สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 195 การพบหน้าของพี่ชายและน้องสาว (2)
“ฮ่า ๆ เจ้ายังจะเอ่ยว่าไม่สนใจซิงอีกหรือไม่ เหตุใดตอนนี้จึงกังวลเช่นนี้!”
“ฮึ ไม่สนใจพวกท่านแล้ว พวกท่านชอบหลอกลวงข้า!”
เซี่ยลี่สองแก้มแดงก่ำ เพราะเขินอายจนกลายเป็นโมโห หลังส่งเสียงฮึอย่างไม่พอใจ ก่อนจากไปอย่างเขินอาย
เล่อเหยาเหยาและเซี่ยผิงเห็นเช่นนั้นต่างยิ้มให้กัน
“ดูแล้ว เซี่ยลี่และซิงชอบแกล้งกันยิ่งนัก”
เซี่ยผิงเอ่ยเสียงเบาขึ้น
เพราะเซี่ยผิงจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดังนั้นเรื่องมากมายเธอจึงรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
เล่อเหยาเหยาได้ยิน ดวงตาเป็นประกาย ก่อนถอนหายใจออกมา
“สามีภรรยาทะเลาะกัน จึงเป็นชีวิตสามีภรรยาที่สมบูรณ์แบบ!”
น่าเสียดายชีวิตนี้ เธอไม่สามารถเป็นสามีภรรยาแกล้งหยอกล้อกันเช่นนี้กับอวี๋ได้
บนโลกนี้เรื่องโศกเศร้าที่สุด คือการพลัดพรากจากคนรัก
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเล่อเหยาเหยาคล้ายเจ็บปวด
แต่เธอไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นถึงความอ่อนแอในใจของเธอ ดังนั้นในสายตาของผู้อื่น เล่อเหยาเหยาจะแสดงความมีชีวิตชีวาออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าไม่เคยเลือนไป
เวลานี้เซี่ยลี่ยังไม่กลับมา ไม่รู้เขินอายจนไปอยู่ที่ใด
เหลิ่งอวี้เซวียนทานอิ่มแล้ว เซี่ยผิงจึงพาเขาเล่นว่าวอยู่ทางนั้น
ส่วนเล่อเหยาเหยากลับยังอยู่ในศาลาพักร้อน ในมือถืดมีดเล็กค่อยๆ ปอกเปลือกแอปเปิ้ล
เมื่อปอกเปลือกแอปเปิ้ลเสร็จ จึงค่อยๆ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนใช้ไม้จิ้มฟันเสียบลงไป เพื่อให้สะดวกยามหยิบทาน
ขณะเล่อเหยาเหยาปอกเปลือกแอปเปิ้ล เห็นเหลิ่งอวี้เซวียนที่เล่นสนุกอยู่ทางนั้น กลับพลันหกล้มลงบนพื้น เมื่อเสียงร้องไห้ดังขึ้น เล่อเหยาเหยาตกใจอย่างหนัก ทำให้ไม่ระวังถูดมีดเล็กบาดเข้าที่นิ้ว แต่เธอกลับไม่รู้ตัว
จึงรีบร้อนวางมีดเล็กลง ก่อนพุ่งตรงไปทางเหลิ่งอวี้เซวียน
“เป็นอันใด หกล้มบาดเจ็บที่ใด มาให้แม่ดูเร็ว!”
