สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 182.2 พวกเราคือสามีภรรยา(2)
“ภาพวาดเหล่านี้ สามเดือนก่อนเจ้าเอ่ยว่าเจ้าใกล้จะจากไปแล้ว จึงให้ข้าวาดภาพพวกนี้ รอถึงวันที่เจ้าไม่อยู่ ข้าจะสามารถเห็นเจ้าอยู่ได้ตลอดเวลา”
เอ่ยจบ ดวงตาหงส์ของซือมู่หานคล้ายเอ่อคลอด้วยน้ำตา อาจเพราะนึกถึงความทรงจำเลวร้ายที่ผ่านมา
ทว่าความเสียใจนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ ทันใดนั้นบนใบหน้าโดดเด่นนั้นพลันปรากฎรอยยิ้มสดใสออกมา ก่อนเอ่ยอย่างดีใจว่า
“โชคดีที่เจ้ากลับมาแล้ว ช่างดีจริงๆ ซินเอ๋อร์ต่อไปเจ้าห้ามจากข้าไปอีก เจ้ารู้หรือไม่ เจ้าไม่อยู่ข้างกายข้า ข้าเหมือนตายทั้งเป็น ยามมองเจ้าที่เอาแต่นิ่งเงียบและร่างกายที่เย็นเฉียบของเจ้า ข้าอยากอยู่กับเจ้าเช่นนี้ตลอดไป เช่นนั้นข้าจึงจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว”
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ทำให้เล่อเหยาเหยาวิตกในใจ
แต่เธอกลับไร้หนทางที่จะให้คำมั่นสัญญาใดแก่เขา เพราะเธอไม่ใช่ภรรยาของเขา ช้าเร็วต้องมีสักวันที่เธอต้องไปจากที่นี่
ดังนั้นสุดท้ายเล่อเหยาเหยาจึงเพียงนิ่งเงียบต่อไป
โชคดีที่ซือมู่หานไม่บีบบังคับขอคำตอบจากเธอ และทราบดีว่าเธอหิว จึงรีบพาเธอไปที่ห้องโถง
ขณะเดียวกัน สาวใช้หลังลำเลียงอาหารขึ้นโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ก็ถอยหลังไปยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง
หลังจากเล่อเหยาเหยานั่งลง ดวงตาคู่งามเงยขึ้นกวาดมองอาหารบนโต๊ะครู่หนึ่ง ทันใดนั้นน้ำลายก็ไหลเต็มปาก
เห็นเพียงบนโต๊ะมีอาหารวางเรียงรายกว่าสิบเมนู
มีไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ปลากระพงตุ๋นน้ำแดง กุ้งผัดพริก หม้อไฟเนื้อตุ๋น ปลาเปรี้ยวผัดเผ็ดเป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นอาหารจานโปรดของเธอ
เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ ซือมู่หานสั่งกำชับชิงเฟิงเป็นพิเศษให้ทำอาหารที่เธอชอบทานที่สุด คิดไม่ถึงซินเอ๋อร์ผู้นั้น ไม่เพียงรูปร่างหน้าตาคล้ายเธอ กระทั่งรสนิยมยังคล้ายกันกับเธอ
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาอดอยากพบหน้าซินเอ๋อร์นั้นไม่ได้ บนโลกนี้มีคนที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้จริงหรือ!
หรือจะเป็นแฝดอีกคนของเธอ!
ทว่านี้มีความเป็นไปได้ที่น้อยมาก!
น่าเสียดายซินเอ๋อร์นั้นเสียชีวิตไปแล้ว มิฉะนั้นเธออยากพบนางจริงๆ
เล่อเหยาเหยาพลางคิด พลางยกตะเกียบหยกคีบอาหารบนโต๊ะทานอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่เกรงใจ
เพราะเรื่องอาหารการกินสำคัญที่สุด แม้จะเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นอีก ต้องทานให้อิ่มท้องเสียก่อน!
