สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 151 เล่อเหยาเหยาเสียใจ (รีไรท์)
ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยาที่เสียใจ ขณะที่เธอพลันผลักประตูเข้าไป สองคนภายในห้องเห็นชัดว่าถูกการปรากฎตัวของเธอทำให้ตกใจชั่วขณะ ก่อนทั้งสองคนจะพลันหันมามองเล่อเหยาเหยาที่ปรากฎตัวขึ้นที่ประตู
เห็นเพียงคนตัวเล็กที่นอกประตู หายใจติดขัดดุจวัว ใบหน้าเล็กแดงก่ำเพราะวิ่งมาอย่างสุดกำลัง
เส้นผมก็ดูยุ่งเหยิง หมวกดูบิดเบี้ยว
เมื่อมองก็รู้ทันทีว่าเมื่อครู่เธอรีบวิ่งมาที่นี่
เมื่อเห็นใบหน้าวิตกกังวลในตอนแรกของเธอ จนกระทั่งตกละลึงในเวลานี้ ดวงตาเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เปล่งประกายครู่หนึ่ง ก่อนผลักเหนียนซูหลานออกจากอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว
อีกทั้งทราบในใจดีว่า เมื่อครู่เล่อเหยาเหยาต้องเข้าใจผิดแน่นอน
วันนี้หลังออกมาจากวังหลวง ระหว่างเดินทางกลับบังเอิญเจอม้าพยศวิ่งอย่างบ้าคลั่งตัวหนึ่ง ม้าพยศตัวนั้นวิ่งคุ้มคลั่งไปมา จนทำให้ผู้คนบนถนนบาดเจ็บไม่น้อย
ส่วนเหนียนซูหลาน คือหนึ่งในคนที่ถูกม้าตัวนั้นทำร้าย
แม้ม้าตัวนั้นจะไม่ได้สัมผัสเธอแม้แต่ส่วนเดียว แต่เพราะวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนก เธอจึงข้อเท้าแพลง ล้มลงจนเกือบตายเพราะโดนม้าเหยียบ โชคดีที่เขาเห็นเข้าพอดี จึงช่วยเหลือเธอได้ทันเวลา
สุดท้ายม้าพยศตัวนั้นก็ถูกสยบลง ส่วนเหนียนซูหลานข้อเท้าบาดเจ็บ ขณะนั้นเห็นชัดว่าตกใจไม่น้อย สองมือจึงจับกุมมือเขาไม่ยอมปล่อย
เห็นเช่นนั้น เขาจนใจ เพียงพาเธอมาที่โรงหมอนี้
ประจวบกับที่หมอใส่ยาให้เธอเสร็จเรียบร้อยแล้วจากไป
เขาเองก็คิดจะจากไปเช่นกัน เธอกลับพลันโผเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ก่อนร้องห่มร้องไห้
สุดท้ายเขายังไม่ทันยื่นมือผลักเธอออก ก็ได้ยินเพียงเสียง ‘เอี๊ยด’ ดังขึ้น ก่อนประตูไม้บานสลักที่ปิดอยู่จะเปิดออก
เดิมคิดว่าเป็นผู้อื่น เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงไม่พอใจ
คิดไม่ถึง เมื่อเห็นเงาร่างเล็กปรากฎตัวขึ้นหน้าประตูชัดเจน ใบหน้าหล่อเหลาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันตะลึงงัน จึงยื่นมือผลักเหนียนซูหลานออกจากอ้อมกอดทันทีโดยไม่คิด
เพราะเขาไม่อยากให้ ‘เขา’ เข้าใจผิด
ขณะกำลังคิด ซิงที่หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จก็ไล่ตามเข้ามาทันพอดี เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยายืนอยู่หน้าประตูไม่เข้าไป พลันรีบเอ่ยคำพูดที่ยังไม่จบเมื่อครู่ขึ้นทันที
“เฮ้อ ดูไม่ออกว่าขาสั้นๆ เช่นเจ้า กลับวิ่งได้รวดเร็วเช่นนี้เสี่ยวเหยาจื่อ เมื่อครู่ข้ายังพูดกับเจ้าไม่จบเลย คนที่บาดเจ็บมิใช่ท่านอ๋อง แต่เป็นคุณหนูเหนียน!”
