สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 160 ถอดเสื้อตรวจร่างกาย
เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นพร้อมไม้กวาดในมือเล่อเหยาเหยาตกลงบนพื้น
ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้น เนื่องจากคำพูดของหนานกงจวิ้นซีจึงตะลึงจนอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง ดวงตาคู่งามที่มองหนานกงจวิ้นซี แฝงไปด้วยความไม่เชื่อสายตาและตกตะลึง
เพราะเธอคิดไม่ถึง เพียงหนานกงจวิ้นซีปรากฎตัวขึ้นมา จะเริ่มเอ่ยประโยคเช่นนี้กับเธอออกมา
เขาถามเธอว่า เธอเป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่!
เขารู้บางอย่างใช่หรือไม่!
ตรงข้ามกับความตกตะลึงของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีที่ยืนอยู่ตรงข้ามเธอ เวลานี้อารมณ์ค่อนข้างสับสน
ในใจเขาเวลานี้ทั้งตกตะลึง ร้อนรน กังวล พร้อมคาดหวังและตื่นเต้น
เขาเวลานี้ หัวใจคล้ายมีซอสห้ารสแตกอยู่ด้านใน จนเกิดเป็นรสชาติต่างๆ ขึ้นมา
เพราะเมื่อครู่ ขณะที่เขาเบื่อหน่าย เพื่อฆ่าเวลาจึงพลิกหนังสือไปมาอยู่ภายในห้องหนังสือของศิษย์พี่ใหญ่
ตอนเขามาถึงที่นี่ ว่างตลอดทั้งวัน ยังไม่คิดรีบกลับต้าเซี่ย คิดอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักพักก่อนกลับไป
ตอนนี้เด็กน่ารังเกียจนั้นหายตัวไปแล้ว แม้เสด็จแม่จะเสียใจเพราะเรื่องนี้ แต่สำหรับเขา นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
ตอนเป็นเด็ก เขามักขัดแย้งกับปีศาจน้อยนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เด็กนั่นยังน่าเกลียด อัปลักษณ์ยิ่ง ชอบร้องไห้ตลอดเวลา ตามติดเสด็จแม่ของเขาไปทุกที่ ทำตัวเป็นคู่แข่งกับเขา
ไม่รู้เหตุใดเสด็จแม่จึงทรงชื่นชอบเด็กน่ารังเกียจนั้นยิ่งนัก และทุกครั้งที่เด็กน่ารังเกียจนั้นร้องไห้ เสด็จแม่ต่างกล่าวโทษเขา
แม้บางครั้งเด็กน่ารังเกียจนั้นจะถูกเขารังแกจนร้องไห้จริง
แต่ต้องจนปัญญา เพราะเขาเกลียดชังเธออย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเธอ นอกจากชอบร้องไห้แล้ว ยังตามติดอยู่ด้านหลังเขา
ไม่ว่าเขาไปที่ใด เธอดุจขนมหนิวผีถัง ตามติดอยู่ด้านหลังเขาไปทุกที่ ทำให้เขาเกลียดชังอย่างมาก
และยังมักตามติดอยู่ด้านหลังเขาร้องตะโกน ‘พี่จวิ้นซี’ อย่างไม่รู้จบ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงถูกเหล่าสหายหัวเราะเยาะมาไม่น้อย
โดยเฉพาะครั้งหนึ่งหลังจากเด็กน่ารังเกียจนั้นหกล้มลงบนพื้นจนฟันหัก จึงดูอัปลักษณ์ แต่ทุกครั้งเธอยังเรียกเขา ‘พี่จวิ้นซี’ เขาจึงรังเกียจและหงุดหงิดมากขึ้น จนอยากให้เธอสูญหายไปหรือเป็นเขาที่สูญหายไป เช่นนั้นเขาจะได้ไม่ต้องเจอหน้าเธอไปตลอดกาล
สุดท้าย ความปรารถนาของเขาก็กลายเป็นจริง คิดไม่ถึงว่าจะถูกนักพรตเทียนซานเห็นแวว รู้สึกว่าเขามีโครงสร้างที่แปลกประหลาด เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเหมาะสมในการฝึกวรยุทธ์ที่หาได้ยาก
ในราชสำนัก ความจริงมียอดฝีมือไม่น้อยคอยอารักขา เขาจึงมีความรู้เพียงผิวเผิน เพื่อทำให้เหล่าอาจารย์ในวังหลวงสามารถสอนศิลปะการต่อสู้ให้เขาได้
