สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 163 หงหลัวชาง หัวหน้าหน่วยลัทธินอกรีต (2)
ฤดูร้อนดอกท้อร่วงโรย ส่วนบนต้นไม้เหลือเพียงใบไม้เป็นหย่อมๆ เท่านั้น ดูแล้ววังเวงยิ่งนัก
ในฤดูร้อนพระอาทิตย์สาดส่องแสงร้อนระอุลงมาบนพื้นดิน หมื่นลี้ไร้เมฆ อากาศแจ่มใส
แม่น้ำแวววาวเป็นประกาย ดอกบัวเบ่งบานอวดโฉมอยู่กลางใบบัวเชียวชอุ่ม โยกย้ายตามสายลม ส่งกลิ่นหอมสดชื่นของดอกบัวออกมา ทำให้คนผ่อนคลาย
แต่เวลานี้ เล่อเหยาเหยาไม่มีความคิดที่จะสนใจทิวทัศน์สวยงามดุจบทกวีและภาพวาดนี้ เพราะเธอกำลังเจ็บปวดอย่างหนัก ไอจนน้ำมูกน้ำตาไหลออกมา
สิ่งที่น่าเจ็บใจที่สุดคือ เห็นชัดว่าเป็นฤดูร้อน แต่เธอเวลานี้กลับรู้สึกหนาวเหน็บทั่วร่างกายอย่างรุนแรง
นี่ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล!
นั่นเป็นเพราะมีชายหนุ่มดุจก้อนน้ำแข็งหมื่นปี กำลังยืนอยู่ข้างกายเธอ กระจายไอเย็นที่รุนแรงออกมาอย่างหนัก ทำให้เล่อเหยาเหยาอดหนาวสั่นไม่ได้
หลังหยุดหอบหายใจลงอย่างไม่ง่ายดาย เงยใบหน้าเรียวเล็กที่สำสักจนแดงก่ำขึ้นอย่างสั่นสะท้าน ก่อนสบเข้ากับใบหน้าด้านข้างดุจภูเขาน้ำแข็งนั้น
เห็นเพียงชายหนุ่มข้างกาย บนใบหน้าเย็นชา เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผาก ดวงตาเย็นชาที่เดิมทีเย็นยะเยือกหรี่ลงอย่างเคร่งเครียด ทำให้คนหนาวสั่น
ริมฝีปากรูปกระจับใต้จมูกโด่งนั้นเม้มแน่น กำลังแสดงถึงความไม่พอใจของเจ้าของออกมา
เมื่อเห็นสายตาเย็นชาโหดเหี้ยมของชายหนุ่มด้านข้าง เล่อเหยาเหยารู้สึกเมฆดำทะมึนกำลังเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วเมือง
เมื่อสูดลมหายใจอย่างรีบร้อน ในใจก็รู้ว่าหายนะคืบคลานเข้ามาแล้ว
สวรรค์! พญายมตอนนี้ดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
ขณะเล่อเหยาเหยาอกสั่นขวัญแขวนในใจ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เอ่ยปากขึ้นในที่สุด
“เจ้าไม่มีสิ่งใดเอ่ยกับเปิ่นหวางหรือ”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินเสียงเย็นชาแฝงด้วยความโมโห เล่อเหยาเหยากลืนน้ำลายอย่างลนลาน ก่อนฉีกมุมปาก หมายยิ้มอย่างใสซื่อออกมา
เพราะอย่ายื่นมือมาตีคนยิ้ม ประโยคนี้เธอเข้าใจดี
“คือว่า ฮ่า ๆ ท่านอ๋อง วันนี้อากาศไม่เลวเลยนะ เอ่อ…”
พอพูดถึงประโยคนี้ เล่อเหยาเหยาอดแอบกัดลิ้นตนเองไม่ได้
ตนบ้าไปแล้ว ถึงเอ่ยเรื่องภายในบ้านเช่นนี้ออกมา
ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าพญายม หลังได้ยินประโยคนี้ของตน เขาอดยิ้มมุมปากไม่ได้ แต่ก็ยิ้มกว้างไม่ได้ เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาชิดใกล้อยู่ข้างกายตน
เล่อเหยาเหยาเห็นพลันตกใจ จนสะดุ้งถอยหลังไป
ก่อนหูจะได้ยินคำพูดของพญายมดังขึ้นมาอีกครั้ง
“กลับแอบเปิ่นหวางมาสถานที่เช่นนี้ ดูแล้วนับวันเจ้ายิ่งกล้าหาญมากขึ้น หรือเปิ่นหวางเอาใจเจ้าเกินไป หืม”
คำพูดของชายหนุ่มแผ่วเบา เป็นจังหวะ ดูแล้วไม่อันตราย แต่เล่อเหยาเหยาที่ได้ฟัง กลับอกสั่นขวัญแขวน เหงื่อเย็นไหลซึม
และรู้ว่าตนมายังสถานที่ประเภทนี้ ทำให้พญายมโมโห
สวรรค์!
หากรู้ล่วงหน้าเธอคงดูฤกษ์ยามก่อนก้าวออกจากประตู ตอนนี้ไม่เพียงแอบมาที่หอนางโลม ยังถูกพญายมจับได้อีก หรือสวรรค์ต้องการลงโทษเธอ!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอยากร้องไห้ แต่ไร้น้ำตา
ทว่าเล่อเหยาเหยายังดิ้นรนเฮือกสุดท้าย
“อวี๋ ข้าไม่ได้อยากมาสถานที่เช่นนี้ นั่นเพราะ เพราะมีคนพาข้ามาที่นี่”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยตะกุกตะกัก แก้ตัวเสียงเบา เวลานี้เธอเพียงต้องสละถงหย่าเอ๋อร์
จะพูดเช่นไร ถงหย่าเอ๋อร์ ก็คือศิษย์น้องสามของเขา!
เล่อเหยาเหยาคิดในใจ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยิน อดเอ่ยถามขึ้นไม่ได้
“อะไรนะ ที่แท้ยังมีผู้สมรู้ร่วมคิด คนผู้นั้นคือผู้ใด!”
พอพูดถึงตรงนี้ แววตาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เย็นยะเยือกขึ้น
คิดไม่ถึงกลับมีคนพาเธอมาสถานที่เช่นนี้ หากเขารู้ ต้องลงโทษคนผู้นั้นอย่างหนักถึงจะเหมาะสม!
ขณะคิดในใจ เวลานั้นถงหย่าเอ๋อร์ และหนานกงจวิ้นซีก็เดินตามออกมา
เล่อเหยาเหยาเห็น ดวงตาพลันเป็นประกาย
ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น อดมองตามสายตาเธอไปไม่ได้
เมื่อเห็นถงหย่าเอ๋อร์ ที่อยู่ข้างกายหนานกงจวิ้นซี แววตาปรากฎความแปลกใจ
“หย่าเอ๋อร์ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร”
สำหรับการปรากฎตัวของถงหย่าเอ๋อร์ เห็นชัดว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ตกใจอย่างยิ่ง
ทว่าบนใบหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงตะลึงไปชั่วขณะ พลันได้สติ ทันใดนั้นคล้ายฉุกคิดขึ้นได้ จึงเอ่ยถามถงหย่าเอ๋อร์ ขึ้น
“พวกเจ้ามาด้วยกันหรือ!”
“เอ่อ ชะ…ใช่แล้ว ศิษย์พี่ใหญ่”
ถงหย่าเอ๋อร์ ที่เดิมทีเดินตัวติดอยู่ข้างกายหนานกงจวิ้นซีอย่างมีความสุข หลังได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ และสัมผัสถึงสายตาเย็นชาของเขา ก็ตกใจจนสั่นเทิ้ม
ร่างกายพลันดุจกวางน้อยหวาดกลัวเมื่อเจอหมาป่าตัวใหญ่ พลันหลบอยู่ด้านหลังหนานกงจวิ้นซี
เพราะถงหย่าเอ๋อร์ ตั้งแต่เด็กไม่เคยเกรงกลัวฟ้าดิน ทว่ากลับกลัวศิษย์พี่ใหญ่ที่ดุจภูเขาน้ำแข็งผู้นี้
เธอไม่รู้ว่าตนหวาดกลัวสิ่งใดในตัวศิษย์พี่ใหญ่ ทว่าเพียงเห็นใบหน้าเย็นชาของศิษย์พี่ใหญ่ เธอพลันหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
ส่วนเล่อเหยาเหยาที่อยู่ทางนั้น เดิมทีคิดนำตัวถงหย่าเอ๋อร์ มาเป็นข้ออ้าง กลับเห็นถงหย่าเอ๋อร์ หวาดกลัวพญายมยิ่งกว่าเธอจึงพลันพูดไม่ออก
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นท่าทางของถงหย่าเอ๋อร์ ราวเห็นสิ่งแปลกประหลาดจนเคยชิน
เพราะศิษย์น้องสามของเขาผู้นี้ กล้าหาญอย่างยิ่ง แต่สำหรับเขา กลับมักหวาดกลัวเช่นนี้
ทว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่สนใจท่าทีของถงหย่าเอ๋อร์ เพียงเอ่ยถามว่า
“หย่าเอ๋อร์เจ้ามิใช่ต้องอยู่บนเขาหรือ เหตุใดจึงลงจากเขา อาจารย์ไปที่ใด!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ถงหย่าเอ๋อร์ คล้ายฉุกคิดขึ้นได้ แต่ยังหวาดกลัว จึงยื่นศีรษะออกมาจากด้านหลังหนานกงจวิ้นซี พลันเอ่ยอย่างน้อยใจอย่างยิ่งว่า
“อยู่บนเขาไม่เห็นมีอะไรดีเลย น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก อาจารย์ลงจากเขา ตอนนี้ไม่รู้ไปท่องเที่ยวอยู่ที่แคว้นใด ทิ้งข้าไว้บนเขาเพียงคนเดียว ให้ข้าเฝ้าประตู แต่ข้าไม่ต้องการ”
พอพูดถึงตรงนี้ ถงหย่าเอ๋อร์ ทำสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง
เพราะเขาเทียนซานมีคนแวะเวียนมาน้อยมาก ก่อนหน้านี้มีเพียงนักพรตเทียนซาน เธอ เหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซีที่พำนักอยู่
เมื่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซีต่างลงจากเขา นักพรตเทียนซานไปท่องเที่ยว สาวน้อยอายุสิบหกเช่นเธอ หากยังอยู่ที่เขาเทียนซานต่อไป ช้าเร็วต้องเบื่อหน่ายจนเหี่ยวเฉาแน่
ดังนั้น ถงหย่าเอ๋อร์ จึงไม่สนใจ หลังจัดเก็บสัมภาระ จึงลงจากเขามาหาหนานกงจวิ้นซี
เพราะในศิษย์พี่สองคนนี้ เธอชื่นชอบศิษย์พี่รองที่สุด
และหวังจะแต่งงานกับศิษย์พี่รอง
ผู้ใดจะรู้ว่าศิษย์พี่รองเป็นคนโง่เขล่า ทุกครั้งที่เห็นเธอมักหลบหน้า แต่เธอไม่สนใจ แม้ตายจะติดตามเขา
หลังลงจากเขา เดิมทีเธอต้องการไปที่ต้าเซี่ย เดินทางได้ครึ่งทางจึงรู้ว่าศิษย์พี่รองหนีการอภิเษก เวลานี้ไม่อยู่ที่ต้าเซี่ย
เมื่อได้รับข่าวสาร ถงหย่าเอ๋อร์ ทั้งโมโหและร้อนใจ
เหตุใดศิษย์พี่รองจึงมีคู่หมั้นโผล่ขึ้นมา นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!