ซิงเมื่อมาถึง ทำให้เล่อเหยาเหยาที่ตะลึงงันได้สติกลับมา
ใช้ฟันกัดริมฝีปากแน่นครู่หนึ่ง พลันฉีกมุมปากขึ้น ยิ้มแห้งๆ ออกมา
“โอ ข้าเห็นแล้ว เมื่อท่าน…ท่านอ๋องไม่เป็นอันใด เช่นนั้นข้ากลับวังก่อนนะ”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ ก็หมุนตัวจากไปทันที
เพราะที่นี่ เธอไม่อยากอยู่แม้แต่วินาทีเดียว
จมูกเธอแสบร้อน ในใจอึดอัดอย่างมาก
อีกทั้งดวงตาก็พร่ามัว คล้ายมีบางสิ่งหยดลงมา
เธอตอนนี้พบว่าตนคล้ายกับตัวตลก เมื่อครู่ตนกังวลสุดชีวิต คิดไม่ถึงว่าเขากำลังโอบกอดหญิงงาม!
ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยายิ่งหึงหวงในใจ
เดิมทีฝีเท้าที่ก้าวเดินอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นวิ่งอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา
ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่อยู่ภายในห้องเห็นเช่นนั้น พลันลุกขึ้นจากเก้าอี้ คิดไล่ตามออกไป
เพราะเห็นเล่อเหยาเหยาจากไปอย่างโศกเศร้าเสียใจ เขารู้ว่า ‘เขา’ ต้องเข้าใจผิดบางอย่างแน่นอน
แม้จะเห็น ‘เขา’ ใส่ใจเรื่องที่เขาอยู่กับสตรีอื่น เรื่องนี้ทำให้เขาชอบใจ เพราะเช่นนี้แสดงว่าตอนนี้ ‘เขา’ นับวันยิ่งสนใจในตัวเขา
ทว่าสิ่งที่ขัดแย้งคือ เมื่อเห็น ‘เขา’ เสียใจ ในใจเขาก็เจ็บปวดเช่นกัน กระทั่งคิดอยากโอบกอด ‘เขา’ ไว้ในอ้อมกอดตนอย่างเห็นใจ
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดไล่ตามไป คิดไม่ถึง บนเอวกลับแน่นขึ้นชั่วขณะ เหนียนซูหลานที่ยังไม่ยอมแพ้แนบชิดเข้ามาอีกครั้ง ออกแรงใช้สองมือโอบกอดเอวเขาไว้แน่น
“พี่อวี๋ อย่าไปได้หรือไม่ เท้าของซูหลานปวดยิ่งนัก หรือพี่อวี๋จะใจร้ายทิ้งซูหลานให้อยู่ที่นี่คนเดียว”
ขณะที่เหนียนซูหลานพูดประโยคนี้ ภายในน้ำเสียงแฝงด้วยความน่าสงสาร จากนั้นก็สะอึกสะอื้น
เมื่อถูกสาวงามโอบกอดไว้ และสาวงามก็ดึงดูดใจเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นเกรงว่าคงอ่อนระทวยไปแล้ว
แต่กลับไม่ได้รวมถึงเหลิ่งจวิ้นอวี๋
เมื่อถูกเหนียนซูหลานกอดไว้แน่นเช่นนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้สึกเพียงยุ่งยากใจขึ้นมา และคิดว่าเหนียนซูหลานนับวันยิ่งยึดติด ทำให้คนเกลียดชัง
ดังนั้นเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเอ่ยปากขึ้นโดยไม่คิดอย่างเย็นชาว่า
“ปล่อยมือ”
“ไม่ปล่อย หากข้าปล่อย พี่อวี๋จะจากไป”
สำหรับคำพูดเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ทำให้ร่างกายเหนียนซูหลานแข็งทื่อ ทว่าเธอไม่ยอมปล่อยมือ กลับเพิ่มแรงในมือขึ้นอีก ก่อนร้องไห้สะอึกสะอื้น
“พี่อวี๋ หรือข้าทำให้ท่านรู้สึกรังเกียจเพียงนั้น ท่านลืมเรื่องวัยเด็กของพวกเราไปแล้วหรือ ตอนนั้นท่านไม่ปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ พวกเราตอนนั้นแอบไปเล่นที่ตลาดด้วยกัน เล่นว่าวด้วยกัน สิ่งพวกนั้นท่านลืมไปแล้วหรือ อีกอย่างเวลานั้นข้าชื่นชอบท่าน จึงคิดว่าวันหน้าเมื่อเป็นผู้ใหญ่ จะแต่งงานกับท่าน ผู้ใดจะรู้จู่ๆ ท่านถูกนักพรตเทียนซานรับเป็นศิษย์ ก่อนพาตัวไป แต่ข้ายังรอตลอดเวลา ข้าเรียนเต้นระบำ เพื่ออยากเต้นให้แก่ท่านได้ชื่นชม หรือว่าข้าเป็นเช่นนี้ ท่านก็ไม่ชื่นชอบหรือ”
