สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 156 เล่อเหยาเหยากินปูนร้อนท้อง
“อืมได้ อวี๋ท่านเป็นคนดีจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาพยักหน้าพลางเอ่ยขึ้นทันที
“ฮ่า ๆ เปิ่นหวางดีที่ใดหรือ”
สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา เมื่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยินเข้า ใบหน้าเด็ดเดี่ยวนั้นพลันอ่อนโยนลง
มุมปากยิ้มอย่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้คน
รอยยิ้มนั้นแฝงด้วยความมอมเมาเจ็ดส่วน น่าสัมผัสสามส่วน น่ามองจนทำให้คนที่เห็นมิอาจละสายตาได้
รวมทั้งดวงตาล้ำลึกของเขา ทำให้เมื่อถูกเขาจ้องมองเงียบๆ เช่นนี้ กระทั่งสติของตนก็ถูกเขาสูบออกไป
สำหรับสายตามีเสน่ห์ชวนหลงใหลเช่นนี้ของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงหัวใจตน ตื่นเต้นจนแทบกระดอนหลุดออกมา
ความร้อนจากในใจพุ่งตรงสู่เหนือศีรษะออกไป ใบหน้าก็ร้อนผ่าว กระทั่งใบหูก็ยังร้อนแดง
“เอ่อ คือว่า อวี๋ ท่านดีทุกอย่าง และดีกับข้า จริงๆ นะ”
เมื่อถูกชายหนุ่มมองด้วยสายตาร้อนแรงเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาอดที่จะเขินอายไม่ได้ ใบหน้าเล็กยิ่งแดงก่ำขึ้น
ท่าทางเขินอายแฝงขวยเขิน คล้ายกับกระต่ายน้อยขี้อายแสนน่ารักตัวหนึ่งนั้น ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋มองจนอดใจอ่อนไม่ได้ ก่อนหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา
“เมื่อเปิ่นหวางดีกับกระต่ายน้อย เช่นนั้นกระต่ายน้อย เจ้าควรที่จะดีต่อข้ามิใช่หรือ”
สำหรับคำพูดนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตะลึงงัน พลันพยักหน้าพร้อมเอ่ยขึ้นทันทีว่า
“อืม ผู้ใดดีกับข้า ข้าจะดีกับคนผู้นั้น”
นี่คือหลักการดำเนินชีวิตของเล่อเหยาเหยา ผู้ใดดีกับเธอ เธอต้องดีกับคนคนนั้น!
นิสัยของเล่อเหยาเหยาเป็นเช่นนี้ ดูร่าเริงสดใส และไม่ทำในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปไม่ได้ ดังคำที่ว่าเรือย่อมตรง เมื่อเข้าเทียบท่า ดังนั้นตั้งแต่เด็กจนโต เธอแทบไม่มีเรื่องยุ่งยากใจ
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยินคำพูดนี้ของเล่อเหยาเหยา และเห็นดวงตาคู่งามกระจ่างใสของเธอ จึงยิ้มที่มุมปาก ทันใดนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋คล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้ จึงเม้มริมฝีปาก ก่อนเอ่ยถามเล่อเหยาเหยาว่า
“เมื่อเป็นเช่นนั้น กระต่ายน้อย เจ้ามีเรื่องใดปิดบังเปิ่นหวางหรือไม่ หืม”
คำพูดนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ น้ำเสียงแผ่วเบา ใบหน้าดูปกติเช่นเดิม ดูแล้วคล้ายเอ่ยถามประโยคนี้อย่างไม่ได้ตั้งใจ
แต่เล่อเหยาเหยาที่มีความลับในใจ หลังได้ยินคำพูดนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ร่างกายเล็กอดแข็งทื่อไม่ได้
แม้เธอจะพยายามควบคุม ไม่ให้อารมณ์ความรู้สึกที่กังวลและไม่มั่นใจของตนเปิดเผยออกมา แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋คือคนประเภทใด
ขณะที่เขาพูดประโยคนี้ ดวงตาเย็นชาเหมือนว่าจะสามารถมองทะลุผ่านใจของคนได้คู่นั้น มองอยู่ที่ใบหน้าเล็กของเล่อเหยาเหยาอย่างไม่ละสายตา จึงย่อมเห็นถึงความไม่มั่นใจและผิดปกติบนใบหน้าของเล่อเหยาเหยา
แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับไม่พูดจา
ส่วนเล่อเหยาเหยาคิดว่าตนเองต้องปกปิดเป็นอย่างดี หลังควบคุมอารมณ์ความกังวลของตนเสร็จ จึงฉีกยิ้มมุมปาก เอ่ยขึ้นพลางหัวเราะให้ชายหนุ่ม
“มะ…ไม่มี ข้าจะมีเรื่องใดปิดบังท่านกัน อวี๋”
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ออกมา แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาเย็นชาคมกริบคู่นั้นของชายหนุ่ม ในใจเล่อเหยาเหยากลับเต้นระรัว
สวรรค์!
