่งอย่างมาก เมื่อเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋เดินเข้ามา ใบหน้าของผู้จัดการนั้นพลันยิ้มแย้มอย่างมืออาชีพ ก่อนหัวเราะพลางเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋
“ที่แท้เป็นรุ่ยอ๋องนี่เอง กี่ท่าน ท่านอ๋อง”
“สอง”
สำหรับคำพูดของผู้จัดการ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงเอ่ยสั้นๆ อย่างกระชับได้ใจความ
ผู้จัดการได้ยิน พลันเอ่ยพลางยิ้มว่า
“ได้ ลูกค้าที่ห้องเซียวเซียงเพิ่งออกไปพอดี ท่านอ๋องเชิญทางนี้”
ผู้จัดการเอ่ยจบ พลันก้มตัวลงเดินนำทางไป
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น อดเลิกคิ้วไม่ได้
มีอำนาจบารมีดียิ่ง ขนาดทานอาหารก็ไม่ต้องเข้าแถว!
เมื่อเห็นคนที่ยืนเข้าแถวอยู่หน้าประตูเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว เล่อเหยาเหยาหัวเราะฮิฮิ พลันเดินตามไป
โรงเตี๊ยมอาหารอาหารทะเลแห่งนี้ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสองชั้น อีกทั้งตำแหน่งส่วนหนึ่งตั้งขึ้นอยู่บนฝั่ง ทว่าอีกส่วนหนึ่งกลับตั้งอยู่บนน้ำ
และห้องขนาดเล็กนี้ถูกสร้างขึ้นบนน้ำ ด้านล่างไม้กระดานนี้คือทะเลสาบแวววาว
เมื่อเปิดหน้าต่างไม้บานสลักนั้นออก มองออกไปด้านนอก จะเห็นทะเลสาบซีหูที่กว้างใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา
ด้วยทัศนวิสัยที่ดียอดเยี่ยม เมื่อนั่งที่นี่ทานอาหารทะเลรสชาติโอชะ พลางชื่นชมแสงไฟยามค่ำคืนที่ชวนหลงใหล ชีวิตเป็นเช่นนี้ ยังต้องการสิ่งใดอีก!
แน่นอนว่าเพราะโรงเตี๊ยมนี้สร้างอยู่ในตำแหน่งที่ยอดเยี่ยม ค่าใช้จ่ายที่นี่จึงสูงอย่างมาก
โดยเฉพาะห้องที่มีทัศนวิสัยที่ดีเช่นนี้ เพียงค่าห้องนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยตำลึงแล้ว!
หนึ่งร้อยตำลึง สำหรับพญายมที่ร่ำรวยเช่นนี้ ย่อมไม่ถือว่ามากมาย แต่หากเป็นราษฎรผู้อื่น เงินร้อยตำลึงนี้มากเพียงพอที่พวกเขาจะใช้จ่ายไปอีกหลายปี!
ดังนั้นคนที่ร่ำรวยจึงดีเสียจริง!
คนที่มีเงินมีอำนาจ จึงยอดเยี่ยมเป็นที่สุด!
เล่อเหยาเหยาอุทานในใจและนั่งลงที่นั่ง เมื่อผู้จัดการเห็นท่านอ๋องผู้สง่างามกลับนั่งลงร่วมทานอาหารกับขันทีน้อย ใบหน้าตะลึงงันเล็กน้อย
ทว่าเห็นเพียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋มีท่าทียินยอมพร้อมใจไม่แยแส ไม่ได้ตกใจแม้แต่นิดเดียว
จากนั้น พวกเขาสองคนสั่งอาหารจำนวนไม่น้อย แน่นอนว่าที่นี่คือโรงเตี๊ยมอาหารทะเล จึงย่อมต้องทานอาหารทะเล
หลังสั่งอาหารขึ้นชื่อหลากหลายเมนู ผู้จัดการพลันขอตัวออกไป จากนั้นเสี่ยวเอ้อร์ยกกาน้ำชาดอกกุ้ยฮวาเข้ามา ก่อนจะถอนตัวออกไป
แม้เวลานี้จะเป็นช่วงทองในการทานอาหารเย็น แต่การปฏิบัติต่อแขกกิตติมศักดิ์ย่อมแตกต่างออกไป
รอเพียงไม่นาน อาหารที่พวกเขาสั่ง ก็ถูกลำเลียงมาขึ้นโต๊ะ
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ดวงตาคู่งามจ้องอาหารบนโต๊ะกลมขนาดใหญ่ตรงหน้าไม่กระพริบ
เห็นเพียงบนโต๊ะด้านหน้าของพวกเขา มีอาหารอันโอชะวางอยู่กว่าสิบเมนู มีปลากะพงตุ๋นน้ำแดง ปลากุ้ยฮวานึ่งซีอิ๊ว กุ้งซอสแดง ลูกชิ้นปลาผักดอง ปลาหมึกย่าง ปูนึ่ง ฯลฯ และอาหารทะเลต่างๆ
อาหารหลากหลายเมนู สีสันรสชาติอันโอชะ ทำให้คนที่เห็นตาลาย น้ำลายสอ
และผู้จัดการร้านขณะลำเลียงอาหารประเภทต่างๆ ขึ้นวางบนด้วยตนเอง พลางแนะนำอาหารเหล่านี้ไปด้วย
สุดท้ายเห็นหลังจากผู้จัดการร้านวางอาหารจานสุดท้ายเสร็จ เอ่ยอย่างยิ้มแย้มขึ้นว่า
“จานสุดท้ายนี้ ถือเป็นเมนูล้ำค่าของร้านเรา คือหอยนางรมนึ่งกระเทียม”
สำหรับการแนะนำอย่างจริงจังของผู้จัดการร้าน เล่อเหยาเหยาเพียงเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“หอยนางรมหรือ เหตุใดจึงเป็นของล้ำค่าของร้านพวกท่านกัน”
ไม่แปลกที่เล่อเหยาเหยาจะเอ่ยเช่นนี้ เพราะหอยนางรมในยุคปัจจุบัน เป็นของปิ้งย่างที่ต้องมีบนถนนใหญ่ ดังนั้นเธอจึงทานมาไม่น้อย
เมื่อมาถึงที่นี่ กลับคล้ายดูล้ำค่ากว่าของสิ่งอื่น
พวกปูกุ้งตัวใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะตอนนี้ มิใช่ล้ำค่ากว่าหอยนางรมหรือ!