สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 193 เหยาเหยาตาบอด (1) (รีไรท์)
“ไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้ เขา เขาจะตายได้เช่นไร!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหม่ย เสียงสูดหายใจอย่างไม่เชื่อหูดังขึ้นรอบทิศ เล่อเหยาเหยาเหมือนคนเสียสติ ใบหน้าจิ้มลิ้มซีดขาวดุจกระดาษ ไร้ชีวิต
ดวงตาคู่งามเปล่งประกายวิบวับก่อนหน้านี้ เวลานี้กลับหดหู่มืดมน
ศีรษะที่สวมมงกุฏส่ายไปมาไม่หยุด ม่านลูกปัดที่กระทบกันนั้น ทำให้เกิดเสียงใสกังวานดังออกมา ราวกับบางสิ่งกำลังแตกสลาย
จากนั้นน้ำตาใสแวววาว ไหลรินลงมาจากดวงตาคู่งามของเล่อเหยาเหยา ก่อนอาบทั่วสองแก้มซีดขาว ทำให้เธอดูอ่อนแรง เหมือนพลันสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
เซี่ยผิงและเซี่ยลี่ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น แม้กำลังตกตะลึงกับข่าวแสนโศกเศร้าที่เหม่ยรายงาน แต่พวกเธอกังวลกับร่างกายของเล่อเหยาเหยามากที่สุด
โดยเฉพาะตอนนี้ เล่อเหยาเหยาหน้าซีดเซียวว่างเปล่า และร่างกายนั้นโอนเอียงคล้ายจะพลันล้มลงไปทันที
เห็นเช่นนั้น เซี่ยลี่และเซี่ยผิงรีบเดินเข้าไปหมายประคองเล่อเหยาเหยา
แต่ทันใดนั้น เล่อเหยาเหยาที่เปราะบางจนจะล้มลง กลับพลันดุจลูกธนู กระโจนพุ่งตรงไปที่ด้านหน้าของเหม่ย สองมือขยุ้มที่ปกเสื้อของเขาแน่น ก่อนพยายามเปล่งเสียงออกมา
“เจ้าโกหกข้า เจ้าโกหกข้า อวี๋เขายังไม่ตาย เขาไม่ตาย เขาบอกว่าจะมารับตัวข้า เขาสัญญากับข้า!”
เล่อเหยาเหยาร้องตะโกนอย่างเสียสติ
เห็นชัดว่าคนร่างกายเล็กบอบบางเช่นนี้ กลับสามารถผลักเหม่ยที่รูปร่างกำยำโอนเอียงไปมาได้
คนที่เห็นต่างพลันตกตะลึง และกังวลในตัวเธอ
ส่วนเหม่ยไม่ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว เพียงปล่อยให้เล่อเหยาเหยาระบายอารมณ์ออกมา
เพราะเรื่องนี้สำหรับพวกเขาทุกคน ต่างเป็นเรื่องทำให้เศร้าโศก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเล่อเหยาเหยา
แต่ขณะที่ทุกคนโศกเศร้าเสียใจ กลับเห็นเล่อเหยาเหยาที่คุ้มคลั่ง เหมือนพลันถูกสูบเรี่ยวแรงทั้งหมดออกไป ดวงตาพลิกกลับก่อนล้มลงไป
…
งานอภิเษกที่ตั้งตารอคอยมาตลอด กลับกลายเป็นได้ข่าวการเสียชีวิตของชายคนรัก ความเจ็บปวดมากที่สุดบนโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งใดเกินกว่านี้อีกแล้ว
ข่าวรุ่ยอ๋องแห่งแคว้นเทียนหยวน ที่มีบารมียิ่งใหญ่ ชื่อเสียงเกรียงไกร ก่อนงานอภิเษกกลับไปต่อสู้กับพวกลัทธินอกรีตที่เหลือรอด จนเคราะห์ร้ายตกเหวลึกเสียชีวิต สร้างความหวาดหวั่นไปทั่วแคว้นเทียนหยวน
แม้ลัทธินอกรีตที่หลงเหลืออยู่เหล่านั้น สุดท้ายจะถูกกำจัดจนหมด แต่ยังคงทำให้ผู้คนในแคว้นเทียนหยวนตกตะลึงไม่หยุด
เพราะที่ผ่านมารุ่ยอ๋องในใจของเหล่าราษฎร คือเทพเซียนที่มีชีวิต เขามีวรยุทธ์สูงส่ง มีอำนาจบารมี ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เดิมทีคิดว่าเขาสูงส่งดุจภูเขาสูงตระหง่านที่ไม่มีวันพังทลาย คิดไม่ถึง…
