สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 185 อ้อนวอน
“ไม่ได้ ข้าถูกเจ้าหมาป่านี้ทำให้อับอาย ดังนั้นเจ้าต้องตอบแทนข้า”
ซือมู่หานมีสีหน้าไม่ยินยอม ดุจเด็กน้อยกำลังโกรธเคือง ไม่ยอมหยุดถ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องการ แต่แววตาหงส์กลับนึกสนุกไร้ความโมโห
หลังเอ่ยจบ เห็นซือมู่หานยื่นมือมาแย่งลูกหมาป่าในอ้อมกอดของเล่อเหยาเหยาไป จากนั้นจึงโน้มตัวเข้าหาเล่อเหยาเหยา ราวกับต้องการจุมพิตเธอให้ได้
เมื่อเห็นท่าทางคล้ายเด็กหวงแหนสิ่งของของเขา เล่อเหยาเหยารู้สึกน่าขันและจนใจ
แน่นอนว่าเธอไม่ให้เขาจุมพิตแน่นอน ดังนั้นจึงเพียงวิ่งหัวเราะไปด้านหน้า ส่วนซือมู่หานก็ไล่ตามมาทางด้านหลัง
ภายในโลกสวยงามแวววาวระยับตานี้ ดอกเหมยส่งกลิ่นหอม หิมะขาวบริสุทธิ์ เห็นเพียงชายหญิงคู่หนึ่ง กำลังวิ่งไล่กันพลางยิ้มแย้มดุจบุปผา ภาพนี้เห็นแล้วช่างสวยงามยิ่งนัก
ทว่ากลับบาดตาใครบางคน!
เห็นเพียงหลังจากพวกเล่อเหยาเหยาจากไป ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ในชายป่ามีหญิงสาวชุดแดงงดงาม มีเสน่ห์ชวนหลงใหลผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างช้าๆ
เห็นเพียงหญิงสาวผู้นี้รูปโฉมงดงามอย่างยิ่ง อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าประณีต อายุประมาณยี่สิบปี เสื้อผ้าสีแดงสดดุจเลือดทั่วร่างนั้น ทำให้เธอดูเย้ายวนงดงามมากขึ้น
แต่เวลานี้ ภายในดวงตาคู่งามของหญิงสาว กลับเปล่งประกายความโกรธแค้นและโหดเหี้ยมออกมา ดุจงูพิษอันตรายตัวหนึ่ง จ้องเขม็งไปตามเงาร่างของเล่อเหยาเหยา ราวกับอยากถลกหนังเลาะกระดูกของเธอออกมาก่อนกลืนกินลงไป
ส่วนเล่อเหยาเหยาที่กำลังเล่นสนุกอยู่กับซือมู่หาน พลันหนาวสั่นไปทั่วร่าง ก่อนสองขาจะหยุดชะงักลง
“เป็นอันใดหรือ ซินเอ๋อร์”
เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติของเล่อเหยาเหยา ซือมู่หานอดเอ่ยถามอย่างกังวลไม่ได้
บนใบหน้าหล่อเหลานั้น ปรากฎความวิตกกังวลอย่างที่สุดออกมา
บนใบหน้าหล่อเหลาของเขานั้นแสดงความห่วงใยอย่างจริงใจออกมา
เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าใส่ใจตนเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาข่มความไม่สบายใจที่พลันเกิดขึ้นในใจนี้เอาไว้ ก่อนส่ายหน้าพลางเอ่ยกับเขาว่า
“ข้าไม่เป็นไร”
“จริงหรือ แต่สีหน้าเจ้าดูซีดเซียว ไม่ได้ ข้าจะรีบให้ชิงเฟิงไปตามหมอมาดูอาการเจ้า”
เอ่ยจบ ซือมู่หานคิดหมุนกายออกไปตามคน ทว่าสุดท้ายเล่อเหยาเหยาหยุดยั้งเขาไว้
“ดูท่านสิ ข้าไม่ได้ล้ำค่าอันใดมากมาย ข้าสบายดี เพียงหิวเท่านั้น”
เพื่อไม่ให้ซือมู่หานกังวลใจ เล่อเหยาเหยาจึงต้องเอ่ยปากออกไป
ความจริงที่เธอพูดไปไม่ได้โกหก เพราะตอนนี้เธอหิวแล้วจริงๆ
เมื่อตั้งครรภ์ ปริมาณการทานจึงเพิ่มมากขึ้น เพราะหนึ่งร่างต้องเลี้ยงคนสองคน จึงย่อมหิวง่ายเป็นธรรมดา!