เมื่อพูดถึงตอนสุดท้าย เหนียนซูหลานร้องไห้อย่างหนัก
แต่เธอยังไม่สนใจใบหน้านองน้ำตานั้น สีหน้าเธอยังเสียใจ โศกเศร้า ร้อนรน ก่อนเอ่ยขึ้นต่อว่า
“หากพี่อวี๋ไม่ชื่นชอบ ท่านชอบเช่นไร บอกกับข้า ข้ายินยอมจะเปลี่ยนแปลงเพื่อท่าน เพียงขอร้องให้ท่านมองมาที่ข้าสักแวบหนึ่ง ชอบข้าสักเล็กน้อย เพียงแค่เล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว”
เอ่ยจบ เหนียนซูหลานอ้อนวอนอย่างถ่อมตน
สำหรับเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งสำหรับเธอ
เพราะไม่ว่าสถานะ เหนียนซูหลานอยู่ในประเภทให้ความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่นมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นสำหรับผู้อื่น เธอจึงมักแสดงท่าทางสูงส่งของคุณหนูใหญ่
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความรัก เธอกลับต่ำต้อยที่สุด
เพราะเธอรักชายหนุ่มที่ไม่ได้รักเธอ
แม้จะทราบดีว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่รักเธอ แต่เธอยังคงยอมเป็นแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ ไม่ย่อท้อถอยหนี!
แต่น่าเสียดาย แม้เธอจะแสดงท่าทีต่ำต้อยเพียงใดออกมา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ต่างไม่ไหวติง
เพราะเหลิ่งจวิ้นอวี๋ความคิดนิสัยต่างเย็นชาไร้ความรู้สึก นอกจากต่อหน้าเล่อเหยาเหยา จึงจะมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมา ต่อหน้าผู้อื่น เขามักมีท่าทีเย็นชา เหนียนซูหลานก็ไม่ยกเว้นเช่นกัน
แม้เหนียนซูหลานจะพูดมากมาย ร้องไห้อย่างเสียใจขนาดนั้น สีหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็ไม่เปลี่ยนแปลงยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม แววตาเย็นชา
สุดท้ายเหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงเอ่ยอย่างไร้เยื่อใยว่า
“ระหว่างเรา เป็นไปไม่ได้”
เอ่ยจบ สองมือออกแรงปลดมือของเหนียนซูหลานที่โอบกอดเอวตนออก
ไม่มองเหนียนซูหลานที่เสียใจไม่หยุดอยู่ด้านหลัง ก้าวเดินออกจากห้องไปทันที
ส่วนซิง หลังมาถึงที่นี่ ก็แอบซ่อนตัวอยู่ที่มุมมาตลอด เมื่อเห็นเจ้านายตนถูกสาวงามหยาดเยิ้มสารภาพรัก ล้วนไม่ไหวติง ตอนจากไปยังอดเห็นใจเหนียนซูหลานหลายส่วนไม่ได้
ผู้ใดให้เธอรักเจ้านายของเขาที่ไร้ความรู้สึกเลือดเย็นผู้นั้นกัน! จึงต้องหัวใจแตกสลายเช่นนี้
เมื่อเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ออกจากห้องไป ซิงย่อมตามออกไปด้วย
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดินอยู่ด้านหน้ามองไม่เห็นเงาของคนตัวเล็กนั้นอยู่ตรงหน้าแล้ว อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ ก่อนพลันฉุกคิดขึ้นได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า
“วันนี้ เป็นวันใด”
“อา วันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันเอ่ยถาม ซิงจึงเอ่ยถามกลับไป
บนใบหน้าดูตกตะลึง
