สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 191 กลืนกินเจ้า (2)
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงคิดในใจว่ารอหลังพวกเขากลับมา เธอต้องไถ่ถามถงหย่าเอ๋อร์ ให้ละเอียดแน่นอน ดูว่าเธอใช้กลเม็ดใดในการจับหัวใจของหนานกงจวิ้นซี
เวลานี้ เป็นช่วงเช้าตรู่
ในวังรุ่ยอ๋องจึงเริ่มคึกคักเอะอะเสียงดังขึ้นมา
เหตุผลคือ วันนี้เป็นวันที่เล่อเหยาเหยาต้องกลับแคว้นต้าเซี่ย
เวลานี้เธอแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้วยืนอยู่หน้าประตูวังรุ่ยอ๋อง มองหัวหน้าขันทีลี่สั่งการบ่าวไพร่อยู่เงียบๆ
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เล่อเหยาเหยาอดใจลอยไม่ได้
จำได้ว่าครั้งก่อนเธอก็เป็นเช่นนี้ คือนั่งอยู่บนรถม้ากลับแคว้นต้าเซี่ย ระหว่างทางกลับถูกคนของลัทธินอกรีตลักพาตัวไป
แม้สุดท้ายทุกคนจะปลอดภัย งานอภิเษกก็กำหนดฤกษ์ใหม่อีกครั้ง แต่เธอกลับรู้สึกหวาดกลัวในใจ
มือหนึ่งจึงลูบไล้หน้าท้องนูนกลมขึ้นมา เล่อเหยาเหยาเพราะกังวลในใจ กระทั่งใบหน้าจิ้มลิ้มปรากฎความเศร้าโศกขึ้นมา
ไม่รู้ครั้งนี้ ยังจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่!
เธอไม่ต้องการสิ่งใด เพียงหวังว่าจะกลับแคว้นต้าเซี่ยอย่างราบรื่นปลอดภัย จากนั้นรอให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋มารับตัวเธออย่างสงบสุข
หวังว่าความปรารถนานี้ของเธอจะเป็นจริง
ขณะเล่อเหยาเหยาอธิษฐานต่อสวรรค์ในใจ พลันรู้สึกเพียงตนถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดกว้าง
เมื่อได้กลิ่นหอมของอำพันทะเลที่แสนคุ้นเคยนั้น ทำให้คนสงบใจลง
“กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ ภรรยาตัวน้อยของข้า”
เมื่อนำคางอันเด็ดเดี่ยวกดลงบนเหนือศีรษะของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เผยอริมฝีปากเอ่ยถามขึ้นมา
เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์นั้นของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาเม้มริมฝีปากแดง ก่อนเอ่ยความกังวลใจในใจออกมาตามจริง
“อวี๋ ข้ากลัว”
“เด็กโง่ เจ้ากลัวสิ่งใดหรือ ไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นแน่นอน ครั้งนี้เปิ่นหวางจัดเตรียมองครักษ์คุ้มครองเจ้ากลับแคว้นต้าเซี่ยมากกว่าครั้งที่แล้วสามเท่า มีคนมากมายปกป้องเจ้าเช่นนั้น กระทั่งแมลงวันก็บินเข้าไปไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว ดังนั้นเจ้าวางใจได้”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยปากขึ้น พร้อมรู้ว่าเล่อเหยาเหยายังคงหวาดกลัวเพราะเรื่องครั้งก่อน
โดยเฉพาะเมื่อเห็นหัวคิ้วที่ปรากฎความกังวลขึ้นมา ทำให้เขามองอย่างปวดใจ
เห็นเช่นนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็ไม่สนใจเวลานี้อยู่ท่ามกลางผู้คน หมุนตัวเล่อเหยาเหยากลับมา ก่อนโน้มกายลง ก้มหน้าจุมพิตหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของเล่อเหยาเหยาอย่างอ่อนโยน
“เด็กดี ไม่ต้องคิดมาก หากเจ้าคิดฟุ้งซ่านอีก ลูกในท้องจะคิดมากไปกับเจ้าด้วย”
เมื่อแนบหน้าผากอิ่มลงบนหน้าผากมนของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ใช้จมูกโด่งเขี่ยจมูกเล็กจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยา ก่อนเอ่ยเสียงนุ่มอธิบายขึ้น
เวลานี้ท่าทางสนิทสนมเช่นนี้ของพวกเขา ทำให้บ่าวไพร่ที่กำลังทำงานอยู่ตรงนั้นต่างมองจนหน้าแดงใจเต้น พร้อมปิดปากแอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง
หัวหน้าขันทีลี่ด้านข้างเห็นเข้า พลันหันหน้าไปเอ่ยเสียงเข้มว่า
“มองสิ่งใดกัน รีบไปทำงานซะ หากงานพวกนี้ไม่แล้วเสร็จ พวกเจ้าไม่ต้องทานอาหารเที่ยง!”