ซือมู่หานได้ยิน จึงถอนหายใจอย่างโล่งออก
คิ้วที่เคยขมวดแน่นก็ค่อยๆ คลายลง ก่อนยิ้มอย่างสดใสดุจพระจันทร์ งดงามโดดเด่น
“ฮ่าๆ ที่แท้เป็นเช่นนี้ ลูกของข้าก็คงหิวแล้วสินะ เช่นนั้นบิดาจะรีบให้คนไปจัดเตรียมอาหารเดี๋ยวนี้เลย”
ซือมู่หานหัวเราะสดใส สีหน้าลำพองใจนั้น ช่างดูมีความสุขและเบิกบานใจยิ่งนัก
เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าหัวเราะสดใส เล่อเหยาเหยาอดคิดในใจไม่ได้
หากก่อนหน้านี้ไม่ได้พบกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เธออาจจะรักชายหนุ่มผู้นี้ก็เป็นได้
แน่นอน นี่เป็นคำถามที่ไร้คำตอบ
…
หลังกลับมาถึงเรือนมู่ซิน ซือมู่หานให้คนจัดเตรียมอาหารมากมายไว้เต็มโต๊ะ
และวันนี้อาหารสิบกว่าเมนูนี้ ยังไม่ซ้ำกับครั้งก่อนอีกด้วย
เห็นเพียงวันนี้ทางห้องครัวได้จัดเตรียมหม้อไฟไว้
และยังเป็นน้ำซุปประเภทที่เผ็ดร้อนอย่างยิ่ง
เห็นเพียงน้ำซุปหมาล่าสีแดงหม้อใหญ่ และกลิ่นหอมเผ็ดร้อนนั้น ชวนให้คนน้ำลายไหล
บนโต๊ะยังมีเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อปลา กุ้ง ปูและอื่นๆ ที่สดใหม่ถูกแล่เป็นแผ่นบางๆ จำนวนไม่น้อยวางไว้ รวมทั้งผักสดประเภทต่างๆ
เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะตรงหน้าเต็มไปด้วยวัตถุดิบมากมาย ทำให้คนตาลาย ละลานตา
และทำให้พยาธิในท้องเล่อเหยาเหยาตื่นขึ้นมา
จนอดสูดน้ำลายในปากไม่หยุด เล่อเหยาเหยาหลังกลืนน้ำลาย ก็นั่งลงอย่างไม่เกรงใจ
“ซินเอ๋อร์ ทานเถิด พวกนี้ต่างเป็นของที่เจ้าชอบทานที่สุด เจ้าชอบกินเผ็ดยิ่ง”
“ฮ่า ๆ ใช่แล้ว ข้าชื่นชอบทานเผ็ด”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยพูดตามจริง หลังจากนั้นก็หยิบตะเกียบหยกคีบเนื้อวัววางลงในหม้อไฟที่เดือดพล่านควันลอยกรุ่นไม่หยุดนั้นอย่างไม่เกรงใจ
หลังหยุดตะเกียบไว้สามวินาที เล่อเหยาเหยารีบคีบเนื้อวัวชิ้นนั้นขึ้นมา ก่อนจุ่มลงในน้ำจิ้มรสเปรี้ยวเผ็ดแล้วทานเข้าไป
“อืม รสชาติไม่เลวจริงๆ”
เมื่อรู้สึกถึงรสสัมผัสหอม เผ็ด และนุ่มของเนื้อ ทำให้เล่อเหยาเหยาอดหรี่ตาเอ่ยชื่นชมออกมาไม่ได้
ซือมู่หานเห็นเธอทานอย่างสุขใจ จึงยิ้มมองเล่อเหยาเหยาอย่างมีความสุขอยู่ด้านข้าง
คล้ายกับเพียงมองเธอทาน ถือเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดบนโลกใบนี้
ไม่ใช่ไม่รับรู้ถึงสายตาเปี่ยมไปด้วยความรักทะนุถนอมของซือมู่หาน เพียงแต่เล่อเหยาเหยารู้ดีว่าตนหมดหนทางที่จะตอบแทนความรักของเขา
เพราะเธอไม่ใช่ซินเอ๋อร์ของเขา และไม่คิดเป็นตัวแทนคนรักที่เสียชีวิตไปในใจของเขา
ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงเอาแต่ก้มหน้าทานหม้อไฟ ไม่เงยหน้ามองใบหน้าของซือมู่หาน และไม่พูดจา
อาหารมื้อนี้ เล่อเหยาเหยาทานอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนซือมู่หานจ้องมองตลอดเวลา
หลังบ่าวไพร่ยกอาหารที่เหลือบนโต๊ะไป ก่อนเปลี่ยนเป็นผลไม้และน้ำชาเลิศรส ซือมู่หานจึงเอ่ยปากพูดกับเล่อเหยาเหยาว่า
“ซินเอ๋อร์ ข้ามีของบางอย่างให้เจ้าดู”
“โอ้ คือสิ่งใดหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซือมูหาน เล่อเหยาเหยาพลางหยิบผ้าขนหนูเปียกร้อนออกมาเช็ดมือและปากเล็ก พลางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