เหตุใดตอนนี้พญายมจึงเอ่ยถามเช่นนี้ เขาคงมิใช่สังเกตเห็นสิ่งใดเข้าหรอกนะ
แต่เมื่อเห็นสีหน้าพญายมคล้ายไม่ผิดปกติ หากเขารู้เรื่องที่เธอปิดบังเขา ต้องเปิดเผยทันทีแน่นอน
แต่ตอนนี้ ส่วนใหญ่เขาน่าจะเพียงหยั่งเชิงดูเท่านั้น คงเป็นเช่นนี้
เล่อเหยาเหยาคิดในใจ ค่อยๆ สังเกตุสีหน้าของชายหนุ่ม
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเล่อเหยาเหยารอบคอบระแวดระวังเพราะคำถามนี้ บนใบหน้ากลับยังคงเป็นปกติ เพียงยิ้มที่มุมปาก ก่อนเอ่ยว่า
“เช่นนั้นก็ดี”
สามคำง่ายดาย รวมทั้งรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าเขา ทำให้เล่อเหยาเหยาที่หวาดหวั่นใจ ในที่สุดก็คลายใจลงไม่น้อย
คิดไม่ถึง เล่อเหยาเหยายังไม่คลายใจลง ก็ถูกประโยคถัดมาของชายหนุ่มทำให้ใจเต้นระรัวขึ้น
“จริงสิ กระต่ายน้อย เจ้าอยู่ที่วังของเปิ่นหวางมาสามเดือนแล้วใช่หรือไม่”
“อืม ใช่แล้ว”
จู่ๆ ก็ไม่เข้าใจ เหตุใดเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเอ่ยถามเช่นนี้ ทว่าเล่อเหยาเหยายังเอ่ยตอบตามความจริง
แม้เธอจะข้ามเวลามาที่นี่ มาเป็นขันทีน้อย แต่จากคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เธอเข้ามาที่นี่พร้อมกับเสี่ยวมู่จื่อ และอยู่ที่นี่มาหนึ่งเดือนแล้ว รวมเข้ากับตอนนี้ เป็นเวลาสามเดือนพอดี
ขณะเล่อเหยาเหยาคำนวณในใจ พลันได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ เปิ่นหวางคล้ายไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงครอบครัวเลย ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดต้องทำแล้ว กระต่ายน้อยมิสู้เจ้าเล่าเรื่องคนในครอบครัวให้ข้าฟังดีหรือไม่”
ชายหนุ่มเอ่ยจบ ร่างกายท่อนบนเอนนอนลงบนเก้าอี้นอน ก่อนทำท่าทางรอคอยฟังอย่างตั้งใจ
แต่เล่อเหยาเหยาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเขา กลับรู้สึกเพียงหนังศีรษะชาวาบ
เพราะเธอเดินทางข้ามเวลามาที่นี่ เข้ามาอยู่ในร่างนี้ ทว่ากลับไม่มีความทรงจำใดกับร่างนี้ทั้งสิ้น
แม้ก่อนหน้านี้เสี่ยวมู่จื่อจะเอ่ยเล่าว่า เจ้าของร่างนี้ ฐานะทางครอบครัวยากจน จึงยอมขายตัวมาที่นี่ แต่เรื่องครอบครัวของร่างนี้ กระทั่งเสี่ยวมู่จื่อก็ไม่ล่วงรู้
และเรื่องพวกนี้ คือเรื่องที่เจ้าของร่างเดิมเล่าให้เสี่ยวมู่จื่อฟัง แต่ทว่าต่อมาเล่อเหยาเหยาสำรวจร่างนี้อย่างละเอียด พบว่ามือคู่นี้ขาวเนียนนุ่ม ดุจไข่ไก่ที่ถูกลอกเปลือกออก ร่างกายอ่อนแอ ไม่เคยทำงานหนักมาก่อน เดิมทีจึงไม่ใช่สิ่งที่เด็กจากครอบครัวยากจนควรมี
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงเดาว่าเรื่องที่เจ้าของร่างนี้เอ่ยเล่าแก่เสี่ยวมู่จื่อเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น
ทว่าเวลานี้เมื่อเจอคำถามนี้ของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยากลับใจเต้นระรัว
และยังไม่มั่นใจอย่างมาก
เพราะแม้ชายหนุ่มจะมีสีหน้าเช่นเดิม แต่มักทำให้เธอรู้สึกถึงความแปลกประหลาด คล้ายเขาล่วงรู้ถึงเรื่องใด
ทว่านี่จะเป็นไปได้เช่นไร!