ภายใต้เสียงเข้มของหัวหน้าขันทีลี่ เหล่าบ่าวไพร่ที่กำลังแอบมองมาทางเล่อเหยาเหยาต่างหันหน้ากลับไป ไม่มองเล่อเหยาเหยาอีก
ทว่าเล่อเหยาเหยากลับเพราะเหตุนี้ ทั่วใบหน้าเล็กจึงแดงก่ำ
ก่อนถลึงตาให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋แวบหนึ่ง ด้วยสีหน้าโกรธเคือง พร้อมกล่าวโทษเหลิ่งจวิ้นอวี๋
“เป็นเพราะท่าน รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ น่าขายหน้าจริงๆ”
“ฮ่า ๆ พวกเขาชอบดูปล่อยให้ดูไป เปิ่นหวางไม่ใส่ใจเลยสักนิด”
และยังอยากให้ทุกคนรับรู้ถึงความรักของพวกเขา
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาทั้งขบขันและจนใจ
ทว่าเพราะเช่นนี้ ความกังวลเมื่อครู่จึงมลายหายไป
ประจวบเหมาะกับเวลานี้ ขบวนรถม้าเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น หัวใจอดบีบแน่นไม่ได้
ไม่รู้เพราะใกล้จะต้องจากลาหรือไม่ เธอจึงไม่สบายใจและอาลัยอาวรณ์
สุดท้ายเล่อเหยาเหยาก็ไม่สนใจว่าตอนนี้อยู่ท่ามกลางผู้คน ใช้สองมือกอดที่เอวคอดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋แน่น ก่อนซุกใบหน้าเล็กเข้าไปในหน้าอกของชายหนุ่ม สูดดมกลิ่นอำพันทะเลหอมหวนที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา
สำหรับความอาวรณ์ของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ย่อมเข้าใจดี เพราะเวลานี้ในใจเขาก็ตัดใจไม่ได้เช่นกัน
จึงก้มหน้าลงมองสาวน้อยที่อยู่ในหน้าอกตน
เห็นเพียงเล่อเหยาเหยาวันนี้ สวมกระโปรงหลัวฉวินสีเหลืองบนกาย ขับผิวขาวผ่องของเธอ ให้ดูงดงามหมดจด
อาจเพราะช่วงนี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋บำรุงเธอไม่หยุด เล่อเหยาเหยาจึงอ้วนกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย ใบหน้าจิ้มลิ้มก็อวบอิ่มขึ้นหลายส่วน
และบริเวณหน้าอกก็ขยายใหญ่ขึ้นมาก ยังมีเอวที่ขยายใหญ่กว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
ทว่าแม้เล่อเหยาเหยาจะอ้วนกว่าก่อนหน้านี้ แต่กลับไม่ลดความสวยงามของเธอเลยแม้แต่น้อย
อาจเพราะกำลังจะเป็นมารดา บนใบหน้าเธอจึงเปล่งประกายอ่อนโยนของความเป็นแม่ออกมาตลอดเวลา ทำให้เธอดูโดดเด่นจับตา สวยงามจนมิอาจละสายตาได้
เมื่อเห็นความงามของคนตัวเล็กในอ้อมกอด เหลิ่งจวิ้นอวี๋สั่นไหวในใจ ดวงตาเย็นชากวาดมองไปรอบด้านครู่หนึ่ง ทำให้บ่าวไพร่ที่กำลังแอบมองมาทางนี้ต่างก้มหน้าลงอย่างตกใจ ยืนอย่างนอบน้อบอยู่ตรงนั้น และไม่กล้ามองมาทางนี้อีก
เห็นเช่นนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงดึงสายตากลับมาอย่างพอใจ จากนั้นใช้ปลายนิ้วดันคางแหลมของเล่อเหยาเหยาขึ้น ก่อนใช้อีกมือรัดท้ายทอยเธอไว้แน่น ทันใดนั้นริมฝีปากกระจับบางเฉียบนั้นประกบลงมาที่ปากเล็กอมชมพูของเธอ
“อือ”
เมื่อเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋กล้าหาญจุมพิตเธอท่ามกลางสายตาทุกคนเช่นนี้ ทำให้ดวงตาคู่งามเล่อเหยาเหยาเบิกกว้าง สองมือพลันออกแรงผลักหน้าอกของเหลิ่งจวิ้นอวี่ เพื่อต่อต้าน
แต่ยิ่งเธอต่อต้านมากเพียงใด ในสายตาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
จุมพิตของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งลึกล้ำมากขึ้น
ลิ้นชุ่มชื้นนั้น แยกริมฝีปากสีชมพู และฟันขาวสะอาดนั้นของเล่อเหยาเหยาออก ก่อนสอดลิ้นเข้าไปพัวพันลิ้นเล็กสีชมพู พร้อมดูดกลืนกวาดล้างไม่หยุด ดุจคนที่กระหายน้ำกลางทะเลทราย หลังตามหาแหล่งน้ำพบ ดูดกลืนน้ำหวานนั้นไม่หยุด
จนกระทั่งผ่านไปนาน จุมพิตนี้สิ้นสุดลงในที่สุด
เวลานี้ เล่อเหยาเหยาถูกจุมพิตจนสองแก้มแดงก่ำ เรี่ยวแรงทั้งหมดบนร่างกายดุจถูกสูบออกไป ทำให้อ่อนเปลี้ยเพลียแรง
หากไม่ได้มือใหญ่ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ประคองไว้ เกรงว่าเล่อเหยาเหยาคงล้มกองบนพื้นแล้ว