ส่วนซือมู่หานที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาเพลิดเพลินและทานอย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าโดดเด่นปรากฎรอยยิ้มมีความสุขดีใจออกมา
เขายกตะเกียบ แต่กลับไม่คีบอาหารทาน เพียงคีบอาหารให้เธอไม่หยุด พลางคีบอาหาร พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยนดีใจว่า
“มาซินเอ๋อร์ ลองชิมปลากระพงตุ๋นน้ำแดงที่เจ้าชอบทานที่สุดดู ยังมีไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ อาหารเหล่านี้ต่างเป็นของที่เจ้าชอบที่สุดทั้งนั้น”
ซือมู่หาน พลางคีบอาหารใส่ถ้วยของเล่อเหยาเหยา พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน
ราวกับเมื่อมองเธอทานอาหาร ถือเป็นเรื่องสร้างความสุขให้กับเขามากที่สุด
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นสีหน้าเช่นนี้ของซือมู่หาน เล่อเหยาเหยาอดแสบจมูกไม่ได้
เพราะชายหนุ่มที่ดีต่อภรรยาเช่นนี้ ต้องมาสูญเสียภรรยาไป ช่างอาภัพเสียจริง
ทว่าสุดท้ายเล่อเหยาเหยากลั้นความขมขื่นในใจเอาไว้ เม้มริมฝีปาก ก่อนเอ่ยกับซือมู่หานเบาๆ ว่า
“ไม่ต้องคอยคีบอาหารให้ข้า ท่านก็ทานสักหน่อยเถิด”
“ฮ่า ๆ ได้”
หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ซือมู่หานพยักหน้าอย่างเชื่อฟังตอบกลับไป ก่อนค่อยๆ คีบอาหารทาน
ทว่าแม้เขาจะทานอาหาร แต่กลับทานหนึ่งคำ พลันเงยหน้ายิ้มให้แก่เล่อเหยาเหยา ราวกับมีเธออยู่ข้างกาย ทำให้เขาพอใจอย่างยิ่ง
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น สุดท้ายเพียงเม้มริมฝีปาก ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า
“ช่างเป็นชายหนุ่มที่คลั่งรักเสียจริง”
น่าเสียดายเธอไม่ใช่ภรรยาของเขา
หลังทานอาหารเสร็จ ซือมู่หานเสนอความคิดพาเล่อเหยาเหยาออกไปเดินเล่น เพื่อให้เธอคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม
เล่อเหยาเหยาได้ยินจึงตอบตกลงทันที ไม่ใช่เหตุผลใด แต่เพื่อแผนการหลบหนีในอนาคตของเธอ!
เพราะไม่ว่าเธอจะพูดเช่นไร ชายผู้นี้ดื้อดึงไม่ยอมรับ ยังมีคนอื่นที่อยู่ที่นี่ต่างคล้ายยอมรับว่าเธอคือภรรยาของเจ้าลัทธิของพวกเขา เล่อเหยาเหยารู้ว่าไม่ว่าตนจะพูดเช่นไร พวกเขาต่างคิดว่าเธอคือภรรยาของเจ้าลัทธิ แต่พวกเขาอาจรู้ดีว่าเธอไม่ใช่ แต่เจ้าลัทธิของพวกเขายืนยันว่าเธอใช่ เช่นนั้นเธอจึงคือซินเอ๋อร์!
เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้เธอจึงหมดหวังที่จะมีคนปล่อยตัวไปจากที่นี่
เมื่อคนอื่นไม่ช่วยเหลือเธอ เช่นนั้นตอนนี้เธอจึงต้องพึ่งพาตนเอง
ดังนั้นตอนนี้เธอจึงต้องทำความคุ้ยเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ เพื่อให้เธอไปจากที่นี่ได้ง่ายที่สุด
เพราะเพียงวันเดียวที่เธอไม่สามารถไปจากที่นี่ อวี๋จะกังวลและร้อนใจเป็นที่สุดแน่
ตอนนี้เขาคงตามหาเธออย่างเสียใจลำบากใจเป็นแน่!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกเสียใจ จึงแอบร้องตะโกนเงียบๆ อยู่ในใจ
อวี๋ ท่านต้องรอข้า ข้าจะไปจากที่นี่ กลับไปอยู่ข้างกายท่านให้ได้!
เล่อเหยาเหยาคิดอย่างหนักแน่นในใจ ก่อนจะจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ไว้
เวลานี้เป็นช่วงพลบค่ำ แต่พระจันทร์ลอยเด่นอยู่ด้านนอก แสงจันทร์ขาวกระจ่างนั้นสาดลงมายังพื้นหิมะอย่างอ่อนโยน ทำให้พื้นหิมะเกิดแสงแวววาว แม้ด้านนอกจะไร้แสงไฟ ก็สามารถเห็นทิวทัศน์รอบด้านได้ชัดเจนกว่าเจ็ดแปดส่วน
ประตูหน้าต่างแกะสลักงดงาม วิมานหยกอันงดงาม แบ่งเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว ภูเขาจำลองสะพานหินโค้ง ทางเดินคดเคี้ยว จัดวางอย่างประณีตแนบเนียน
นี่คือวังแบบโบราณที่ทุกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงส่ง ทว่ากลับเรียบง่าย
และภายในมีบริวารที่กลับมาจำนวนไม่น้อย หยุดทำความเคารพอยู่บนพื้นอย่างไร้สุ่มเสียง เพียงมองก็รู้ว่าเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
เพราะหากเป็นสถานที่ปกติทั่วไปถือว่ายังดี
แต่ตอนนี้เธอคล้ายอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย คนที่นี่ต่างมีวรยุทธ์ หากวันหน้าเธอคิดหลบหนี ถือว่ายากอย่างยิ่ง
เพราะหากถูกคนพบเข้า เขาเพียงกระโดดเบาๆ สามารถจับเธอกลับไปได้ดั่งเช่นเหยี่ยวจับลูกไก่
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกโศกเศร้าเสียใจ
ซือมู่หานที่อยู่ด้านข้าง กลับไม่ล่วงรู้ความคิดในใจของเล่อเหยาเหยา ทำตัวราวกับมัคคุเทศก์ พลางเดินนำทาง พลางเอ่ยอย่างมีความสุข
“ที่นี่คือเรือนหนิงเซียง ด้านในปลูกดอกเหมยที่เจ้าชื่นชอบ เต็มไปหมด และเป็นสถานที่ที่เจ้าชอบที่สุด ก่อนหน้านี้พวกเรามักมาชื่นชมมันที่นี่ เจ้ายังจำได้หรือไม่”
ซือมู่หานมั่นใจว่าเล่อเหยาเหยาคือภรรยาที่เสียชีวิตแล้วฟื้นคืนชีพมาของเขา และยังสูญเสียความทรงจำทั้งหมด ดังนั้นจึงเอ่ยเล่าเรื่องราวในอดีตทั้งหมดของ ‘พวกเขา’ อย่างไม่เบื่อหน่าย
และตลอดเวลาเล่อเหยาเหยาไม่พูดจา เพียงรับฟังอย่างเงียบๆ จากนั้นเดินตามเขาเข้าไปในเรือนหนิงเซียง
เห็นเพียงเมื่อทอดสายตาไป สิ่งที่เห็นคือทุ่งดอกเหมย!
เขาเทพธิดาปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี อากาศหนาวเหน็บ ที่นี่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกคล้ายหลับใหล
แต่ดอกเหมยนี้ เวลานี้กลับชูช่อเบ่งบาน
กิ่งก้านดุจหยก อวดโฉมบานสะพรั่ง ช่อดอกดกหนา หลากหลายสีสัน
งามเพริศพริ้งดุจเกล็ดหิมะ ขาวดุจหิมะ เขียวดุจหยกเขียว ชมพูดุจเครื่องประทินโฉม
แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่พระจันทร์ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้า บนพื้นประดับด้วยโคมไฟทำจากผ้าแพร ทำให้เรือนหนิงเซียงสว่างไสวราวกับสวรรค์
สายลมยามค่ำคืนพัดเอื่อย แม้อากาศจะหนาวเย็น แต่กลิ่มหอมของดอกเหมยนั้น กลับหอมหวานจับใจคน ทำให้ผู้คนอดสูดดมกลิ่นหลายรอบไม่ได้
“อืม หอมยิ่งนัก”
“ฮ่า ๆ ถูกต้อง ปีที่แล้วพวกเรายังช่วยกันเด็ดดอกเหมย เพื่อหมักสุราดอกเหมยด้วยกัน พูดไปแล้วดื่มสุราดอกเหมยตอนนี้ถือว่าเหมาะสมที่สุด”
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาปิดตาลง ก่อนสูดกลิ่นหอมของดอกเหมย รอยยิ้มและความสุขบนใบหน้า ทำให้ซือมู่หานชื่นชอบ ดวงตาหงส์พลันเปล่งประกาย ก่อนเอ่ยว่า
“สุราดอกเหมยหรือ”
หลังได้ยินคำพูดของซือมู่หาน เล่อเหยาเหยาอดกระพริบตาไม่ได้ พร้อมใบหน้าจิ้มลิ้มก็ตะลึงงัน ก่อนเอ่ยถาม
“ถูกต้อง เช่นนั้นตอนนี้พวกเรามาดื่มกันเถิด”
ซือมู่หานเอ่ยเสนอความเห็น
เล่อเหยาเหยาได้ยิน ความจริงรู้สึกใจเต้น
เธอไม่ได้ชอบดื่มสุรา แต่เวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับดอกเหมยเต็มสวน หากได้สุราดอกเหมยสักจอก คงยอดเยี่ยมกว่านี้เป็นแน่
แต่เมื่อนึกถึงว่าสุราทำให้คนเสียสติ หากหลังจากพวกเธอดื่มสุราจนเมามาย แล้วทำเรื่องเลอะเลือนขึ้นมาจะทำเช่นไร!
เพราะเธอเคยมีประสบการณ์มาก่อน โดยชายหนุ่มตรงหน้านี้ไม่รับรู้
แต่ระมัดระวังไว้ดีที่สุด เธอควรหลีกเลี่ยงเรื่องอันตรายเช่นนี้ดีกว่า!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงหันไปส่ายหน้า พร้อมเอ่ยกับซือมู่หานที่มีสีหน้าดีใจว่า
“ไม่ดีกว่า”
“โอ้เช่นนั้นหรือ”
เมื่อได้ยิน ซือมู่หานมีสีหน้าตะลึงงัน ทว่ากลับไร้ความผิดหวัง เพียงยิ้มพลางเอ่ยว่า
“ดียิ่ง เพราะตอนนี้เจ้าตั้งครรภ์ สุราไม่ดีต่อสุขภาพ เป็นข้าที่ประมาทเกินไป”
ซือมู่หานพลันเอ่ยขอโทษขึ้นทันที ทันใดนั้นคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงเอ่ยต่อว่า
“ซินเอ๋อร์ นี่ดึกมากแล้ว พวกเรากลับไปพักผ่อนกันเถิด”
“อะไรนะ พักผ่อนหรือ!”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาหนังศีรษะชาวาบ