สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 177.2 พายุมาถึง (2)
เซี่ยลี่และเซี่ยผิงเพราะยังเป็นเด็กสาวไร้เดียงสา หลังจากอยู่ร่วมกับเล่อเหยาเหยา ทราบดีว่าเล่อเหยาเหยากำลังจะกลายเป็นพระชายาของวังอ๋องแห่งนี้ ทว่ากลับไม่ถือตัวแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งยังร่าเริงสดใสน่าคบหา ดังนั้นส่วนใหญ่จึงมักสนทนากับเล่อเหยาเหยา
ส่วนเล่อเหยาเหยาถูกเซี่ยลี่และเซี่ยผิงสองพี่น้องผลัดกันเอ่ยเย้าแหย่คนละประโยค ใบหน้าจิ้มลิ้มพลันเขินอาย ก่อนตั้งใจยกมือเล็กตบที่ไหล่ของพวกเธอเบาๆ ก่อนเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า
“พวกเจ้า ช่างกล้าหาญยิ่งนัก กลับกล้าหยอกล้อข้า ดูสิข้าจะสั่งสอนพวกเจ้าเช่นไร”
“องค์หญิง ท่านกำลังตั้งครรภ์ จะเป็นมารดาคนแล้ว อย่าบุ่มบามสิเพคะ หากท่านบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว ท่านอ๋องต้องจับพวกเราถลกหนังแน่”
เซี่ยลี่ตั้งใจแสร้งหวาดกลัวออกมา เล่อเหยาเหยาจึงอดหัวเราะไม่ได้
ใบหน้าเรียวเล็กหัวเราะสดใสเบิกบาน รวมทั้งพักนี้ความรักสมบูรณ์ลงตัว เล่อเหยาเหยาจึงอ้วนขึ้น
กระทั่งผิวยังขาวอมชมพู น่าหลงใหล
รอยยิ้มนี้ เมื่อเทียบกับดอกท้อชูช่อเบ่งบาน จึงงดงามอย่างไร้สิ่งใดเปรียบ
จึงเห็นเพียงเซี่ยลี่และเซี่ยผิงต่างตกตะลึง
แต่ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงทุ้มทรงเสน่ห์ดังขึ้นมา
“พวกเจ้าสนทนาเรื่องใดกันหรือ เหตุใดจึงหัวเราะเสียงดังเช่นนั้น บอกเปิ่นหวางได้หรือไม่”
เมื่อเสียงชายหนุ่มดังขึ้น เซี่ยผิงและเซี่ยลี่ต่างได้สติ หลังย่อกายเคารพเหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็ถอยหลังออกไปอย่างรู้ความ
ส่วนเล่อเหยาเหยาหลังได้ยินเสียงคุ้นหูนี้ พลันหมุนกายกลับไป เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ไม่รู้ปรากฎตัวขึ้นมาด้านหลังตั้งแต่เมื่อใด ร่างกายมีความสุขดุจผีเสื้อ ก่อนโผเข้ากอดชายหนุ่ม จากนั้นยิ้มอย่างดีใจ
“อวี๋ ท่านกลับมาแล้วหรือ”
“อืม”
“วันนี้ประชุมตอนเช้าคงเหนื่อยมากแน่ รีบนั่งลงเถิด ดื่มชาสักหน่อย”
เล่อเหยาเหยาพลางเอ่ยพูด พลางรินน้ำชาให้กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋
ท่าทางนั้น คล้ายกับสาวน้อยที่หลังเห็นสามีกลับมา กุลีกุจอคอยเอาใจใส่อย่างมีความสุข
เพียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็น แววตาอ่อนโยนลงชั่วขณะ ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ พลันยื่นแขนดึงเล่อเหยาเหยามานั่งลงบนต้นขาตน
“อา อวี๋ ที่นี่มีคนอยู่มากมาย ท่านรีบปล่อยมือเร็วเข้า”
ในมือยังถือถ้วยชาที่รินเต็มประมาณแปดส่วน ก่อนถูกชายหนุ่มโอบกอดด้วยท่าทางสนิทสนมและอ่อนโยนเช่นนี้ หากเป็นเวลาปกติเล่อเหยาเหยาชื่นชอบตำแหน่งนี้ยิ่งนัก
เพราะชายหนุ่มมีรูปร่างกำยำแข็งแรง เมื่อนั่งบนต้นขาเขาจึงรู้สึกสงบและสบายอย่างยิ่ง
หน้าอกกว้างของเขา มอบความรู้สึกปลอดภัยให้แก่เธอ ราวกับแม้ฟ้าจะถล่มลงมา เขาจะต้านทานมันไว้เพื่อเธอ
และกลิ่นหอมของอำพันทะเลที่น่าหลงใหลบนกายเขานั้น ชวนให้คนที่ได้กลิ่นอดมัวเมาลุ่มหลง จนมิอาจถอนตัวได้
แต่ตอนนี้พวกเธอยังอยู่ในลานกว้างของตำหนัก ห่างออกไปไม่ไกลยังมีคนงานมากมายกำลังยุ่งอยู่กับการปลูกต้นดอกท้อ หากให้ผู้อื่นเห็นเข้า น่าอับอายอย่างมากแน่นอน
พอคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เล่อเหยาเหยาหมายผลักเหลิ่งจวิ้นอวี๋ออกไป แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋จะให้เธอทำเช่นนั้นได้เช่นไร