แต่นั่นเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่สามารถออกจากวังหลวง และหลบซ่อนจากเด็กน่ารังเกียจผู้นั้น
ดังนั้นเขาจึงอ้อนวอนพระบิดาและเสด็จแม่อย่างหนัก เพื่อให้ได้กราบเข้าเรียนกับอาจารย์
แม้ความจริงเวลานั้นเขาจะจำใจออกจากวังหลวง เพราะเขายังเป็นเด็ก ต้องห่างจากเสด็จแม่ ต้องคิดถึงเสด็จแม่แน่นอน
แต่พอนึกถึงเด็กน่ารังเกียจข้างกายเสด็จแม่ผู้นั้น เขาเลี่ยงไม่ได้ที่จะรีบออกจากวังหลวง
เวลาผ่านมาหลายปี เขาก็ค่อยๆ ลืมเลือนเด็กน่ารังเกียจผู้นั้น ผู้ใดจะรู้ อาจารย์ออกท่องเที่ยว ให้พวกเขาศิษย์พี่น้องสองคนลงจากเขา เขาก็คิดกลับต้าเซี่ยไปหาเสด็จแม่ที่ไม่ได้พบหน้ามาหลายปี ทว่าระหว่างทางกลับได้รับข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่า เสด็จแม่มีความคิดจะให้เขาอภิเษกกับเด็กน่ารังเกียจนั้นหลังจากเขากลับถึงวังหลวง
สวรรค์
พอได้ฟังเรื่องนี้ เขารู้สึกเพียงฟ้ากำลังจะถล่มลงมา!
หากให้เขาอภิเษกกับเด็กน่ารังเกียจนั้น สู้สังหารเขาเสียดีกว่า
แต่เขาไม่อยากตาย ดังนั้นจึงทำได้เพียงหลบหนีเท่านั้น
คิดไม่ถึง เวลาสองเดือนที่เขาหนีมาอยู่ที่วังของศิษย์พี่ใหญ่ จึงรู้ว่าเด็กน่ารังเกียจนั้นหายตัวไปแล้ว
เช่นนี้ดียิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้ เขาไม่ต้องอภิเษกกับเธอ
ทว่าเสด็จแม่ยังไม่ตัดใจ ยังให้คนมากมายออกตามหา กลับกันที่น่าขันคือนำภาพวาดของเด็กน่ารังเกียจนั้นมามอบให้เขา
แม้ไม่เจอหน้ามาหลายปี เด็กน่ารังเกียจนั้นต้องหน้าตาอัปลักษณ์เช่นเดิมแน่นอน!
เพราะเขาเคยพบหน้าบิดาของเธอ ตอนที่ยังเด็ก
รูปร่างกำยำล่ำสัน หน้าเหลี่ยม หน้าผากนูนโป่ง พูดจาดุจฟ้าคำราม และยังไว้หนวดเคราดกหนา ครั้งแรกที่เจอหน้าเขา เขาพลันนึกถึงหมีดำขึ้นมาทันที!
ลูกของหมีดำ ต้องเป็นแม่หมีมิใชหรือ!
ดังนั้นเขาจึงสรุปว่าเด็กน่ารังเกียจนั้น หน้าตาต้องอัปลักษณ์อย่างยิ่ง!
พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีอดวาดภาพของเด็กน่ารังเกียจนั้นขึ้นมาภายในหัวไม่ได้ สุดท้ายเขายังถูกภาพที่ตนนึกถึงทำให้ตกใจ จนกระทั่งเย่หงมอบภาพวาดของเด็กน่ารังเกียจนั้นให้เขา เขาไม่เปิดดู
เพราะเขากลัวเห็นแล้ว กลางคืนจะฝันร้าย!
ขณะที่หนานกงจวิ้นซีพลางคิดพลางพลิกหนังสืออย่างเบื่อหน่ายอยู่ในห้องหนังสือ สุดท้ายดวงตาดอกท้อกลับเหลือบไปเห็นม้วนภาพวาดที่ตกอยู่ในมุมดึงดูดเข้า
เห็นเพียงภาพวาดนั้นดูคุ้นตา ถูกวางไว้ในมุมที่ลับตาคน หนานกงจวิ้นซีเพียงแปลกใจ หยิบขึ้นมาดู
เมื่อหยิบขึ้นมาจึงจำได้ว่า นี่คือภาพวาดของเด็กน่ารังเกียจนั้นมิใช่หรือ
แต่เหตุใดศิษย์พี่ใหญ่จึงนำมาวางไว้ในห้องหนังสือ
หนานกงจวิ้นซีแปลกใจ เดิมทีคิดวางม้วนภาพลงที่เดิม ทว่าสุดท้ายยังสู้ความแปลกใจในใจไม่ได้
อยากรู้ว่าเด็กน่ารังเกียจนั้นจะอัปลักษณ์เช่นเดียวกับที่ตนคิดหรือไม่ จึงอยากหยิบขึ้นมาเปรียบเทียบ ก่อนค่อยๆ คลี่ภาพวาดม้วนนั้นออก
ไม่ดูยังดีเสียกว่า เพราะเมื่อเห็นหนานกงจวิ้นซีราวกับถูกฟ้าผ่าลงมาที่ร่างกาย ตกใจอย่างหนัก!
