สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 200 อวี๋อยู่ที่นั้น (2)
บนถนนใหญ่อันพลุกพล่าน รถม้าวิ่งสวนไปมา ผู้คนเดินขวักไขว่ แต่เวลานี้กลับมีใจสองดวงที่โศกเศร้าพร้อมกัน
…
แม้เมื่อครู่จะเกิดเรื่องที่ไม่มีความสุขเล็กน้อยขึ้น แต่ก็ไม่ได้กระทบกับแผนการในคืนนี้
หลังทานอาหารเสร็จ พวกเล่อเหยาเหยาซื้อโคมลอยหลายชิ้น วางแผนปล่อยโคมลอยขอพรในตลาดพร้อมกับทุกคน
เพราะวันนี้คือเทศกาลโคมลอยที่หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว ดังนั้นวันนี้โคมลอยจึงขายดีเป็นพิเศษ
ในตลาดแน่นขนัด ผู้คนล้นหลามเบียดเสียดกัน
เวลานี้เป็นช่วงยามเฉิน
โคมไฟถูกแขวนขึ้น พระจันทร์ลอยเด่น หมู่ดาวเรืองรอง สาดส่องอยู่บนนภาไร้ที่สิ้นสุด ทำให้ค่ำคืนนี้เปลี่ยนไปน่าหลงใหลยิ่งขึ้น
สายลมยามค่ำคืนพัดเอื่อยแฝงไปด้วยความเย็น แต่กลับไม่กระทบต่ออารมณ์ความสุขของทุกคน
เห็นเพียงเวลานี้ในตลาดมีคนเขียนพรในปีนี้ของตนหรือคำรำลึกต่อเทวดาลงบนโคมลอย ก่อนปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ดังนั้นไม่นานเห็นท้องฟ้าน่าหลงใหลนั้น มีโคมลอยสีเหลืองลอยเต็มไปหมด ทำให้คืนนี้ดูดุจความฝันอันงดงามยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นท้องฟ้าอันงดงาม ค่อยๆ มีโคมลอยสีเหลืองลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ คล้ายต้องการบินขึ้นสู่สวรรค์ชั้นที่เก้า
ผู้คนรอบด้านต่างลุ่มหลง โคมลอยเหล่านี้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้เทวดาบนสวรรค์มองเห็น
แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าโคมลอยเหล่านี้ลอยขึ้นไปกลางอากาศแล้วจะตกลงมา
แต่เมื่อเห็นใบหน้าเปี่ยมด้วยความหวังของพวกเขา อดทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกเช่นเดียวกันไม่ได้
หากเธอจะโง่งมอีกครั้งจะเป็นเช่นไร!
พอคิดถึงตรงนี้จึงหยิบพู่กันที่เตรียมไว้อยู่ด้านข้างขึ้นมา ก่อนจุมลงในหมึก จากนั้นเขียนสิ่งที่ตนต้องการให้เป็นจริงลงบนโคมลอย
อวี๋ ข้าคิดถึงท่านจริงๆ ข้าอยากพบหน้าท่านอีกครั้ง อยากยิ่งนัก อยากมากจริงๆ…
ในที่สุดพู่กันหยุดลง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลหยดลงบนนั้น
“เสด็จแม่ เหตุใดร้องไห้ ท่านอย่าร้องไห้เลยดีหรือไม่!”
