สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 183.1 แผนการหลบหนี (1)
จริงสิ ตอนนี้พวกเธอคือ ‘สามีภรรยา’ อย่างน้อยในใจเขาคงคิดเช่นนี้
เช่นนั้นเธอต้องนอนที่ใด!
เธอคงไม่ใช่ต้องนอนกับเขา!
พอนึกถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงหนังศีรษะชาวาบ แข็งทื่อทั่วร่าง
กระทั่งอารมณ์บนใบหน้ายังเผยความอึดอัดออกมา
สำหรับสีหน้าของเล่อเหยาเหยา ซือมู่หานเห็นอย่างชัดเจน จึงรีบเอ่ยถามขึ้น
“ซินเอ๋อร์ เจ้าเป็นสิ่งใดไปหรือ ไม่สบายที่ใด”
“เอ่อ” ใช่ เธอไม่สบาย เพียงแต่ไม่สบายใจเท่านั้น
แต่คำพูดนี้เล่อเหยาเหยาเพียงเอ่ยขึ้นในใจ
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยอย่างอ้ำอึ้งขึ้นว่า
“เอ่อ คือว่าคืนนี้ เมื่อเข้านอน พวกเรา เอ่อข้า ข้าขอนอนคนเดียวได้หรือไม่!”
แม้เรื่องนี้ยากที่จะเอ่ยปาก แต่เล่อเหยาเหยายังเอ่ยปากออกมา
หลังเล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ พลันก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองหน้าชายหนุ่มอีก
ซือมู่หานหลังได้ยินคำพูดนี้ของเล่อเหยาเหยาก็ตะลึงงันชั่วขณะ ก่อนค่อยๆ ได้สติ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า
“เพราะเหตุใด”
“เอ่อ คือว่า…”
เธอสามารถพูดว่าเธอไม่ใช่ภรรยาของเขา ดังนั้นจึงไม่สามารถนอนร่วมเตียงกับเขาได้หรือไม่!
เธอพูดเช่นนี้ก็เปล่าประโยชน์ เพราะชายผู้นี้ฟังความเห็นผู้อื่นตามความพอใจ จึงมักหลบเลี่ยงสิ่งที่ตนไม่อยากฟังเหล่านั้น
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาเพียงเม้มริมฝีปากแดงไม่พูดจา เพียงก้มหน้าหลุบสายตา ใช้เท้าเตะหิมะด้านล่าง
ทันใดนั้น ทั้งสองคนต่างไม่พูดจา
บรรยากาศรอบด้านจึงเงียบงัน
แสงจันทร์สว่างไสว หมู่ดาวเปล่งประกายระยิบระยับอยู่เต็มท้องฟ้า ช่วยทำให้ทั่วท้องฟ้าอ่อนละมุนสวยงาม
เล่อเหยาเหยายืนอยู่บนหิมะ รอคำตอบของชายหนุ่มอย่างกังวลใจ
เพราะชายหนุ่มไม่เอ่ยตอบ ทันใดนั้น บรรยากาศจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นอึดอัดขึ้นมา
ทว่าไม่ว่าชายหนุ่มจะตอบเช่นไร เล่อเหยาเหยาก็จะยืนยันว่าไม่อาจนอนร่วมห้องกับเขาได้
เพราะเธอไม่ใช่ภรรยาของเขา ช้าเร็วเธอต้องไปจากที่นี่
เล่อเหยาเหยาคิดในใจ และรู้ดีว่าเวลานี้ชายหนุ่มต้องเสียใจอย่างมากแน่นอน
แต่เธอไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายกับเขา ทว่าเหตุใดในใจจึงรู้สึกคล้ายเสียใจ
อาจเป็นเพราะสงสารชายหนุ่มที่ลุ่มหลงในตัวภรรยาผู้นี้!