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น ก็รู้ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าคือวันใด จึงไม่เอ่ยถามให้มากความ ทว่าฝีเท้ากลับไม่หยุดลง
แต่ซิงที่เดินอยู่ด้านหลังเขา หลังหายจากการตกตะลึง กลับพึมพำกับตนเองว่า
“วันนี้มิใช่วันพิเศษอันใด ทว่าเมื่อครู่ได้ยินเสี่ยวมู่จื่อและพ่อครัวหลี่เอ่ยว่า คล้ายวันนี้เป็นวันเกิดของเสี่ยวเหยาจื่อ เมื่อรู้แล้ว ประเดี๋ยวต้องมอบของขวัญบางอย่างให้เขาหรือไม่”
เดิมที ซิงเพียงพึมพำกับตนเอง คิดไม่ถึง คำพูดนี้กลับถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยินเข้า
ใบหน้าหล่อเหลาอดตะลึงงันไม่ได้ ดวงตาเย็นชาปรากฎความมั่นใจขึ้นมา
ที่แท้วันนี้คือวันเกิดของ ‘เขา’
…
เล่อเหยาเหยาหลังตกใจเมื่อเห็นภาพเมื่อครู่ สองขาคล้ายไม่เป็นตัวของตัวเอง พุ่งตรงไปที่ทิศของวังอ๋องทันที
หลังวิ่งมาถึงตำหนักหย่าเฟิง ผลักประตูปิดลงกลอนห้องของตนทันที
หลังกลับมาถึงสถานพักพิงของตน น้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ในเบ้าตาของตน ในที่สุดก็ข่มกลั้นไม่ไหวร่วงหล่นลงมา
ร่างกายก็ค่อยๆ อ่อนแรงลงตามประตูไม้ที่ปิดแน่นนั้น จากนั้นสองมือก็กอดขาตนเองไว้แน่น ใบหน้าเล็กมุดเข้าไปในระหว่างเข่า ก่อนร้องไห้อย่างหนักขึ้นมาอย่างไม่ปิดบัง
สวรรค์! เธอโง่เง่าเสียจริง
เขาเอ่ยว่าชอบตน ตนหลงเชื่อใจ
เขาอ่อนโยนกับตน จนเธอถอนตัวไม่ขึ้น
ขณะคิดว่าเขาบาดเจ็บ เธอก็วิตกกังวล
ทว่าสุดท้าย สิ่งที่เห็นกลับเป็นภาพเช่นนั้น
เดิมทีทั้งหมดนี้ ต่างเป็นสิ่งที่เขาหลอกลวงเธอ
หรือเขาเพียงคิดว่าเธอน่าสนใจ คล้ายกับของเล่น จึงหยอกล้อเล่นกับเธอ!
เห็นชัดว่าข้างกายเขามีสาวงามอยู่แล้ว เหตุใดต้องมาหลอกลวงเธอกัน พูดจาไพเราะน่าฟัง แต่สุดท้าย…
เขากลับมีหญิงอื่นอยู่แล้ว!
ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยายิ่งปวดใจ น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด
น่าตายนัก ต่อไปเธอจะไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของเขาอีกแล้ว คำพูดของชายหนุ่ม ต่างเชื่อถือไม่ได้!
ในใจเล่อเหยาเหยาทั้งเสียใจและโมโห สุดท้ายไม่รู้ร้องไห้ไปนานเพียงใด จึงสะอึกสะอื้นลุกขึ้นจากพื้น
เมื่อมองสีท้องฟ้ารอบด้าน จึงพบว่าด้านนอกมืดมิดลงแล้ว
ภายในห้องที่ไม่ได้จุดไฟ จึงมืดมิด
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาค่อยๆ ค้นหา จุดตะเกียงน้ำมันขึ้น ก่อนกลับมาล้างหน้าล้างตา ร่าเริงอีกครั้ง
อาจเป็นเพราะเมื่อครู่ร้องไห้เสียใจมากเกินไป ท้องตอนนี้จึงส่งเสียง ‘จ๊อกๆ’ ไม่หยุด
เมื่อดูสีท้องฟ้า ตอนนี้เลยเวลาอาหารเย็นไปแล้ว
กฎระเบียบในวังอ๋อง หลังผ่านช่วงอาหารเย็น ไม่อนุญาตให้ทานอาหาร
ดูแล้ว นี่คงเป็นวันเกิดครั้งแรกที่เธอต้องฉลองอย่างหิวโหยเป็นแน่
คิดแล้ว เล่อเหยาเหยาพลันรู้สึกอ้างว้าง
แต่เวลานั้น นอกประตูมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จนเล่อเหยาเหยาตกใจ ขณะกำลังคิดว่าเป็นผู้ใด กลับได้ยินซิงเอ่ยจากประตูอีกฝั่งว่า
“เสี่ยวเหยาจื่อ ท่านอ๋องอยู่ที่ศาลาพักร้อน เรียกเจ้าให้ไปพบ”