“พวกเขาชอบมองก็ปล่อยมองไป เปิ่นหวางชอบโอบกอดเจ้าเช่นนี้”
ชายหนุ่มเอ่ยจบ ใช้ใบหน้าซบลงที่คอของเล่อเหยาเหยา ก่อนสูดดมกลิ่นกายของเล่อเหยาเหยา พร้อมเอ่ยว่า
“เจ้าหอมยิ่งนัก”
“อือ”
เมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าของชายหนุ่ม ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาอดร้อนผ่าวไม่ได้
เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวชุ่มชื่นที่วาบหวามออกมาจากต้นคอ ทำให้เล่อเหยาเหยาใจเต้นระรัว
แม้จะผ่านเรื่องสนิทสนมกับชายหนุ่มมามากมาย ทุกส่วนบนร่างกายของเขาเธอก็สัมผัสแอบมองอย่างแจ่มชัด
แต่ทุกครั้งที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋เข้าใกล้เธอ มักจะทำให้เธอรู้สึกใจเต้นเร็วขึ้น หวั่นไหวในใจ
“อวี๋ อย่าทำเช่นนี้ ที่นี่มีคนอยู่”
เมื่อเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยังซบใบหน้าอยู่ที่ลำคอตน เล่อเหยาเหยารู้สึกว่าเหล่าคนงานที่อยู่ไม่ไกลนั้นต่างมองมาทางนี้ จึงอดร้อนใจไม่ได้
ใบหน้านั้นร้อนผ่าว แม้จะไม่ได้ส่องกระจก เล่อเหยาเหยาก็ทราบดีว่าเวลานี้ใบหน้าตนคงแดงก่ำดุจก้นลิง
เหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้ว่าเล่อเหยาเหยาขี้อาย จึงทนการเย้าแหย่เช่นนี้ของเขาไม่ได้ แต่เขากลับรักท่าทางออดอ้อนนี้ของเธอ
โดยเฉพาะใบหน้างามประณีตนั้น เมื่อแดงก่ำ ผิวหนังจะขาวอมชมพู ราวกับแอปเปิ้ลที่เพิ่งสุกงอม น่าดึงดูดใจเป็นที่สุด!
จึงเห็นดวงตาเหลิ่งจวิ้นอวี๋อ่อนแสงลง ก่อนปรากฎความร้อนแรงขึ้นมา จากนั้นเขากัดลงบนลำคอของเล่อเหยาเหยาทันที
เมื่อจู่ๆ ถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันกัดเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาที่ไม่ทันได้ตั้งตัวร้อง ‘อา’ ออกมาอย่างตกใจ
หลังเสียงตกใจนั้นของเธอ ทุกคนที่กำลังทำงานมือเป็นระวิงต่างพากันตกใจหยุดงานในมือลง ก่อนมองมาทางด้านนี้โดยตาไม่กระพริบอยู่ครู่หนึ่ง
ครั้งนี้เล่อเหยาเหยารู้สึกว่าตนน่าอับอายขายหน้าอย่างหนัก
ดังนั้นจึงลุกขึ้นใช้มือปิดใบหน้าหนีออกไป
สวรรค์! ชายน่าตายผู้นี้ เธอจะไม่สนใจเขาอีกแล้ว
เล่อเหยาเหยาคิดอย่างเขินอายและโกรธเคือง จากนั้นไม่สนใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่อยู่ด้านหลัง รีบร้อนออกจากลานตำหนัก วิ่งไปยังทิศของห้องพัก
เล่อเหยาเหยาเวลานี้ คิดเพียงต้องไปจากที่นี่ หาสถานที่ไร้ผู้คนพักผ่อนครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงเพราะเธอวิ่งเร็วเกินไป จึงไม่ระวังเท้าเตะเข้าที่ต้นบอนไซด้านข้าง แม้สุดท้ายเล่อเหยาเหยาจะพลันทรงตัวไม่ให้ล้มลงไปได้ แต่ปลายเท้ากลับเจ็บปวดขึ้นมา จึงทำให้ใบหน้าเธอยับย่นเพราะความเจ็บปวด จนสูดหายใจเข้าลึกๆ
“โอ๊ย เจ็บจัง”
เล่อเหยาเหยาร้องตกใจออกมา ทันใดนั้นมีเงาร่างแข็งแรงปรากฎตัวขึ้นข้างกายเธออย่างรีบร้อน ก่อนยื่นแขนอุ้มเล่อเหยาเหยาที่คล้ายจะล้มลงขึ้นมา
“เป็นอันใด บาดเจ็บที่ใด หนักหนาหรือไม่”
เมื่อได้ยินการซักถามต่อเนื่องกันนี้ น้ำเสียงทำอะไรไม่ถูกนั้นดูแฝงไปด้วยความกังวลใจ
ทว่าเล่อเหยาเหยาที่ตอนนี้เจ็บปวดจนพูดไม่ออก ยังไม่ทันได้เอ่ยแม้แต่ประโยคเดียว ร่างกายเธอถูกชายหนุ่มที่รวดเร็วดุจลมกรดอุ้มตรงเข้าไปในห้อง
“อวี๋ อย่าตื่นตระหนก ข้าเพียงไม่ระวังเท้ากระแทกเท่านั้น”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ตื่นตระหนกตกใจ จนไร้ความเย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็งเช่นที่ผ่านมา
ความจริงแม้จะเป็นผนึกน้ำแข็งหมื่นปี เมื่อได้พบกับคนที่ใช่ ก็จะหลอมละลายลงเช่นกัน!