เล่อเหยาเหยาคิดในใจ ก่อนพลันได้ยินเสียงแหบพร่าของชายหนุ่มดังขึ้น
“ข้า เข้าใจแล้ว”
ประโยคสั้นๆ ที่แผ่วเบา น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายแฝงด้วยความผิดหวัง
เล่อเหยาเหยารู้ว่าชายหนุ่มเสียใจ
จึงเงยหน้ามองยังชายหนุ่มตรงหน้า
เห็นเพียงชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีแดงทั้งตัว ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อหนังสุนัขจิ้งจอกสีแดงสด เส้นผมดุจแพรไหมสีดำ ไร้การรวบมัด แผ่สยายอยู่ด้านหลัง ทำให้เขาดูไร้กฎระเบียบ หล่อเหลา สูงส่ง และไม่ธรรมดา!
แต่ชายที่โดดเด่นผู้นี้ บนกายเวลานี้กลับปกคลุมไปด้วยความโศกเศร้า ทำให้คนที่เห็นต่างรู้สึกเสียใจ
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงลังเล ท่ามกลางสายตาโศกเศร้าของเขา ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น ดวงตาหงส์ปรากฎความคาดหวังขึ้นมาหลายส่วน เพราะรอการเปลี่ยนใจของเธอ
ทว่าสุดท้าย เล่อเหยาเหยาเพียงเอ่ยปากขึ้นเบาๆ ว่า
“พวกเรากลับกันเถิด”
“หา”
เห็นเล่อเหยาเหยาเอ่ยเช่นนี้ ใบหน้างดงามของซือมู่หานชะงักเล็กน้อย แววตาปรากฎความเสียใจผิดหวังขึ้นมา
แต่ไม่นานเขากลับมาเป็นดั่งเดิม ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา
“ได้ เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิด!”
…
เรือนมู่ซินคือเรือนพักที่เต็มไปด้วยความอ่อนละมุนแต่ไม่สูญเสียความสง่า
ชื่อของเรือนแห่งนี้ เป็นการนำชื่อของซือมู่หานและซินเอ๋อร์ผสมกันตั้งออกมา และเป็นสถานที่ที่พวกเขาพักอาศัยอยู่ด้วยกัน
เห็นเพียงภายในถูกแบ่งออกเป็นชั้น ๆ มีบันไดขึ้นลงไม่ขาดสาย พื้นปูด้วยหินสีน้ำเงิน เส้นทางดูคดเคี้ยว
…
ในเรือนมู่ซินมีห้องพักมากมาย
เพราะเล่อเหยาเหยายืนยันต้องการนอนคนเดียว แม้ซือมู่หานจะไม่ยินยอม แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธความต้องการของเล่อเหยาเหยา
เพียงนอนจ้องมองเล่อเหยาเหยาอย่างทำใจไม่ได้อยู่นาน ก่อนออกจากห้องไป
ส่วนเล่อเหยาเหยาหลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ ก็กลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน
เมื่อนอนลงบนเตียงใหญ่ที่ปูด้วยผ้าปูเตียงสีแดงแสนนุ่ม สิ่งที่อยู่ในสายตาคือผ้าม่านสีแดง ด้านนอกห้องทั้งหมดประดับตกแต่งอย่างสวยงาม แต่ไม่ไร้รสนิยม
และคนในภาพที่แขวนบนผนังเหล่านั้นดูคุ้นตา แต่เมื่อมองสภาพแวดล้อมรอบด้าน เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงแปลกตาอย่างยิ่ง
เพราะที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เธอคุ้ยชิน แม้จะสวยงาม แต่เธอไม่ยอมอยู่ที่นี่แน่
เล่อเหยาเหยาทราบดีว่าด้วยความสามารถของเธอในตอนนี้ คิดจะไปจากสถานที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือเช่นนี้ คือเรื่องเพ้อฝัน!