หลังก้มตัวลง สองมือของเล่อเหยาเหยาพลิกกายเล็กๆ ของเหลิ่งอวี้เซวียนไม่หยุด ดวงตาสอดส่องบนร่างกายเหลิ่งอวี้เซวียนอย่างกังวลร้อนรน เพราะกลัวเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บ
เพราะเด็กคนนี้ เป็นก้อนเนื้อที่เธอคลอดออกมา และเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของอวี๋ เธอไม่ให้เขาบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียวเด็ดขาด
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ ใจเต้นระรัวจนแทบร้องไห้ออกมา
แต่เหลิ่งอวี้เซวียนที่ร้องห่มร้องไห้จนจมูกแดงก่ำ เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยากังวลตนเองเช่นนี้ กลับหยุดร้องไห้
มือเล็กขาวนุ่มนิ่มยื่นออกไปลูบใบหน้าเรียวของเล่อเหยาเหยา พร้อมสูดน้ำมูก จากนั้นเอ่ยอ้อแอ้ขึ้น
“เสด็จแม่ ไม่ร้องไห้ ข้าเพียงหกล้ม ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว ดังนั้นเสด็จแม่อย่าร้องไห้อีกเลย”
“อือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งอวี้เซวียน เล่อเหยาเหยาจึงรู้ว่าที่แท้ตนร้องไห้อย่างไม่รู้ตัว
ตอนนี้ได้ยินคำพูดของเหลิ่งอวี้เซวียน เล่อเหยาเหยาพลันยื่นมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนยิ้มให้กับเหลิ่งอวี้เซวียน
“ได้แม่ไม่ร้องแล้ว เช่นนั้นเซวียนเอ๋อร์ก็ไม่ร้องนะ หกล้มเจ็บที่ใดหรือ เดี๋ยวแม่จะเป่าให้ จะได้หายเจ็บ เด็กดี!”
“อือ เสด็จแม่เซวียนเอ๋อร์ไม่เจ็บแล้ว”
เมื่อกลัวเล่อเหยาเหยากังวล เหลิ่งอวี้เซวียนจึงกัดฟัน ก่อนพลันส่ายหน้าเอ่ยขึ้น
ท่าทางเห็นชัดว่าเจ็บปวดอย่างมาก แต่กลับกัดฟันทนปากแข็ง เหมือนเช่นคนบางคน ทำให้เล่อเหยาเหยาเจ็บปวดในใจ
และจึงทั้งเจ็บและรักเหลิ่งอวี้เซวียน
จึงรวบตัวเหลิ่งอวี้เซวียนเข้ามากอด เล่อเหยาเหยาไม่เอ่ยสิ่งใจ เพียงอุ้มเหลิ่งอวี้เซวียนไปนั่งที่ศาลาพักร้อน
ขณะเดียวกันนั้น เงาร่างสีขาวผอมเพรียวร่างหนึ่งปรากฎตัวขึ้น เมื่อเห็นพวกเล่อเหยาเหยาอยู่ในศาลาพักร้อน จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า
“ที่แท้พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่เอง!”
“ท่านลุงไป๋!”
เมื่อได้ยินเสียงนุ่มนวลงามสง่า เหลิ่งอวี้เซวียนพลันหันศีรษะไป ใบหน้าเล็กเปื้อนคราบน้ำตานั้น เวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่เข้ามาพลันยิ้มแย้มสดใส
รอยยิ้มสดใสไร้เดียงสาและบริสุทธิ์นั้น ราวกับดอกทานตะวันที่สวยงาม
รอยยิ้มที่งดงามบริสุทธิ์นี้ เกรงว่าบนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้!
คนที่มา เห็นเช่นนั้น รอยยิ้มที่มุมปากกว้างขึ้น ก่อนโน้มตัวลงอุ้มคนตัวเล็กที่กอดต้นขาตนไว้แน่นขึ้น ก่อนอุ้มเขามาพาดบนไหล่ของตน
เหลิ่งอวี้เซวียนชื่นชอบการถูกคนนำตัวมาพาดบนไหล่เป็นที่สุด เพราะหากเป็นเช่นนี้ เขาจะรู้สึกว่าตนเป็นผู้ใหญ่ และมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น
ดังนั้นเหลิ่งอวี้เซวียนจึงนั่งอยู่บนไหล่ของตงฟางไป๋ หัวเราะฮ่าฮ่าออกมาไม่หยุด
“ฮ่าๆ ท่านลุงไป๋ยอดเยี่ยมที่สุด ฮ่าๆ”
“ฮ่า ๆ”
เมื่อเห็นเหลิ่งอวี้เซวียนตื่นเต้นดีใจ รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางไป๋ยิ่งกว้างมากขึ้น
เห็นเพียงตงฟางไป๋สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวดุจหิมะ ผมยาวนั้นใช้ผ้าคาดสีขาวมัดเป็นช่อเล็กๆ อย่างงดงาม ที่เหลือต่างสยายไปทางด้านหลัง และไหล่สองข้าง
แม้จะเป็นเช่นนี้ กลับไม่ปิดบังความโดดเด่นเหนือผู้ใดนั้น!