ตรงกันข้ามกับเล่อเหยาเหยา ดวงตาเหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับร้อนแรง แฝงไปด้วยไฟปรารถนา ริมฝีปากกระจับแย้มยิ้มเล็กน้อย พร้อมหายใจติดขัด
ดวงตาเย็นชาจ้องมองบนใบหน้าเล่อเหยาเหยา เห็นเล่อเหยาเหยาถูกตนจุมพิตจนปากเล็กบวมแดง ใบหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ปรากฎความพอใจขึ้นหลายส่วน
สุดท้ายยังแลบลิ้นออกไปเลียน้ำหวานที่ติดอยู่มุมปากของเล่อเหยาเหยาอย่างอ้อยอิ่ง จึงผละออกด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
“เอาล่ะ เวลาสายมากแล้ว เจ้าควรออกเดินทางแล้ว”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยจบ รู้ว่าเล่อเหยาเหยาไร้เรี่ยวแรง ดังนั้นจึงยืดแขนออกไปอุ้มเล่อเหยาเหยาขึ้นมา จากนั้นเดินตรงไปที่รถม้า
เมื่อถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋อุ้มไว้แน่น สายตาเล่อเหยาเหยายังจ้องบนใบหน้าเด็ดเดี่ยวนั้นของเขา คล้ายต้องการจารึกใบหน้าหล่อเหลานี้ลงไว้ภายในใจของตน
เพราะจากกันครั้งนี้ เธอต้องรออีกหนึ่งเดือนถึงจะพบหน้าเขา
ตอนนี้ยังไม่ได้จากกัน เธอเริ่มคิดถึงเขาเสียแล้ว
เธอไม่อยากห่างจากเขาจริงๆ!
และไม่รู้เพราะเหตุใด เวลานี้ในใจเธอจึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ความไม่สบายใจนี้รุนแรงกว่าครั้งที่แล้วยิ่งนัก คล้ายมีเรื่องร้ายบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเล่อเหยาเหยาปวดแปลบ เจ็บปวดอย่างรุนแรงครู่หนึ่ง
คล้ายเธอต้องสูญเสียสิ่งของล้ำค่าที่สุดของตนไป!
พอคิดถึงตรงนี้ สองมือเล่อเหยาเหยาจับปกคอเสื้อของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอาไว้แน่น ก่อนเม้มริมฝีปากแดงแน่นอยู่ชั่วครู่ เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนว่า
“อวี๋ ท่านจะไปรับตัวข้ากลับมาจริงๆ ใช่หรือไม่!”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยถามอย่างกังวล คิ้วเข้มขมวดเป็นปมเพราะความไม่สบายใจ สีหน้าดูไม่สบายและอาลัยอาวรณ์
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น อดยิ้มมุมปากไม่ได้ ก่อนยื่นมือเขี่ยจมูกเล็กของเล่อเหยาเหยา พร้อมเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า
“แน่นอน!”
น้ำเสียงราบเรียบยิ่งนัก!
เล่อเหยาเหยาได้ยิน ความไม่สบายใจยังคงไม่หายไป
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น อดเอ่ยปากขึ้นอีกครั้งไม่ได้
“เอาล่ะ อย่าคิดมากเลย ยิ่งคิดมากจะส่งผลเสียต่อร่างกาย ครั้งก่อนไป๋บอกว่าช่วงตั้งครรภ์ บางครั้งอาจอารมณ์อ่อนไหวง่ายมิใช่หรือ ดังนั้นเจ้าก็ห้ามคิดมาก และไม่ต้องกังวลใจ เปิ่นหวางต้องไปรับตัวเจ้าแน่นอน เพราะพวกเราเคยสัญญากันว่าจะจูงมือกันไปจนแก่เฒ่า!”
“ใช่ พวกเราจะจูงมือกันไปจนแก่เฒ่า”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาเอ่ยย้ำอย่างหนักแน่นขึ้นอีกรอบ
ถูกต้อง เป็นเพราะเธอคิดมากเกินไปแน่นอน
อาจเพราะตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เธอจึงอารมณ์อ่อนไหวกว่าปกติ ดังนั้นตอนนี้เธอจึงคิดมากเกินไป
และบนโลกนี้จะเกิดเรื่องไม่คาดคิดมากมายเช่นนั้นที่ใด!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงค่อยๆ สงบใจลง ความไม่สบายใจที่มีสลายลงไปไม่น้อย
เพื่อไม่ให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋กังวล เล่อเหยาเหยายกมุมปากยิ้มอย่างสบายใจออกมา พร้อมกล่าวยิ้มๆ ว่า
“อืม ตกลง ข้าจะรอท่าน!”
รอท่านมารับตัวข้า รอท่านมอบความสุขให้แก่ข้า!
แต่ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจอย่างหนักแน่น ถึงความสุขที่ตนจะได้รับ กลับไม่รู้ตัวว่าการจากลาครั้งนี้ กลับเป็น…