ดังนั้นแม้เวลานี้ใจเธอจะร้อนดุจไฟ อยากไปจากที่นี่ แต่กลับรู้ดีว่าทั้งหมดนี้ต้องรอให้มีโอกาสที่ดีที่สุด ใช้โอกาสครั้งเดียวที่จะสามารถหนีไปได้สำเร็จ!
เมื่อมีความคิดนี้ หนังตาของเล่อเหยาเหยาค่อยๆ หนักขึ้น ไม่นานก็หลับสนิทไป
แต่ที่เล่อเหยาเหยาไม่รู้ก็คือขณะตนหลับสนิทไป มีเงาร่างสีแดงยืนอยู่ข้างเตียงอย่างไร้สุ้มเสียง
มือใหญ่เรียวยาวดุจหยกที่ยื่นออกมาเลิกผ้าม่านห้อยระย้าตรงหน้าขึ้น ก่อนชายหนุ่มจะจ้องมองหญิงสาวอ่อนหวานที่หลับสนิทอยู่บนเตียงเงียบๆ
เห็นเพียงหญิงสาวบนเตียงรูปโฉมดุจในกวี ผิวขาวเกลี้ยงเกลา นุ่มนิ่มบอบบาง ริมฝีปากดุจกลีบบุปผา สีริมฝีปากแดงสด ราวกับดอกท้อที่กำลังเบ่งบานในเดือนสาม สวยงามจับตาเป็นที่สุด!
ไม่รู้ว่าหญิงสาวเวลานี้กำลังฝันหวานถึงสิ่งใด มุมปากแดงสดค่อยๆ ยกขึ้น ก่อนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
รอยยิ้มนั้น งดงามดุจสายลม สายฝน บุปผา ภาพมายา และหมอก ทำให้คนมิอาจแตะต้อง
เห็นเช่นนั้น ดวงตาหงส์คู่งามของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเตียงตลอดเวลาอดลุ่มหลงไม่ได้ ริมฝีปากชมพูนั้นค่อยๆ เผยอขึ้น พร้อมเอ่ยพึมพำขึ้นมา
“ซินเอ๋อร์”
เอ่ยจบ เห็นชายหนุ่มยื่นมือออกไปคิดสัมผัสใบหน้าของหญิงสาว
แต่ระหว่างนั้นพลันหยุดชะงักลง
ดวงตาหงส์แฝงความลุ่มหลงคู่นั้นพลันปิดลง เพื่อกลบเกลื่อนความจริงแสนเจ็บปวดเศร้าโศกทั้งหมดลงไป
สุดท้ายชายหนุ่มไม่คิดอยู่ตรงนั้นอีก จึงปล่อยผ้าม่านสีแดงลง ก่อนชุดสีแดงจะหายวับจากไปอย่างไร้สุ้มเสียงดั่งเช่นตอนที่เข้ามา
ส่วนคนที่อยู่ในความฝัน ไม่รับรู้เช่นเคย…
…
เช้าวันถัดมา
เล่อเหยาเหยาหลังตื่นนอน ให้ความร่วมมือทานอาหารเช้าอย่างเป็นปกติกับซือมู่หานเสร็จ เอ่ยชักชวนออกไปเดินเล่นด้านนอกอย่างกระตือรือร้น เพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม!
สำหรับความต้องการของเล่อเหยาเหยา ซือมู่หานย่อมชื่นชอบแน่นอน
ดังนั้นหลังจากทั้งสองทานอาหารเช้าเสร็จ เล่อเหยาเหยาจึงกลับห้องพัก เพื่อให้สาวใช้ปรนนิบัติสวมเสื้อที่ทำจากหนังสุนัขจิ้งจอกสีขาวอบอุ่นตัวใหญ่!