เสียงอ้อแอ้ของเหลิ่งอวี้เซวียนดังขึ้น เล่อเหยาเหยาจึงได้สติ ทว่ากลับพบว่าตนน้ำตาไหล
เมื่อได้สติเล่อเหยาเหยาจึงสูดจมูก ยื่นผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนโน้มตัวลงกอดร่างเล็กของเหลิ่งอวี้เซวียน ก่อนกล่าวยิ้มๆ ว่า
“แม่ไม่ได้ร้องไห้ แต่ที่นี่ควันเยอะเกินไป จึงทำให้แม่แสบตา”
“โอ เช่นนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งอวี้เซวียนจึงพยักหน้าอย่างวางใจ
พลันยิ้มให้แก่เล่อเหยาเหยาพร้อมเอ่ยว่า
“เช่นนั้นเสด็จแม่ พวกเรารีบปล่อยโคมลอยกันเถิด ทุกคนต่างปล่อยกันแล้ว!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งอวี้เซวียน เล่อเหยาเหยาจึงพยักหน้าพลันจูงมือเหลิ่งอวี้เซวียน เดินไปยังโคมด้านหน้าของเขา
เห็นเพียงบนโคมลอยของเหลิ่งอวี้เซวียน เขียนอักษรไว้หนึ่งท่อน
เพราะเหลิ่งอวี้เซวียนเพิ่งฝึกเขียนอักษรไม่นาน ถือว่ายังเขียนไม่ได้ยอดเยี่ยม แต่หลังเห็นตัวอักษรที่เขาเขียนเล่อเหยาเหยาอดยิ้มชื่นชมไม่ได้
“ข้าหวังว่าเสด็จแม่จะมีความสุขตลอดไป อยู่กับเซวียนเอ๋อร์ไปตลอดชีวิต”
“ฮ่า ๆ เซวียนเอ๋อร์น่ารักยิ่งนัก”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งอวี้เซวียน เล่อเหยาเหยาอดโน้มตัวลงหอมแก้มนิ่มอมชมพูของเขาแรงๆ ทีหนึ่งไม่ได้
ทำให้เหลิ่งอวี้เซวียนหัวเราะไม่หยุด
ประจวบเหมาะกับฉีอิงอิง ที่เขียนอักษรบนโคมลอยเสร็จเดินเข้ามาพอดี
ดวงตาเล่อเหยาเหยากวาดมองไปแวบหนึ่ง เห็นเพียงฉีอิงอิง เขียนบนโคมลอยว่า ‘ขอเพียงหัวใจของผู้ใดสักคน อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า’ เห็นเช่นนั้นเล่อเหยาเหยาอดยิ้มไม่ได้
สาวน้อยผู้นี้ ปกติเห็นเธอร่าเริงมีชีวิตชีวา ปราศจากความกังวล ความจริงก็มีอารมณ์รักเช่นหนุ่มสาวทั่วไป
“ฮ่า ๆ ขอเพียงหัวใจของผู้ใดสักคน อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า คำพูดนี้เจ้าหมายถึงผู้ใดหรือ!”
เล่อเหยาเหยาเห็นฉีอิงอิง เดินเข้ามา อดเอ่ยหยอกล้อไม่ได้
ฉีอิงอิง ได้ยิน ใบหน้าจิ้มลิ้มพลันแดงก่ำ แววตาถลึงมองเล่อเหยาเหยาอย่างเขินอาย ก่อนเอ่ยขึ้น
“ไม่มีผู้ใด”
“โอ หากไม่มีผู้ใด เหตุใดเจ้าจึงเขียนเช่นนี้ บอกความจริงกับข้ามาเถิด เจ้ามีคนที่ชอบแล้วใช่หรือไม่!”
เล่อเหยาเหยาทำท่าทางเอ่ยซักถามอย่างละเอียด ทำให้ฉีอิงอิงสองแก้มยิ่งแดงก่ำ ทว่าตีให้ตายก็ไม่เอ่ยออกมา
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น แสร้งทำใบหน้าตกใจขึ้นมา ก่อนเอ่ยเสียงลากยาวว่า
“โอ ข้ารู้ว่าคือผู้ใด มิน่าที่ผ่านมาเจ้าจึงทำดีกับเขาเป็นพิเศษ ที่แท้เจ้าก็ชื่นชอบ…อุ๊บ…”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยยังไม่จบ ถูกฉีอิงอิง ที่ตื่นตระหนกยื่นมือออกมาปิดปาก
“พี่เหยาเหยา เรื่องข้าชอบท่านลุง ท่านห้ามบอกผู้ใดนะ ถือว่าข้าขอร้องท่าน”
เห็นเพียงฉีอิงอิง เอ่ยอย่างอ้อนวอน เล่อเหยาเหยาได้ยินคำพูดนี้ของเธอพลันตกใจตาเบิกกว้าง พลันผลักมือเล็กของฉีอิงอิง ออกอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยอย่างเหลือเชื่อว่า
“อะไรนะ ที่แท้คนที่เจ้าชอบคือพี่ใหญ่!”