เวลานี้เมื่อเขาแบกคนตัวเล็กขาวใสนุ่มนิ่มดุจหยกสีดำ ก่อนยิ้มให้แก่กันอย่างสดใสนั้น ภาพนี้มองแล้วดุจภาพอันสวยงามน่ามอง ทำให้ผู้คนมิอาจละสายตา
เล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น หน้าตาปิดบังรอยยิ้มและความปลาบปลื้มไม่ได้
จนกระทั่งตงฟางไป๋และเหลิ่งอวี้เซวียนเล่นสนุกจนเหนื่อย เหลิ่งอวี้เซวียนที่ง่วงนอนถูกเซี่ยผิงอุ้มกลับไปนอนกลางวัน เวลานี้ภายในศาลาพักร้อนจึงเหลือเพียงเล่อเหยาเหยาและตงฟางไป๋สองคน
“พี่ไป๋ สามเดือนไม่เจอกัน ท่านผอมลงไปไม่น้อย”
เล่อเหยาเหยายิ้มแย้มเอ่ยกับตงฟางไป๋
หลายปีมานี้ เล่อเหยาเหยาทราบดีว่าตงฟางไป๋ก็ลำบากไม่น้อย
แม้เขาจะร่ำรวย เปิดโรงหมอหลายแห่ง แต่เขายังคงไม่ละทิ้งการตามหาน้องสาวที่หายสาบสูญไปของเขา
ก่อนหน้านี้เขาได้รับข้อมูล น้องสาวของเขาถูกลักพาตัวมาขายที่ต้าเซี่ย จากนั้นเขาจึงส่งคนออกมาตามหาในต้าเซี่ยไม่หยุด
และโรงหมอของเขา ก็ค่อยๆ ขยายไปทั่วต้าเซี่ย
สามเดือนก่อนหน้านี้ ตงฟางไป๋ได้รับข่าวว่าน้องสาวของเขาปรากฎตัวขึ้นที่ตำบลหนึ่ง ตงฟางไป๋จึงพลันออกเดินทางไป จนกระทั่งตอนนี้เพิ่งกลับมา
ทว่าดูจากความผอมโซของตงฟางไป๋นี้ เล่อเหยาเหยารู้ว่าครั้งนี้เขาดีใจเก้ออีกแล้ว
เมื่อเห็นหน้าตาเศร้าโศกของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาพลันเอ่ยปลอบโยนขึ้น
“พี่ไป๋ แม้เรื่องตามหาน้องสาวของท่านจะสำคัญ แต่ท่านก็ควรใส่ใจสุขภาพตนเอง เรื่องราวทั้งหมดบนโลกนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว คนดีเช่นท่าน ข้าเชื่อว่าสวรรค์ต้องไม่ใจร้ายกับท่านแน่”
“ฮ่า ๆ เจ้าช่างเข้าใจปลอบโยนข้านัก”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา รู้ว่าเธอห่วงใยตน ทำให้ตงฟางไป๋อบอุ่นในใจ ยกยิ้มมุมปากพลางเอ่ยขึ้น
และเห็นบนโต๊ะมีมีดเล็กเล่มหนึ่ง ตงฟางไป๋ที่เบื่อหน่ายจึงหยิบขึ้นมาเล่น ทว่าหลังเห็นคราบเลือดบนมีดเล่มนั้น กลับขมวดคิ้วมุ่น สายตามองไปยังเล่อเหยาเหยา เมื่อเห็นคราบเลือดบนมือของเล่อเหยาเหยา พลันร้อนใจ จึงยื่นมือไปกุมมือเล็กของเล่อเหยาเหยาทันที ก่อนเอ่ยอย่างร้อนใจ
“เหตุใดไม่ระวัง จนมือบาดเจ็บเช่นนี้!”