เพราะสาวน้อยในภาพวาดนั้น ไม่กำยำล่ำสัน น่าเกลียดอัปลักษณ์เช่นที่ตนคิด กลับกันมีดวงตาสดใสเฉียบแหลม งามสุดในแผ่นดิน
และรูปโฉมของสตรีผู้นี้ กลับเหมือนกับเจ้าหมูน้อยราวคนคนเดียวกัน
เห็นตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีตกตะลึงสุดขีด
หลังได้สติ ตนรีบร้อนมาที่ตำหนักหย่าเฟิงอย่างรวดเร็วราวกับลมกรด
เพราะเขาต้องการพิสูจน์ความจริง เรื่องหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก นั่นคือ
“เจ้า ตกลงเป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ออกไปกับคนตัวเล็กตรงหน้า หนานกงจวิ้นซีรู้สึกเพียงหัวใจตนพลันเต้นระรัว ไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรง
เพราะเขากลัวว่าความหวัง ความตื่นเต้น การรอคอยทั้งหมดของเขา จะเป็นเพียงภาพมายา
แม้ว่าหลังจาก ‘เขา’ ปฏิเสธตน เขาผิดหวังอย่างหนัก หายไปจากวังอ๋องหลายวัน ดื่มสุราคลายทุกข์อยู่ด้านนอก
แต่ต่อมาเขาคิดได้ เมื่อ ‘เขา’ ไม่ชอบเขา เขาจะไม่บีบบังคับ
เพราะ ‘เขา’ ชอบศิษย์พี่ใหญ่
แต่ตอนนี้กลับต่างออกไป
หากว่า ‘เขา’ คือเธอ เด็กน่ารังเกียจผู้นั้น โอ้ ไม่ เป็นคู่หมั้นของเขาจริง เช่นนั้นเขาก็จะสามารถอภิเษกกับเธอ ได้ตัวเธอมาอย่างชอบธรรม!
พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีรู้สึกเพียงตนอิ่มอกอิ่มใจทั่วร่างกาย เมื่อนึกถึงว่าต่อไปเธอเป็นพระชายาของตนอยู่กับตนไปตลอดชีวิต เขาจึงดีใจไม่หยุด
ทว่าต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า ‘เขา’ ใช่เธอจริงหรือไม่!
เขาจำต้องสงสัย
เพราะเขากลัว กลัวว่าเป็นเพียงคนรูปโฉมคล้ายกัน
กลัวว่าทั้งหมดนี้ เป็นเขาที่ฟุ้งซ่านไปเอง
เดิมทียิ่งคิดว่าชื่นชอบ นับวันยิ่งกลัวสูญเสียไป
ขณะหนานกงจวิ้นซีกังวลในใจ อารมณ์ของเล่อเหยาเหยาไม่ดีกว่าเขาเลยสักนิด
เวลานี้ใจของเล่อเหยาเหยากังวลและไม่สบายใจอย่างหนัก
ทว่าเธอยังสงบสติลงได้อย่างรวดเร็ว ก่อนเม้มริมฝีปากแดงแน่นชั่วขณะ จึงเอ่ยกับหนานกงจวิ้นซีว่า
“ท่านเสียสติไปแล้วหรือ ท่านดูท่าทางของบ่าว จะเป็นบุรุษหรือสตรีได้หรือ”
เล่อเหยาเหยาไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนออกมา เพราะเธอไม่มั่นใจว่าหนานกงจวิ้นซีรู้สิ่งใดกันแน่
บนใบหน้าแม้จะยังนิ่งเฉยเช่นเดิม แต่หากมองให้ละเอียด จะสังเกตเห็นว่ามือที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อของเล่อเหยาเหยา กำเป็นหมัดแน่นอยู่ก่อนแล้ว
น่าเสียดายที่ความสนใจทั้งหมดของหนานกงจวิ้นซี เวลานี้ตกอยู่บนใบหน้าของเล่อเหยาเหยา อาจเพราะคิดจับพิรุธบางอย่างจากสีหน้าบนใบหน้าของเธอ
แต่กลับไม่มี!