“เอ่อ คือว่าท่านไม่ทราบหรือ!”
เห็นเล่อเหยาเหยาเปี่ยมด้วยความแปลกใจ ฉีอิงอิง จึงรู้ว่าตนถูกหลอกแล้ว ทันใดนั้นจึงโมโหหงุดหงิด สุดท้ายกลับจนปัญญากับเล่อเหยาเหยา
เล่อเหยาเหยาเห็นฉีอิงอิง โมโหจนใบหน้าเล็กแดงก่ำ อดยิ้มอย่างภูมิใจไม่ได้
คิดไม่ถึงการหยั่งเชิงเล็กน้อยเมื่อครู่ สามารถนำความจริงในใจของฉีอิงอิง ออกมาได้
ทว่าจะโทษเธอไม่ได้ เพราะฉีอิงอิง ไร้เดียงสา และฝีมือการแสดงของเธอดีเกินไป
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาภูมิใจในใจ
และหลังทราบว่าคนที่ฉีอิงอิง ชื่นชอบคือตงฟางไป๋ อดแปลกใจและสับสนไม่ได้
“อิงอิง หากเจ้าชื่นชอบพี่ใหญ่ ยามปกติเหตุใดเจ้าจึงทำกับเขาเช่นนั้น จนเขาโมโหอย่างหนัก!”
สำหรับเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ
เพราะการชื่นชอบคนผู้หนึ่ง ต้องดีต่อเขามิใช่หรือ เหตุใดฉีอิงอิง กลับทำแตกต่างออกไป!
ฉีอิงอิง ได้ยินรู้ว่าเล่อเหยาเหยาคิดเช่นนั้นจริง
ประจวบกับเวลานี้ ตงฟางไป๋กำลังหยอกล้อกับเหลิ่งอวี้เซวียนอยู่ทางนั้น จึงไม่ได้สนใจทางด้านนี้ ฉีอิงอิง จึงวางใจกล้าเอ่ยความในใจที่ตนไม่เคยเอ่ยออกมา
“ข้ารู้พี่เหยาเหยาสงสัยสิ่งใด ความจริงก่อนหน้านี้นานมากแล้ว ข้ารู้จักกับท่านลุง”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ฉีอิงอิง คล้ายนึกย้อนไปถึงบางสิ่ง ดวงตาแวววาวทอดมองไปไกล มุมปากก็แฝงด้วยรอยยิ้มจางๆ ก่อนเอ่ยเบาๆ ขึ้นว่า
“ปีนั้นข้าเพิ่งอายุสิบขวบ เวลานั้นเพราะบิดาข้าได้ช่วยชีวิตท่านลุงไว้ จึงเริ่มไปมาหาสู่กับตระกูลตงฟาง และสาบานเป็นพี่น้องกับท่านลุงตงฟาง ความสัมพันธ์จึงยอดเยี่ยม ครั้งนั้นบิดาพาข้ามาที่ตระกูลตงฟาง ข้าค่อนข้างซุกซน ดังนั้นหลังมาถึงตระกูลตงฟางก็ไม่หยุดนิ่ง จนพลัดหลงกับสาวใช้ที่นำทางโดยไม่รู้ตัว แต่ข้าไม่สนใจเดินเที่ยวเตร่คนเดียวในตระกูลตงฟางไปทุกที่ วันนั้นคือวันที่ข้าได้พบกับท่านลุง
ยามนั้นเขาอยู่ด้านนอกสวนไผ่ กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้
ข้ายังจำได้ว่าวันนั้นคือช่วงบ่ายในฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดอันงดงามสาดลงมาบนกายทำให้อบอุ่น
และเขาสวมชุดสีขาว ก้มหน้าหลุบตา รูปร่างงามสง่าดุจเทพเซียน ตอนนั้นข้าเห็นยังคิดว่าเทพเซียนองค์ใดแอบลงมาบนโลกมนุษย์”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ฉีอิงอิง พลันยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยขึ้น