ซือมู่หานได้ยิน เอาแต่ยิ้มไม่พูดจา ทันใดนั้นเห็นเขาตบมือ หลังเสียงปรบมือดังกังวานนั้นดังขึ้น มีกลุ่มคนเดินเข้ามาจากด้านนอก
เพราะคนพวกนั้นหันหลังให้กับแสงสว่าง ดังนั้นตอนแรกเล่อเหยาเหยาจึงมองไม่ออกว่าคือผู้ใด
เห็นเพียงคล้ายมีชายสองคนผลักคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา
หลังเดินเข้ามา ชายสองคนนั้นจึงปล่อยมือ ก่อนพวกเขาจะผลักคนผู้นั้นลงบนพื้น
“ท่านเจ้าลัทธิ นำตัวคนที่ท่านต้องการมาแล้ว”
“อืม ดีมาก”
ซือมู่หานพยักหน้าอย่างพอใจ
เวลานั้น เล่อเหยาเหยาที่นั่งอยู่ตรงนั้น อดมองคนที่กำลังล้มอยู่บนพื้น ไม่สามารถลุกขึ้นมานั้นไม่ได้
หลังเห็นท่าทางของคนผู้นั้นชัดเจน ดวงตาคู่งามอดเบิกกว้างไม่ได้
เห็นเพียงคนบนพื้น สวมเสื้อกั๊กหนังสุนัขจิ้งจอก และกระโปรงหลัวฉวินที่ทำจากผ้าไหมชั้นดี
เวลานี้บนร่างกายเธอกลับสกปรก เส้นผมยุ่งเหยิง เครื่องประทินโฉมบนใบหน้าเปรอะเปื้อน สีหน้าขาวซีดจนน่าตกใจ ทว่าเล่อเหยาเหยาเพียงมองก็จำหญิงสาวบนพื้นได้
“เป็นเจ้าหรือ เหนียนซูหลาน!”
ไม่ผิด หญิงสาวที่กำลังตื่นตระหนกบนพื้น คือเหนียนซูหลานแน่นอน!
หลังเสียงตกใจนั้นของเล่อเหยาเหยา หญิงสาวที่ล้มอยู่บนพื้น สั่นเทิ้มไปทั่วร่างค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง
หลังเห็นชัดเจนว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือเล่อเหยาเหยา เหนียนซูหลานเอ่ยอย่างไม่เชื่อสายตาว่า
“เป็นเจ้า เหตุใดเจ้ายังตาย!”
“เอ่อ”
เมื่อเห็นความคาดไม่ถึงของเหนียนซูหลาน เล่อเหยาเหยาที่ยังไม่ได้สติก็ถูกประโยคถัดมาของเหนียนซูหลาน ทำให้ตกใจจนพูดไม่ออก
“ข้า เหตุใดข้าต้องตาย”
หลังผ่านไปนาน เล่อเหยาเหยาจึงเอ่ยถามอย่างสับสน
คิดไปแล้ว เธอและเหนียนซูหลานก็ไม่ได้พบหน้ากันมานานแล้ว
เพราะครั้งก่อนเหนียนซูหลานกล้าวางยาในซุปบ๊วยเปรี้ยว ทว่าโชคร้ายถูกหนานกงจวิ้นซีดื่มเข้าไป ทำให้เขาและถงหย่าเอ๋อร์ เกิดความสัมพันธ์กัน เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงออกคำสั่งห้ามเหนียนซูหลานเข้ามาในวังอ๋อง
ดังนั้น เธอจึงไม่ได้เจอกับเหนียนซูหลานนานพอสมควร
คิดไม่ถึง เมื่อเจอกันอีกครั้ง กลับอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ขณะเล่อเหยาเหยาตะลึงสับสน เหนียนซูหลานที่อยู่บนพื้นจึงรู้สึกว่าตอนนี้ตนตื่นตระหนกเกินไป
คนที่โอหังเช่นเธอ ไม่อยากตื่นตระหนกเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น โดยเฉพาะต่อหน้าศัตรูความรักของตน
ดังนั้น หลังดิ้นรนอยู่หนึ่งรอบ ในที่สุดเหนียนซูหลานก็ลุกขึ้นจากพื้น
แม้เวลานี้เหนียนซูหลานจะสกปรกและตื่นตระหนก เส้นผมก็ยุ่งเหยิง แต่หน้าตากลับยังแฝงด้วยเอกลักษณ์เช่นเดิม สายตาที่มองเล่อเหยาเหยาไม่ปิดบังความโหดเหี้ยมและเกลียดชังแม้แต่นิดเดียว
โดยเฉพาะหลังเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายเล่อเหยาเหยา ดวงตาเป็นประกายครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาอย่างเต็มไปด้วยความเกลียดชังว่า
“หญิงชั้นต่ำเช่นเจ้า ช่างน่ารังเกียจจริงๆ มีพี่อวี๋อยู่ทั้งคนแล้ว กลับยังล่อลวงชายอื่นอีก ช่างเป็นผู้หญิงไร้ยางอายเสียจริง!”