เล่อเหยาเหยาเวลานี้ มีใบหน้าเรียบเฉย
เพราะพื้นฐานการแสดงก่อนหน้านี้ ต่อหน้าพญายมเธออาจปิดบังสิ่งใดไม่ได้ แต่ต่อหน้าหนานกงจวิ้นซี กลับไม่เหมือนกัน
เพราะหนานกงจวิ้นซีปกติตรงไปตรงมา ไม่ละเอียดรอบคอบ การโกหกเขาจึงถือเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดาย
แต่เวลานี้ ปัญหาของเขาหนักหนาเกินไป ปัญหาอยู่ที่ใดเขาจึงเอ่ยถามเช่นนี้ออกมา!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาสงสัยในใจอย่างยิ่ง สุดท้ายสายตาของเธออดมองม้วนภาพวาดในมือของหนานกงจวิ้นซีไม่ได้
ตอนแรกเธอไม่ได้คิดสิ่งใด แต่สุดท้ายกลับรู้สึกคุ้นตา คล้ายกับ…
อาจเพราะรับรู้ถึงสายตาสงสัยของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีจึงคลี่ม้วนภาพวาดในมือออกต่อหน้าเล่อเหยาเหยา จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า
“หากเจ้าเป็นขันทีจริง เหตุใด เจ้าถึงรูปโฉมเหมือนกับเธอเช่นนี้”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา และเห็นสาวน้อยในภาพ เล่อเหยาเหยารู้สึกสมองเกิดเสียง ‘ตูม’ ขึ้น ร่างกายแข็งทื่ออย่างที่สุด
เห็นเพียงสาวน้อยในภาพนี้ สวมชุดสตรีสวยงาม ยิ้มแย้มอย่างงดงาม ดวงตาสดใสมีชีวิตชีวา งามสุดในแผ่นดิน ทว่า…
เธอสวมชุดสตรี!
สวรรค์ นี่เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่!
เล่อเหยาเหยาตกตะลึง แต่สิ่งที่ทำให้เธอตะลึงที่สุดคือ ในที่สุดเธอนึกออกแล้ว ภาพนี้คือภาพเหมือนของคู่หมั้นของหนานกงจวิ้นซี!
สวรรค์ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
หรือสถานะของร่างนี้ของเธอ จะเป็นคู่หมั้นของหนานกงจวิ้นซี!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาแทบยืนทรงตัวไม่อยู่ล้มลงไป
ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นพลันซีดขาว
หากเธอคือคู่หมั้นของหนานกงจวิ้นซีจริง เช่นนั้นเธอกับพญายมจะทำเช่นไร!
จริงสิ!
คนที่เห็นภาพวาดนี้คนแรกคือพญายม!
เขาต้องเห็นภาพวาดนี้แล้วเป็นแน่ ก่อนคาดเดาบางอย่างได้ จึงลองหยั่งเชิงขึ้นมา
มิน่าเมื่อคืนพญายมจึงดูแปลกไป ที่แท้…
ขณะเล่อเหยาเหยาตกตะลึงในใจ หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ตรงข้ามอดทนรอไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอ่ยซักถามขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าพูดมา เจ้าคือเธอหรือไม่ จริงๆ แล้วเจ้าคือสตรีใช่หรือไม่”
และยังเป็นคู่หมั้นของเขา!
ขณะหนานกงจวิ้นซีพยายามซักถาม เล่อเหยาเหยาแม้ในใจจะตกตะลึง แต่ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว
ประการแรก ตอนนี้เธอชื่นชอบพญายม ประการที่สองหากเธอคือสาวน้อยในภาพจริง ดูจากสถานการณ์ของหนานกงจวิ้นซี คงต้องอภิเษกกับเธอแน่ ทว่าเธอไม่ต้องการ
อีกทั้ง นี่อาจเป็นเพียงคนหน้าตาคล้ายกัน ความจริงเธอไม่ใช่หญิงสาวในภาพ!
แม้คู่หมั้นของหนานกงจวิ้นซีที่มีนามว่าองค์หญิงหลูลู่นั้น จะได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮาแคว้นต้าเซี่ยเป็นพิเศษ แต่เธอตอนนี้คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในวังรุ่ยอ๋องแล้ว และไม่อยากถูกพากลับไปใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แปลกตา
วันเวลาเช่นในตอนนี้ ถือว่าดีที่สุดแล้ว เธอไม่อยากทำลายมันลง
พอคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ในใจเล่อเหยาเหยายุ่งเหยิง ทว่าสุดท้ายเธอเพื่อความรักในใจ จึงโกหกหนานกงจวิ้นซีอย่างเห็นแก่ตัว
“เหตุใดท่านจึงใช้เพียงภาพเหมือนนี้ มาตัดสินว่าเป็นข้า ข้ามั่นใจว่าเธอเป็นเพียงคนที่มีหน้าตาคล้ายกันเท่านั้น”
“ข้าไม่เชื่อ!”
สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา เดิมที่หนานกงจวิ้นซีที่มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ปรากฎความเสียใจขึ้นมา ทว่าไม่นานเขาแย้งขึ้นมา
ถูกต้อง เขาไม่เชื่อ
เขาไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีคนที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้!
แต่ขณะที่เขาไม่เชื่อ กลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างหนัก
เพราะเขาทราบดีถึงนิสัยของเด็กน่ารังเกียจนั้น
หากคนตรงหน้าคือเด็กที่น่ารังเกียจนั้นจริง เหตุใดหลังรู้ถึงสถานะของเขา กลับไม่เข้ามาพัวพันเขา!
กลับกันดูเกลียดชังเขาอย่างยิ่ง
เขายังจำครั้งแรกที่เจอหน้ากันได้ ‘เขา’ ทำกับเขาเหมือนคนแปลกหน้ายิ่งนัก แม้จะรู้ถึงสถานะของเขา ก็ยังเกลียดชังอย่างหนัก ราวกับเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อน ต่างคนต่างเกลียดชังกัน
หาก ‘เขา’ คือเด็กน่ารังเกียจนั้นจริง ต้องไม่เป็นเช่นนี้แน่นอน
เธอต้องใช้น้ำเสียงที่เขาเกลียดชังที่สุดเรียกเขา ‘พี่จวิ้นซี’ ไม่หยุด จากนั้นวิ่งตามเขาตลอดเวลา
ไม่ใช่จะทำเช่นนี้กับเขา!
หรือนี่จะเป็นจริงดังที่ ‘เขา’ พูดว่า เป็นเพียงคนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกันเท่านั้น!
แต่บนโลกนี้คนสองคนที่ไม่ความสัมพันธ์ใดๆ เกี่ยวข้องกัน จะมีหน้าตาราวคนคนเดียวกันได้หรือ!
หนานกงจวิ้นซีทั้งสงสัยและหวาดกลัวในใจ
ทว่าเขาไม่อยากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องได้คำตอบที่ชัดเจนที่สุด เพราะเขากลัว วันหน้าเขาอาจเสียใจก็เป็นได้
พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีมีสีหน้าหวั่นไหว ก่อนเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาว่า
“ได้ หากอยากให้ข้าเชื่อเจ้า เจ้าต้องถอดเสื้อผ้าออกมาให้ข้าดู!”
“อะไรนะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาต้องตกตะลึงอีกครั้ง
สวรรค์! เขากลับบอกให้เธอถอดเสื้อผ้า หากเธอถอดเสื้อผ้าจริงจะเผยพิรุธออกมา นั่นย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้!
แต่หนานกงจวิ้นซีกลับมั่นใจอย่างยิ่ง
“ถูกต้อง หากเจ้าไม่ถอด แสดงว่าเจ้ามีเรื่องที่บอกผู้ใดไม่ได้ เจ้าคือหลูลู่!”
คู่หมั้นของเขา!
“เอ่อ”
สำหรับความมั่นใจของหนานกงจวิ้นซี ทำให้เล่อเหยาเหยาด่าทอในใจไม่หยุด แต่หากเธอไม่ถอด เขาต้องมั่นใจแน่นอนว่าเธอคือคู่หมั้นของเขา หากเขาบอกเสด็จแม่ของเขา พาตัวเธอกลับไปต้าเซี่ยจะทำเช่นไร!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอกสั่นขวัญแขวน และเมื่อเห็นสายตามั่นใจของหนานกงจวิ้นซี ในที่สุดเธอตัดสินใจลงมือพนัน
“ได้ ข้าจะถอด!”
“อะไรนะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเล่อเหยาเหยา ครั้งนี้กลับเป็นหนานกงจวิ้นซีที่ตกตะลึง
ดวงตาดอกท้อน่ามองคู่นั้นเบิกกว้าง แววตาดูไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินอย่างยิ่ง
เพราะเขามั่นใจว่า ‘เขา’ คือเธอ แต่ตอนนี้ ‘เขา’ กลับยอมถอดเสื้อผ้าพิสูจน์ตนเอง สุดท้ายเพราะเหตุใดกันแน่ หรือ ‘เขา’ คือบุรุษจริงๆ!
พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีรู้สึกเพียงตนใกล้จะหายใจไม่ออก
คิดไม่ถึง ประโยคถัดมาของเล่อเหยาเหยา กลับทำให้เขาตกใจอย่างสุดขีด