ศิษย์พี่รองเป็นของเธอ ผู้ใดแย่งไปไม่ได้!
เมื่อมีความคิดนี้ ถงหย่าเอ๋อร์ จึงเปลี่ยนทิศทาง
เพราะเธอรู้ว่า ศิษย์พี่รองมีสหายไม่มาก เขาไม่อยู่ที่ต้าเซี่ย ต้องมาหาศิษย์พี่ใหญ่ จริงอย่างที่คิด เธอคาดเดาได้ถูกต้อง!
แต่เดิมทีเธอคิดว่าเมื่อมาถึงที่นี่ จะทำให้ศิษย์พี่รองแปลกใจ ผู้ใดจะรู้เธอกลับถูกศิษย์พี่รอง ทำให้ตกใจ
คิดไม่ถึงไม่เจอกันหลายวัน เมื่อเจอกันอีกครั้ง กลับมาอยู่ที่ในหอนางโลม
ถงหย่าเอ๋อร์ โมโหอย่างหนัก เดิมทีคิดมาจับชู้ที่นี่ คิดไม่ถึง สุดท้ายกับต่อสู้กันขึ้นมา
ต่อมาหลังศิษย์พี่รองอธิบายจบ ถงหย่าเอ๋อร์ จึงรู้ว่า ศิษย์พี่รองมาอยู่ที่นี่ เพราะหมายคิดจะมาจับกุมคนของลัทธินอกรีตกับศิษย์พี่ใหญ่
เมื่อได้ยิน ความไม่พอใจของถงหย่าเอ๋อร์ สลายหายไป แต่ตอนนี้เมื่อเผชิญกับใบหน้าเคร่งขรึมของศิษย์พี่ใหญ่ ถงหย่าเอ๋อร์ อกสั่นขวัญแขวนในใจ
เธอคงไม่ได้ล่วงเกินอะไรศิษย์พี่ใหญ่หรอกนะ!
เหตุใดพวกเขาเพิ่งพบหน้ากัน ศิษย์พี่ใหญ่จึงมีสีหน้าโหดร้ายเช่นนี้
ถงหย่าเอ๋อร์ คิดอย่างไม่เข้าใจ
สุดท้ายกวาดสายตาจากเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไปที่เล่อเหยาเหยา เมื่อเห็นสีหน้าเลื่อนลอยของเล่อเหยาเหยา ยิ่งไม่เข้าใจ
ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋หลังได้ยินคำพูดของถงหย่าเอ๋อร์ เพียงเม้มริมฝีปาก ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา
กลับเป็นหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้าง คล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ พลันตกใจขึ้นมา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บหรือ”
“หา อะไรนะ! อวี๋ ท่านบาดเจ็บหรือ บาดเจ็บที่ใด ข้าขอดูหน่อย”
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้างเหลิ่งจวิ้นอวี๋กำลังกังวลว่าเขาจะลงโทษตนเอง พลันคล้ายแม่ไก่กางปีกปกป้องลูก ดูวิตกกังวลขึ้นมา
จากนั้น เธอในที่สุดก็เห็นบาดแผลบนไหล่ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ อดสูดลมหายใจไม่ได้!
แม้เหลิ่งจวิ้นอวี๋จะสวมชุดคลุมหมางผาวสีดำ แต่บนไหล่ซ้ายกลับเปียกชื้น จากแขนเสื้อที่ขาดวิ่น เพียงพอให้เห็นถึงบาดแผลที่เลือดไหลซึมนั้น
เห็นเช่นนั้น ใจของเล่อเหยาเหยาอดชาหนึบครู่หนึ่งอย่างเจ็บปวดไม่ได้!
จมูกก็อดแสบร้อน ดวงตาพลันปกคลุมด้วยหมอกหนาไม่ได้