ตงฟางไป๋เอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ
เล่อเหยาเหยาได้ยิน ในที่สุดจึงนึกขึ้นได้ว่าเพราะเธอมัวแต่สนใจเหลิ่งอวี้เซวียน เกรงว่าเขาจะหกล้มจนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจนิ้วของตน ก่อนจะค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องนี้ไป
ตอนนี้ตงฟางไป๋เอ่ยขึ้นมา เล่อเหยาเหยาจึงหลุบตาลง บนใบหน้าพลันตะลึงงัน แววตาปรากฎความแปลกใจขึ้นมา
แม้เมื่อครู่จะบาดไม่ลึก แต่เธอกลับไม่ได้ห้ามเลือด ตอนนี้เลือดนั้นต่างไหลอาบทั่วมือเธอ และเมื่อถูกตงฟางไป๋กุมที่มือ เลือดนั้นหยดลงภายในถ้วยชาบนโต๊ะ
มิน่าเมื่อครู่จึงรู้สึกว่าบนมือเปีอกชื้น ที่แท้บนมือกลับมีเลือดไหลออกมามากมายเช่นนี้
เล่อเหยาเหยาแม้จะตกใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางร้อนใจของตงฟางไป๋ อดยิ้มไม่ได้
“พี่ไป๋ เพียงเลือดไหลเล็กน้อยเท่านั้น ท่านไม่ต้องกังวลเกินไป”
สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋เพียงถลึงตาให้เธอแวบหนึ่ง
ชายหนุ่มหล่อเหลาโดดเด่นเช่นตงฟางไป๋นี้ คล้ายไม่คลุกคลีกับเรื่องทางโลก ถลึงตาออกมาเช่นนี้ จะมองเช่นไรต่างทำให้คนรู้สึกขบขัน
และเล่อเหยาเหยาก็ทนไม่ไหว หน้าตาผ่อนคลายลง ก่อนหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะไพเราะกังวานเช่นนี้ ดุจน้ำใสสะอาด แสงอาทิตย์อบอุ่น บุปผาช่องาม สวยงามจนทำให้คนมิอาจละสายตา ทำให้ตงฟางไป๋พลันมองอย่างตกตะลึง
กระทั่งมีดเล็กในมือร่วงหล่นเมื่อใด เขายังไม่รู้ตัว
จนกระทั่งตงฟางไป๋รู้สึกปวดที่มือ จึงพลันได้สติ
“อา พี่ไป๋ มือท่านเลือดไหล!”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋ก้มลงมอง ก่อนพบว่ามือที่ถือมีดเมื่อครู่นั้น ถูกบาดจนได้แผล
เลือดสีแดงสดนั้นไหลไปตามฝ่ามือ ก่อนค่อยๆ ไหล จนในที่สุดก็หยดลงภายในถ้วยชาบนโต๊ะ
“พี่ไป๋ ท่านก็ไม่ระวังเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นบนมือตงฟางไป๋ยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา เล่อเหยาเหยาขมวดคิ้วแน่น แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
ตงฟางไป๋เห็นเช่นนั้น พลันไม่รู้สึกว่ามือเจ็บปวด
เพราะเห็นท่าทางกังวลห่วงใยตนของเล่อเหยาเหยา เขาจึงรู้สึกว่าตนคือคนที่มีความสุขที่สุดบนโลกใบนี้
ก่อนหน้านี้ ความจริงเขาคิดว่าตนได้สูญเสียโอกาสรักเธอไปแล้ว แต่หลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋เสียชีวิต เขาคิดว่านี้อาจเป็นลิขิตสวรรค์
เพื่อให้เขามีโอกาสดูแลปกป้องเธอ ดังนั้นเขาจึงทะนุถนอมโอกาสนี้เป็นอย่างดี
แม้เขาจะทราบว่าเธอสาบานจะครองตนเป็นหม้ายเพื่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋ แต่เขาไม่กลัว เพราะเมื่อมีความตั้งใจ หินศิลาอันแข็งแกร่งสามารถสั่นสะเทือนและแยกออกได้!
เขาเชื่อมั่นว่าต้องมีสักวัน เธอต้องเห็นความดีของเขา!
แต่ขณะตงฟางไป๋คิดอย่างมั่นใจในใจ หูกลับได้ยินเสียงตกใจคล้ายไม่เชื่อสายตาของเล่อเหยาเหยาดังขึ้น
“พี่ไป๋ ท่านรีบดูเร็วเข้า เลือดของพวกเราเหตุใดจึงผสานเข้าด้วยกัน”
…………………………………………………………………………………..