เสื้อหนังสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ เพียงมองก็รู้ว่ามีมูลค่าควรเมือง
ขนสีขาวดุจหิมะไร้สิ่งเจือปนนั้นถูกเย็บเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา ด้านบนมีกลิ่นหอมของดอกเหมยที่น่าสูดสม
เมื่อสาวใช้ช่วยตรวจสอบความเรียบร้อยเสร็จ เล่อเหยาเหยาเห็นตนในกระจกทองเหลือง อดตาเป็นประกายไม่ได้
เห็นเพียงหญิงสาวในกระจก มีใบหน้าเล็กงดงามโดดเด่น ผิวเนียนหมดจด คิ้วเข้มโค้งงอนดุจพระจันทร์เสี้ยว จมูกโด่งงามสง่า ริมฝีปากแดงสด สดใสงดงาม
สิ่งที่ดึงดูดผู้คนที่สุดคือดวงตากลมโตราวกับพูดจาได้คู่นั้น มองซ้ายแลขวา กระตุ้นเย้ายวนใจ
ผมยาวนุ่มลื่นนั้น ถูกมวยขึ้นเป็นอย่างดีเรียบง่ายทว่าไม่สูญเสียความสง่างาม บนหูทั้งสองข้างซ้ายขวา ประดับด้วยที่คาดผมทำจากขนสุนัขจิ้งจอกฝังมุกคู่หนึ่ง ทำให้ดูจิ้มลิ้มแฝงด้วยความน่ารักหลายส่วน
เมื่อรวมเข้ากับเสื้อหนังสุนัขจิ้งจอกสีขาวดุจหิมะตัวนั้น ทำให้คนดูราวกับเป็นเทพธิดาจิ้งจอก!
มิน่าจึงมีสุภาษิตที่เอ่ยว่า ‘ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง’ ประโยคนี้ไม่ผิดแม้แต่คำเดียว!
กระทั่งสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างเห็นเข้าอดตาเป็นประกายไม่ได้
ทว่าสาวใช้พวกนี้กลับไม่ค่อยพูดจา เล่อเหยาเหยานอกจากรู้ชื่อของพวกเธอแล้ว ก็ไม่ได้เอ่ยสนทนากับพวกเธอมากนัก
หลังจากเล่อเหยาเหยาทำความรู้จักกับพวกเธอ ก็รู้ว่าพวกเธอไม่ใช่สาวใช้ปกติทั่วไป
เพราะแม้จะมีฐานะต่ำต้อยในลัทธินอกรีต วรยุทธ์ก็ไม่ธรรมดา พวกเธอไม่ค่อยพูดจา มีเพียงเวลาที่สั่งให้พวกเธอพูด จึงจะสามารถตอบว่า ‘เจ้าค่ะ’ ได้ โดยไม่มีสิทธิ์พูดอย่างอื่น
ทว่าเล่อเหยาเหยายังพูดคุยกับพวกเธอไม่หยุด และสิ่งที่ถามคือเรื่องเกี่ยวข้องกับเขาเทพธิดา
เพราะรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ตอนนี้เพื่อให้แผนการหลบหนีสมบูรณ์แบบ เธอย่อมต้องเตรียมตัวก่อนที่จะหลบหนีให้ดี
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงพลางให้พวกเธอแต่งตัว พลางแอบสอบถามข้อมูลที่ต้องการจากพวกเธอ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เล่อเหยาเหยาจึงแต่งตัวประทินโฉมเสร็จ
หลังสำรวจตนเองในกระจกอย่างพอใจ เล่อเหยาเหยาถูกประคองด้วยสาวใช้หลายคนออกจากห้องไป
ทันใดนั้นมีสาวใช้รายงานว่า เวลานี้เจ้าลัทธิรออยู่ที่เรือนหนิงเซียง
เล่อเหยาเหยาได้ยินจึงพยักหน้า ก่อนมุ่งตรงไปยังเรือนหนิงเซียง
เรือนหนิงเซียงอยู่ไม่ไกลจากเรือนมู่ซินที่เล่อเหยาเหยาอยู่ตอนนี้ ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงมาถึงหน้าประตูเรือนมู่ซิน อย่างรวดเร็ว