หลังเธอมาถึงที่นี่ ทำทุกสิ่งอย่างระมัดระวัง นอกจากถูกตงฟางไป๋รู้ถึงสถานะผู้หญิงของตน ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้ และจากนิสัยของตงฟางไป๋ เขาต้องไม่พูดเรื่องของเธอออกไปแน่ สำหรับเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยามั่นใจอย่างยิ่ง
แต่หากตงฟางไป๋ไม่ได้เอ่ยออกไป เหตุใดพญายมจึงรับรู้ถึงความผิดปกติบนร่างกายของเธอ
หรือเธอกินปูร้อนท้อง จนคิดมากเกินไป
แต่ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ
เล่อเหยาเหยาปลอบใจตนเองในใจไม่หยุด เพราะไม่อยากให้ตนเองตื่นตระหนก
หลังสงบสติอารมณ์ด้มั่นคงแล้ว บนใบหน้าดูเป็นธรรมชาติอย่างไร้ข้อบกพร่อง ก่อนเอ่ยอย่างเป็นปกติว่า
“ความจริง เรื่องของครอบครัวข้าไม่มีสิ่งใดน่าฟัง เพราะเป็นเพียงครอบครัวที่ยากจนธรรมดาทั่วไป”
“โอ้ ครั้งก่อนเจ้าเล่าว่า ตอนเด็กร่างกายเจ้าไม่แข็งแรง ดังนั้นบิดามารดาจึงขายทรัพย์สินในบ้านทั้งหมด เพื่อรักษาโรคของเจ้ามิใช่หรือ”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตะลึงงัน พลันนึกขึ้นได้ คำพูดพวกนี้คล้ายพูดเพื่อบ่ายเบี่ยงให้จบไปอย่างเพ้อเจ้อ หากชายหนุ่มไม่เอ่ยขึ้น เธอลืมมันไปแล้ว
ทว่าเรื่องพวกนี้ ครั้งก่อนเธอเพียงแต่งขึ้นตามใจเท่านั้น คิดไม่ถึงพญายมจะความจำดีเช่นนี้
สวรรค์ หากเธอต้องโกหกต่อหน้าชายหนุ่มที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งนัก!
เล่อเหยาเหยาเหงื่อไหลทั่วแผ่นหลัง ทว่าบนใบหน้ากลับเรียบเฉยเป็นปกติเช่นเดิม
เพราะเธอเคยผ่านการแสดงละครในโรงเรียนมาหลายเรื่อง สำหรับการแสดง เล่อเหยาเหยาฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ
แต่ว่าท่ามกลางสายตาที่คมกริบ เฉียบขาดของชายหนุ่ม มักทำให้เธอขาดความมั่นใจ
แม้เล่อเหยาเหยาจะกังวลสับสนวุ่นวายในใจ แต่เธอยังได้สติอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ใช่ ใช่ อวี๋ ท่านความจำดีเสียจริง ฮ่าๆ”
เล่อเหยาเหยาหัวเราะขึ้น ก่อนรู้สึกเพียงตอนนี้ร่างกายร้อนขึ้นมา แผ่นหลังเหนอะหนะ แผ่นหลังคงเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ น่ากลัวเหลือเกิน!
ขณะที่เล่อเหยาเหยาหัวเราะ กลับไม่รู้ตัวว่าเธอเวลานี้ ดวงตาคู่งามเป็นประกายไม่หยุด รอมยิ้มที่มุมปากแข็งทื่อ คนฉลาดเช่นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จะไม่รู้ถึงความวิตกกังวลในใจของเธอได้เช่นไร!
แต่เขากลับไม่ทำลายมันลง เพียงดวงตาเย็นชาเป็นประกายออกมา สายตาที่มองเล่อเหยาเหยา ดูลึกล้ำเกินคาดเดายิ่งขึ้น
“จริงสิ ก่อนนี้เจ้าเคยเอ่ยว่า ครอบครัวของเจ้าคล้ายมีน้องสาวน้องชายหลายคน ไม่รู้ว่าน้องเจ้าหน้าตาเป็นเช่นไร พวกเขาหน้าตาเหมือนเจ้าหรือไม่”
“เอ่อ เรื่องนี้ ครอบครัวข้า ครอบครัวข้ามีน้องสาวน้องชายทั้งหมดห้าคน ข้าเป็นบุตรคนที่สอง พวกเราพี่น้องหน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่ง”
เห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋คล้ายสำรวจประวัติครอบครัว เล่อเหยาเหยาจึงยิ่งขาดความมั่นใจ
แต่ว่าเธอยังคงแต่งเรื่องเหลวไหลขึ้นมา
ถึงอย่างไรพญายมคงไม่ส่งคนไปตรวจสอบครอบครัวของเธอด้วยตนเองแน่ เธอพูดเช่นไร คงไม่เสียหาย
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงมั่นใจมากขึ้น
ดวงตากลมโตคู่งามกลับไม่ละไปจากใบหน้าของชายหนุ่มเลย เพราะกลัวเขาจะไม่เชื่อคำพูดของเธอ
หลังสังเกตอยู่นาน บนใบหน้าของชายหนุ่มยังเรียบเฉยเช่นเดิม คล้ายเชื่อในคำพูดของเธอ
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาจึงค่อยๆ โล่งอก
และรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก จึงหมายยื่นชายเสื้อขึ้นเช็ด คิดไม่ถึง บางคนกลับเคลื่อนไหวเร็วกว่าเธอหนึ่งก้าว
เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงมีฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนยื่นออกมาตรงหน้า ก่อนเม็ดเหงื่อที่ไหลซึมบนหน้าผากนั้นจะถูกเช็ดอย่างเบามือ จากนั้นหูก็ได้ยินเสียงต่ำน่าฟังดังขึ้น
“ร้อนมากหรือ เหตุใดจึงเหงื่อไหลมากเช่นนี้”
“เอ่อ คือว่า ใช่ ข้าร้อนยิ่งนัก ร้อนมาก ฮ่า ๆ”
เมื่อโกหกต่อหน้าชายหนุ่มที่เฉลียวฉลาด เธอจึงเหงื่อไหลออกมา จะให้ไม่มีเหงื่อได้เช่นไร
และไม่เพียงแต่เหงื่อที่หน้าผากที่ผุดขึ้นมาไม่หยุด แผ่นหลังของเธอก็เหนียวเหนอะหนะ จนอยากไปอาบน้ำเพื่อให้เย็นสบายอย่างเร็วที่สุด
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ ชายหนุ่มดุจพยาธิในท้องเธอ หลังเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้เธอ พลันเอ่ยขึ้นว่า
“วันนี้เจ้าเหนื่อยล้าแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
“โอ้ ดีเลย เช่นนั้น อวี๋ ท่านรีบพักผ่อนเถิด”
เมื่อได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋พูดเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาดีใจในใจ ลุกขึ้นจากต้นขาของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนรีบร้อนจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะขาดความมั่นใจ และกลัวว่าตนจะตะลึงอยู่ที่นี่อีกครั้ง จนพญายมสังเกตบางอย่างได้ ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงไม่กล้าหันกลับไป รีบร้อนออกจากที่ประทับในสวนไผ่
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงไม่รับรู้ถึงดวงตาเย็นชาที่ชายหนุ่มองเธอ ว่าลึกล้ำเกินคาดเดาเพียงใด