สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 183.2 แผนการหลบหนี (2)
หลังผ่านประตูทำจากหิมะ สิ่งที่ปรากฎสู่สายตาคือทุ่งดอกเหมยสีสันสวยงาม!
แม้เมื่อคืนเล่อเหยาเหยาจะมาที่นี่ แต่เพราะเมื่อคืนท้องฟ้ามืดมิด จึงมิอาจสู้ตอนกลางวันที่สว่างไสวในตอนนี้ได้
ก้อนน้ำแข็งทอดยาว หิมะขาวแวววับระยับตา สายลมหนาวเยือกเย็น ทุกสิ่งต่างคล้ายหลับใหล มีเพียงดอกเหมยที่ไม่เกรงกลัวความหนาวเหน็บ บานสะพรั่งกลางหิมะ แข็งแกร่งงดงาม!
เมื่อเห็นทุ่งดอกเหมยผืนใหญ่ตรงหน้านี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกชื่นชอบ จนอดเหยียบย่ำหิมะเดินเข้าไปชื่นชมทิวทัศน์สวยงามตรงหน้าไม่ได้ โดยไม่รู้ตัวว่าหลังจากตนเข้ามา เหล่าสาวใช้ที่เดินตามอยู่ทางด้านหลังเธอได้หายตัวออกไปแล้ว
เวลานี้เล่อเหยาเหยาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นดอกเหมย มือเล็กดุจหยกขาวเด็ดดอกเหมยลงมาอย่างเบามือ ก่อนยื่นจมูกเข้าไปสูดดมกลิ่น
เมื่อได้กลิ่นหอมของดอกเหมยที่แฝงความสดชื่น เล่อเหยาเหยาสูดดมจนจมูกอบอวลด้วยกลิ่นหอม กลิ่นดอกเหมยฮัวอันสดชื่นนั้น แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก หอมหวาน และมีเอกลักษณ์
ทำให้เล่อเหยาเหยาชื่นชอบอย่างยิ่ง จนดวงตาคู่งามเป็นประกายนั้นอดโค้งงอเป็นพระจันทร์เสี้ยวไม่ได้
แต่ขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังสูดกลิ่นของดอกเหมย ด้านหลังกลับพลันมีเสียงใสไพเราะแต่กังวานดังขึ้นมา
“ซินเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาพลันได้สติ ก่อนหันไปยังที่มาของเสียงนั้น
เห็นเพียงซือมู่หานยืนอยู่ด้านหลังเธอไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด และกำลังจ้องมองมาที่เธอ
ดวงตาหงส์คู่งามแคบยาวนั้น ภายในอัดแน่นด้วยความรักอันลึกซึ้ง ริมฝีปากสีชมพูสมบูรณ์แบบยกขึ้น ก่อนยิ้มอย่างอ่อนช้อยสง่างาม!
ผมยาวนุ่มลื่นดุจม่านน้ำตกนั้น วันนี้ถักเปียเป็นเส้นเรียวยาวก่อนรวบขึ้นด้วยผ้าคาดสีแดง ส่วนที่เหลือปล่อยสยายอยู่ทางด้านหลังและหน้าอก ทำให้เขาดูสง่างามหลายส่วน
เสื้อคลุมสีแดงสวยงามบนกายนั้น ดูสีสันบริสุทธิ์โดดเด่นสะดุดตากลางดอกเหมย!