เมื่อได้ฟังคำพูดรุนแรงของเหนียนซูหลาน เล่อเหยาเหยาอดขมวดคิ้วเข้มไม่ได้ ทราบดีในใจว่าเธอเข้าใจผิด จึงคิดอธิบาย
แต่เธอยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เห็นเพียงซือมู่หานที่นั่งอยู่ข้างกายเธอขมวดคิ้วมุ่น
ชายหนุ่มชุดดำที่ยืนอยู่ซ้ายมือของเหนียนซูหลาน พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วปานลมกรด ก่อนซัดฝ่ามือเข้าที่เหนียนซูหลานอย่างรุนแรง
หลังเสียงฝ่ามือ ‘เพี๊ยะ’ ดังขึ้น ใบหน้าเหนียนซูหลานพลันถูกตบลงไป และร่างกายที่บอบบางนั้นก็ล้มลงบนพื้นอีกครั้ง
แต่ว่าเพราะบนพื้นปูด้วยหนังขนแกะสีขาวดุจหิมะ เมื่อล้มลงไปจึงไม่เจ็บปวดแม้แต่นิดเดียว
แต่เสียงฝ่ามือดังสนั่นเมื่อครู่นั้น ยังทำให้เล่อเหยาเหยาหวาดหวั่นในใจ
เพราะแม้เธอจะไม่ได้ชื่นชอบเหนียนซูหลาน แต่เมื่อเห็นเธอถูกคนทำร้ายเช่นนี้ ในใจอดอ่อนยวบลงไม่ได้ จึงพลันขมวดคิ้วหันมองไปยังซือมู่หาน
“ท่าน…”
“ซินเอ๋อร์ เจ้าคิดอ้อนวอนแทนนางหรือ”
เล่อเหยาเหยายังเอ่ยไม่จบ ซือมู่หานเร็วกว่าเธอหนึ่งก้าว เอ่ยพูดความในใจของเธอออกมา
“อืม”
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาพยักหน้าทันที
“ข้าไม่รู้เพราะเหตุใดท่านจึงจับตัวนางมาที่นี่ แต่ขอร้องให้ท่านปล่อยนางไปได้หรือไม่”
เล่อเหยาเหยาหันหน้าเอ่ยขอร้องกับซือมู่หาน
ถึงเธอจะไม่ชื่นชอบเหนียนซูหลาน แต่ตอนนี้เธอตกอยู่ในมือของลัทธินอกรีต คนเหล่านี้ต่างใจดำอำมหิต หากเธอไม่ขอร้อง เกรงว่าเหนียนซูหลานคงถูกพวกเขาทารุณอย่างหนักแน่นอน
อีกทั้งเธอให้ซือมู่หานปล่อยเหนียนซูหลานไป ความจริงก็คือเห็นแก่ตัว
เพราะหากเหนียนซูหลานถูกปล่อยตัวไป เช่นนั้นเธออาจจะส่งข่าวให้แก่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่าเธอถูกลัทธินอกรีตจับตัวมา
แม้นี้จะมีความเป็นไปได้ที่น้อยมากก็ตาม
แต่มีความหวัง ยังดีกว่าไม่มีความหวังมากมาย มิใช่หรือ!
…………………………………………………………………………………..