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ได้ยินว่าเจ็บเพียงเท้า จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่คิ้วที่ขมวดมุ่นกลับไม่คลายลงแม้แต่นิดเดียว
“เจ้านี้จริงๆ เลย ตนเองตั้งครรภ์ กลับยังวิ่งอีก หากบาดเจ็บถึงลูกขึ้นมาจะทำเช่นไร”
“ข้า ข้าเจ็บจนปวดเท้าเช่นนี้ ท่านกลับยังตำหนิด่าทอข้าอีก อีกทั้งข้าเองก็ไม่คิดวิ่ง แต่เพราะท่านรังแกข้า ข้าจึงวิ่งหนี ตอนนี้ท่านห่วงใยเพียงลูก หรือท่านรักเพียงลูก ไม่ได้รักข้า”
เอ่ยจบ เล่อเหยาเหยารู้สึกน้อยใจ จึงยื่นปากเล็กออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น อดรู้สึกขบขันและปวดใจไม่ได้
ริมฝีปากแดงจุมพิตลงที่ปากเล็กที่ยื่นสูงออกมาอย่างรวดเร็วครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า
“เจ้ายังเป็นเด็กน้อยอยู่เสียจริง หึงหวงแม้กระทั่งลูก”
“ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย”
สำหรับการหยอกล้อของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาส่งเสียงฮึออกมาอย่างไม่พอใจ
ทว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ต่อปากต่อคำกับเธออีก โน้มตัวลงยื่นมือคิดถอดรองเท้าของเล่อเหยาเหยาออกด้วยตนเอง
สำหรับการลดตัวทำสิ่งนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกเกรงใจและตกใจอย่างคาดไม่ถึง
เพราะตอนนี้เป็นฤดูร้อน เธอสวมรองเท้าตลอดทั้งวัน แม้เธอไม่ได้มีกลิ่นเท้า แต่เธอก็รู้ว่าชายหนุ่มสูงศักดิ์เช่นเหลิ่งจวิ้นอวี๋มีนิสัยรักสะอาดกว่าคนทั่วไป ดังนั้นจึงอดหดเท้าที่บาดเจ็บไม่ได้ พร้อมเอ่ยว่า
“ให้ผู้อื่นจัดการเถิด”
“เพราะเหตุใด อายหรือ”
สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋กล่าวยิ้มๆ
“เอ่อ ไม่ใช่ เพียงแต่…”
เล่อเหยาเหยาอ้ำอึ้ง ไม่รู้ควรเอ่ยเช่นไรถึงจะดี เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเอ่ยขัดคำพูดของเธอขึ้นอย่างหนักแน่นว่า
“เจ้าคือผู้หญิงของเปิ่นหวาง เป็นพระชายาในอนาคตของเปิ่นหวาง ดังนั้นเท้าของเจ้ามีเพียงเปิ่นหวางที่สัมผัสได้”
ช่างเป็นคำพูดที่ดุดัน!
เผด็จการเช่นนี้ ทว่าเล่อเหยาเหยาฟังแล้ว อดหัวใจเต้นระรัวไม่ได้
ราวกับหัวใจที่เคยเงียบสงบ มีใบไม้ร่วงหล่นลงไป จนกระเพื่อมเป็นชั้นระลอกคลื่น
เฮ้อ ตอนนี้เธอนับวันในใจยิ่งมีแต่ชายหนุ่มตรงหน้านี้ เพราะเหตุใด!