ดังนั้นเมื่อรุ่ยอ๋องเสียชีวิต เทียนหยวนจึงจัดงานไว้อาลัยสามวัน
เพราะรุ่ยอ๋องตกลงไปในเหวลึก ศพยังตามหาไม่เจอ อาจถูกสัตว์ร้ายอื่นกินหมดแล้ว ดังนั้นภายในโลงศพของรุ่ยอ๋อง จึงวางสิ่งของที่รุ่ยอ๋องเคยใช้ก่อนหน้านี้ทั้งหมดลงไป
ก่อนหน้านี้รุ่ยอ๋องกำจัดภัยเพื่อราษฎรมากมาย ดังนั้นงานศพของรุ่ยอ๋องวันนั้น เหล่าราษฎรต่างพากันหยุดงาน เพื่อเข้าร่วมบอกลาวีรบุรุษของแคว้นผู้นี้
…
แสงอาทิตย์ในฤดูร้อน มักร้อนแรงและแสบตา
อุณหภูมิสูงอย่างมาก พระอาทิตย์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า แผ่กระจายความร้อนระอุหาที่เปรียบไม่ได้ออกมา ดุจเตาไฟขนาดใหญ่ที่กำลังเผาผลาญทั่วพื้นดิน
บนพื้นมีไอความร้อนพุ่งกระจายออกมา และยอดไม้ที่เขียวชอุ่มก็ทนต่ออุณหภูมิสูงไม่ไหว ใบไม้นั้นต่างหดตัวลง
จั๊กจั่นบนต้นไม้ เวลานี้กลับเหมือนเปี่ยมไปด้วยพลังไร้ขีดจำกัด ส่งเสียงเซ็งแซ่ไม่หยุด ทำให้คนฟังหงุดหงิด ร้อนรนยิ่งขึ้น
แต่ในฤดูอันร้อนระอุเช่นนี้ เล่อเหยาเหยากลับรู้สึกว่าเวลานี้หนาวเหน็บกว่าวันที่หนาวที่สุดในเดือนสิบสอง
เธอไม่รู้สึกถึงความอบอุ่น ทั่วร่างกายดุจแช่อยู่ในถ้ำน้ำแข็งเย็นยะเยือก จนเลือดเธอคล้ายจับตัวเป็นก้อนขึ้นมา
เล่อเหยาเหยาไม่รู้ว่าตนซ่อนตัวอยู่ในห้องมานานเพียงใด เธอขังตนเองอยู่ภายในห้อง ไม่คิดออกไปพบหน้าผู้ใด
เพราะเธอไม่อยากเห็นสายตาสงสารหรือเสียใจของผู้อื่น เช่นนั้นเธออาจจะนึกถึงว่าอวี๋เสียชีวิตไปแล้ว เขาตายไปแล้วจริงๆ และไม่กลับมาอีกแล้ว
“ไม่ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ อวี๋ ท่านโกหกข้า เหตุใดท่านจึงโกหกข้า ท่านรับปากข้าว่าจะมารับตัวข้ากลับไป ข้ารอท่านอยู่ตลอด เหตุใดตอนนี้ท่านกลับจากข้าไป!”
เล่อเหยาเหยาโศกเศร้าเสียใจ เจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่
หัวใจคล้ายถูกคนใช้มือฉีกขาดอย่างรุนแรง จนเลือดสาดกระเซ็น
เล่อเหยาเหยานำใบหน้าแนบหัวเข่า พร้อมสองมือกอดหัวเข่าไว้แน่น ราวกับมีเพียงเช่นนี้ จึงจะเพิ่มพลังให้แก่เธอได้
ทำให้เธอยังมีชีวิตอยู่ต่อไป
เล่อเหยาเหยาไม่รู้ตนอยู่ในท่านี้มานานเพียงใด รู้เพียงมีเสียงร้อนรน โน้มน้าวปลอบใจของฮ่องเต้ ฮองเฮาแห่งต้าเซี่ย และพวกเซี่ยผิงจากด้านนอกประตูดังเข้ามาไม่หยุด แต่เธอกลับอุดหูไว้แน่น ไม่อยากฟังคำพูดของพวกเขา
เธอตอนนี้ไม่อยากพบหน้าผู้ใด เพียงอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ในห้อง เหมือนแมวตัวเล็กบาดเจ็บ จึงหลบอยู่ในมุมเงียบๆ เลียบาดแผลของตนเอง
และน้ำตาของเธอ ไหลรินลงมาไม่หยุด
ดวงตาแดงก่ำ ภาพตรงหน้าเลือนลาง จึงทำให้มองสิ่งต่างๆ ไม่ชัดเจน
เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงแสงรอบด้านเดี๋ยวดำเดี๋ยวขาว เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง พร่ามัวเลือนลาง มองไม่เห็นความจริง
อาจเพราะเธอมีน้ำตามากเกินไป
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ ด้านนอกประตูมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