เมื่อเห็นซือมู่หานที่งดงามดุจเทพเซียนบนสวรรค์อยู่ด้านหลัง ดวงตาคู่งามของเล่อเหยาเหยาอดปรากฎความตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้
ทว่าเธอได้สติอย่างรวดเร็ว ก่อนพยักหน้าพร้อมเอ่ยกับชายหนุ่มว่า
“อืม”
“มาแล้วก็ดี เช่นนี้พวกเราตอนนี้ไปเดินเล่นกันเถิด”
ซือมู่หานเอ่ยจบ เดินเข้าไปหาเล่อเหยาเหยา จากนั้นยื่นมือไปดึงมือเล็กของเล่อเหยาเหยา เมื่อเห็นความตั้งใจของเขาเห็นชัดว่าเล่อเหยาเหยาเบี่ยงตัวหลบ ก่อนถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เมื่อเห็นท่าทางของเธอ รอยยิ้มบนใบหน้าซือมู่หานพลันชะงักงัน มือที่คิดยื่นออกไปก็หยุดค้างอยู่กลางอากาศ
ดวงตาหงส์แฝงไปด้วยความแปลกใจและเสียใจนั้นมองมายังเล่อเหยาเหยา หลังผ่านไปนาน จนเล่อเหยาเหยารู้สึกหนังศีรษะชาวาบ จึงเผยอริมฝีปากแดง ก่อนถอนหายใจออกมา
“ช่างเถิด พวกเราไปกันเถิด”
เมื่อได้ยินคำพูดของซือมู่หาน เล่อเหยาเหยาจึงตะลึงงัน
ทว่าเธอไม่พูดมาก เพียงก้มพยักหน้า จากนั้นเดินตามชายหนุ่มไป
ชายหนุ่มสูงกว่าหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร แต่เล่อเหยาเหยาสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร แสดงให้เห็นถึงส่วนสูงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน จึงไม่ต้องพูดถึงฝีเท้าในการเดิน
แต่ซือมู่หานใส่ใจเล่อเหยาเหยาอย่างยิ่ง เมื่อเริ่มเดินจังหวะฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็ว ทำให้เล่อเหยาเหยาเดินตามเขาได้อย่างพอดี และเว้นระยะห่างจากเล่อเหยาเหยาเพียงก้าวเดียว
เมื่อทิ้งเรื่องอึดอัดก่อนหน้านี้ไป และแม้ใบหน้าซือมู่หานเมื่อครู่จะเผยความเสียใจออกมา แต่ตอนนี้คล้ายลืมเลือนเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว พาเล่อเหยาเหยาเดินไปทุกที่ พลางเอ่ยอธิบายว่าที่นี่คือที่ใด ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยมีความทรงจำแสนงดงามในที่นี่เช่นไร
เมื่อเห็นซือมู่หานเอ่ยเล่าเรื่องราวของเขาและซินเอ๋อร์ในอดีต ด้วยใบหน้าลุ่มหลงและมีความสุขนั้น ในใจเล่อเหยาเหยารู้สึกไม่สบายใจ
หากซินเอ๋อร์ผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาต้องมีความสุขอย่างมากแน่นอน น่าเสียดายที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว
แต่ชายผู้นี้กลับยังใช้ชีวิตอยู่ในความทรงจำ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยารู้สึกสงสารเห็นใจและเสียใจ
ทว่าก็รู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตนและเหลิ่งจวิ้นอวี๋
เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจ้าลัทธินอกรีตที่โหดเหี้ยมนี้ จะมีรังพักอาศัยอยู่ในเขาเทพธิดา
เล่าลือกันว่าเขาเทพธิดาแห่งนี้ เป็นหนึ่งในสามสถานที่ที่งดงามที่สุดในเทียนหยวน
แต่เพราะเขาเทพธิดาเป็นภูเขาสูงอันดับหนึ่งในเทียนหยวน ด้านบนปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี สภาพอากาศหนาวเย็น ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดขึ้นมาบนเขาเทพธิดาได้
พอคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เล่อเหยาเหยาอดเอ่ยถามอย่างแปลกใจไม่ได้
“จริงสิ เขาเทพธิดาคือเขาที่สูงที่สุดของเทียนหยวน ผู้คนต่างพูดกันว่าไม่มีผู้ใดสามารถขึ้นมาบนนี้ได้ แต่เหตุใดพวกท่านจึงสามารถขึ้นมาได้”
คำถามที่เล่อเหยาเหยาเอ่ยถามนี้ถือว่าสำคัญยิ่ง เพราะวันหน้าหากเธอคิดหลบหนี แม้จะหลบเลี่ยงทุกคนได้ แต่การลงเขาเพียงคนเดียว ยังถือว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงจริงๆ!
ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงปัญหานี้ ดวงตาของเล่อเหยาเหยาจับจ้องที่ซือมู่หาน ราวไม่อยากพลาดคำตอบของเขา
สำหรับแผนการหลบหนีในใจของเล่อเหยาเหยา ซือมู่หานคล้ายไม่สังเกตเห็นเลยสักนิด เอ่ยปากขึ้นว่า
“ความจริงเขาเทพธิดามีเส้นทางลับ หากเป็นคนที่มีวรยุทธ์ เพียงสองชั่วยามสามารถขึ้นลงจากเขาได้ หากเป็นคนที่ไม่รู้เส้นทางลับนี้ ไม่มีวันที่จะขึ้นและลงจากเขาแห่งนี้ได้ เพราะเขาเทพธิดามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล บนเขาต่างเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายเช่น หมีดำ หมาป่า และเสือจำนวนมาก คนที่คิดขึ้นมาบนเขาเทพธิดา ส่วนใหญ่มักถูกสัตว์ร้ายทำร้าย แม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง โชคดีหลบเลี่ยงจากสัตว์ร้ายเหล่านี้ได้ แต่ระหว่างทางขึ้นเขายังมีไอพิษ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของซือมู่หาน เล่อเหยาเหยาอดกระพริบตา ก่อนเอ่ยถามอย่างแปลกใจไม่ได้
“ไอพิษ ไอพิษใดหรือ!”
“ไอพิษนี้เป็นอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ มันปกคลุมทั่วกลางเขาเทพธิดา หากโชคร้ายสูดดมพิษเข้าไป พิษจะทำให้เป็นอัมพาตทั่วร่างกาย”
สำหรับความสงสัยของเล่อเหยาเหยา ซือมู่หานเอ่ยอธิบายอย่างแข็งขันอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาเกิดความกังวลในใจ ดวงตาเบิกกว้าง เอ่ยปากอย่างตกใจว่า
“มีไอพิษเช่นนี้อยู่จริงๆ”
“ใช่แล้ว เจ้าห้ามคิดเพียงว่าจะเป็นอัมพาตไปทั่วร่างเท่านั้น บนเขาเทพธิดา หากเผลอเรอเพียงเล็กน้อยจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้ายเหล่านั้น ดังนั้นกลางเขาจึงมักเห็นกระดูกของคนตาย คนพวกนั้นส่วนใหญ่ต่างคือคนที่อยากขึ้นมาบนเขาเทพธิดา แล้วถูกพิษจนร่างกายเป็นอัมพาต ก่อนจะถูกสัตว์ร้ายพวกนั้นกินเป็นอาหาร”
ซือมู่หานเห็นเล่อเหยาเหยาสนใจเรื่องเหล่านี้อย่างมาก จึงเอ่ยอธิบายอย่างดีใจ
และขณะเดียวกัน เล่อเหยาเหยาคล้ายเด็กน้อยขี้สงสัยคนหนึ่ง คอยเอ่ยถามไม่หยุด
“เช่นนั้น เหตุใดเหล่าสัตว์ร้ายนั้นจึงไม่ถูกพิษจนเป็นอัมพาตเล่า ตามเหตุผลแล้วสัตว์ร้ายพวกนั้นต่างสูดดมไอพิษเข้าไปมิใช่หรือ!”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ ซือมู่หานได้ยินจึงอธิบายขึ้นว่า
“นั่นเป็นเพราะเดิมทีสัตว์ร้ายเหล่านั้นใช้ชีวิตอยู่บนเขาเทพธิดา จึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมบนเขา และร่างกายย่อมมีภูมิคุ้มกัน จึงไม่เหมือนคนอื่น ที่มีสุขภาพร่างกายแตกต่างกัน ดังนั้นไอพิษเหล่านั้นจึงไม่มีอันตรายต่อสัตว์ร้ายเหล่านั้น”
“โอ้ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาเอ่ยพึมพำอย่างมีเหตุผล
และหัวคิ้วอดขมวดมุ่นไม่ได้
หากเป็นดังคำพูดของซือมู่หาน หากเธอคิดลงจากเขาเทพธิดา ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น
เธอเพิ่งใช้ชีวิตมาเพียงสิบแปดปี จึงไม่อยากตาย! ดังนั้นตอนนี้เส้นทางที่จะหลบหนีมีเพียงเส้นทางเดียว นั่นคือเส้นทางลับนั้น!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันเอ่ยถามซือมู่หานทันที
“เช่นนั้น ตอนนี้ท่านพาข้าไปดูเส้นทางลับนั้นได้หรือไม่!”
“ซินเอ๋อร์ เจ้าดูคล้ายสนใจเส้นทางลับนั้นยิ่งนัก”
อาจเป็นเพราะเล่อเหยาเหยาตื่นเต้นเกินไป หรือเพราะซือมู่หานรับรู้ถึงบางอย่าง หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ก็หรี่ดวงตาหงส์คู่งามนั้นลง ก่อนเอ่ยอย่างมีเลศนัย
เล่อเหยาเหยาได้ยินจึงพลันหนังศีรษะชาวาบ
“เอ่อ คือว่า”
โชคร้ายนัก เพียงไม่ระวังเผยความตื่นเต้นออกมา มิน่าผู้อื่นจึงเกิดความสงสัยในใจ
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดแอบกัดลิ้นไม่ได้ เมื่อเผชิญกับสายตาซักถามของชายหนุ่ม หัวใจจึงเต้นระรัวขึ้น
เสียงหัวใจเต้น ‘ตึกตักตึกตัก’ อย่างรุนแรง ราวกับจะกระดอนออกมาจากอก กระทั่งน้ำเสียงที่พูดจาล้วนไม่มั่นใจ
…………………………………………………………………………………..