หลายวันนี้เสียงเคาะประตูเช่นนี้ไม่รู้เกิดขึ้นกี่ครั้ง จนเล่อเหยาเหยาคิดว่าประตูไม้บานนี้อาจจะพังลงเพราะการเคาะประตูนั้น
ความจริงคนด้านนอกคิดอยากพังประตูไม้เข้ามา แต่ทุกคนต่างไม่กล้า เพียงเอ่ยโน้มน้าวบางอย่างไม่หยุดอยู่ด้านนอก แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่รับฟังแม้แต่ประโยคเดียว
เพราะเธอตอนนี้ เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยเหลือเกินจริงๆ
เหนื่อยจนเธอคล้ายอยากจะหลับไป ไม่ตื่นขึ้นมาชั่วชีวิต เพราะหากเป็นเช่นนี้ เธอจะสามารถอยู่กับอวี๋ได้ตลอดไป
…
เมื่อเล่อเหยาเหยาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกเพียงด้านข้างมีคน เพราะมีกลิ่นยาหอมละมุนแสนคุ้นเคยอยู่ด้านข้างเธอ
“ตื่นแล้วหรือ”
เพราะคนที่มา รับรู้ว่าเล่อเหยาเหยาฟื้นได้สติ จึงเอ่ยปากถามขึ้น
เสียงนั้นอบอุ่นห่วงใย เป็นเอกลักษณ์ของตงฟางไป๋
“ท่าน ท่านมาได้เช่นไร”
เมื่อได้ยินเสียงอ่อนโยนนี้ เล่อเหยาเหยาจึงเอ่ยปากขึ้นเบาๆ แต่กลับพบว่าเสียงของตนนั้น ช่างไม่น่าฟังอย่างยิ่ง ราวกับเถี่ยฉุย[1]ทื่อ ค่อยๆ กระทบลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังออกมา
ภายในลำคอเจ็บปวดอย่างรุนแรง ยามที่เธอเปล่งเสียงออกมา คล้ายกับมีเปลวไฟกำลังเผาไหม้อยู่ภายในลำคอของเธอ
ความเจ็บปวดที่ยากจะทนได้นี้ ทำให้เล่อเหยาเหยารับรู้ว่าตนยังมีชีวิตอยู่
ก่อนหมดสติ เธอรู้ว่าร่างกายอ่อนแรง เดิมทีคิดว่าตนจะเสียชีวิตไปเช่นนี้
ความตาย ตอนนี้สำหรับเธอคือการหลุดพ้น
เพราะอวี๋ตายไปแล้ว โลกของเธอคล้ายสูญสิ้นสีสันทั้งหมดไป การมีชีวิตอยู่เป็นเพียงการตายทั้งเป็นเท่านั้น อยู่เช่นนี้จะมีความหมายอย่างไร!
ดังนั้น เมื่อรับรู้ว่าตนยังมีชีวิตอยู่ เล่อเหยาเหยาจึงผิดหวัง
เพราะรับรู้ถึงความในใจของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋ที่นั่งอยู่ข้างกายเธอจึงอดขมวดคิ้วงามไม่ได้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
แต่เขายังไม่รีบเอ่ยปาก เพียงรินน้ำชาอุ่นๆ ให้แก่เล่อเหยาเหยา ก่อนประคองร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงของเล่อเหยาเหยาขึ้น ก่อนเอ่ยปากว่า
“มา ดื่มน้ำก่อนเถิด จะได้ไม่เจ็บคอ ยาข้าต้มเสร็จแล้ว เจ้าดื่มน้ำให้ชุ่มคอก่อน ค่อยดื่มยาเถิด!”
น้ำเสียงของตงฟางไป๋ แผ่วเบานุ่มนวล ไม่ว่าเวลาใดดุจสายลมอบอุ่นในเดือนสาม พัดเอื่อยเข้าสู่ในใจผู้คน
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาเพียงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะรู้สึกถึงของแข็งบริเวณริมฝีปาก นั่นคือถ้วยชาจึงเม้มปากลงดื่มน้ำเข้าไป
หลังจากไม่รู้สึกปวดแสบในลำคอ เล่อเหยาเหยาจึงพบว่าคล้ายมีบางสิ่งผิดปกติ
ได้กลิ่นยาลอยเข้ามา เล่อเหยาเหยาอดย่นจมูกไม่ได้
“มา เหยาเหยา ข้าจะป้อนยาเจ้า”
[1] เถี่ยฉุย (铁锤) คืออาวุธโบราณชนิดหนึ่ง ทำจากเหล็ก หรือสำริดมีน้ำหนักมาก มีลักษณะด้ามสั้น มีลูกเหล็กขนาดใหญ่ตรงปลาย (คล้ายอาวุธของอินเดีย) มักใช้เป็นคู่ โดยใช้ฟาดใส่คู่ต่อสู้ให้บาดเจ็บหรือถึงเเก่ชีวิตได้