“ดังนั้น ข้าจึงสาบานในใจว่าชั่วชีวิตนี้ ข้าต้องพยายามเป็นเจ้าสาวของเขาให้ได้ ทว่ายามนั้นข้ายังอายุน้อย และกลัวว่าเขาจะไม่ชอบข้า ดังนั้นข้าจึงรอคอยมาตลอด รอจนในที่สุดข้าก็ถึงวัยปักปิ่น ก่อนรู้ว่าตอนนี้เขายังไม่ได้แต่งงาน ประจวบเหมาะกับบิดาของข้าต้องออกไปทำธุระด้านนอก ความจริงบิดาข้าสามารถให้ข้าอยู่ที่บ้านคนเดียวได้ การมาที่ตระกูลตงฟางคือการอ้อนวอนของข้า และบิดาคงเข้าใจความหมายของข้าจึงตามใจข้า”
เมื่อได้ยินตำนานความรักของฉีอิงอิง เล่อเหยาเหยารู้สึกแปลกใจ
คิดไม่ถึง เธออายุน้อยเช่นนี้ แต่เข้าใจสิ่งใดที่เรียกว่ารักแรกพบ
“เช่นนั้นเหตุใดยามปกติเจ้าถึงทำเช่นนั้นต่อพี่ใหญ่หรือ หากเจ้าชื่นชอบเขาก็บอกเขาเถิด ดีกว่าเก็บซ่อนไว้ในใจ”
“ฮ่า ๆ พี่เหยาเหยาความจริงข้าไม่คิดทำเช่นนี้ แต่หญิงสาวที่ชื่นชอบท่านลุงไม่รู้มีมากมายเพียงใด ท่านเคยเห็นท่านลุงใจเต้นกับหญิงสาวผู้ใดบ้างหรือไม่ หากข้าสารภาพรักกับเขาไปตรงๆ หรือคิดเช่นหญิงสาวคนอื่นส่งผ้าเช็ดหน้าให้เขา เช่นนั้นข้าจะแตกต่างจากหญิงสาวที่หลงรักท่านลุงพวกนั้นเช่นไร ท่านลุงคงไม่คิดว่าพิเศษ ข้าตอนนี้ที่ยั่วโมโหเขา นั่นเพราะอยากเข้าใกล้เขา เก๋งจีนที่ใกล้น้ำมักได้จันทร์ก่อน[1] ฮ่า ๆ แม้ข้าจะทะเลาะกับเขาทุกวัน ดูท่าทางเขาถูกข้ายั่วโมโหจนแทบบ้า ข้ารู้สึกดีใจยิ่งนัก อย่างน้อยในใจเขาข้าแตกต่างจากหญิงอื่น”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉีอิงอิง เล่อเหยาเหยาหมดคำพูด
ทว่าทุกคนต่างมีวิธีแสดงความรักแตกต่างกันออกไป เธอจึงไม่รู้ต้องพูดสิ่งใด
“ฮ่า ๆ เช่นนั้นข้าจะไม่พูดมาก เพียงขออวยพรให้ความฝันของเจ้าเป็นจริง!”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยอย่างจริงจัง
สาวน้อยผู้นี้ แม้อายุจะน้อยกว่าเธอ แต่เธอชอบนางจากใจจริง หากนางกลายเป็นพี่สะใภ้ของตนจริง เธอจึงรู้สึกว่าน่าจะไม่เลว
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ ฉีอิงอิง หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยาก็เอ่ยอวยพรจากใจจริงเช่นกัน
“ข้าก็ขอให้พี่เหยาเหยามีความสุข”
“ฮ่า ๆ ขอบคุณ”
เล่อเหยาเหยายิ้ม จากนั้นสบตากับฉีอิงอิง
ประจวบเหมาะกับเวลานี้ ตงฟางไป๋อุ้มเหลิ่งอวี้เซวียนเข้ามา เห็นเล่อเหยาเหยาและฉีอิงอิง ต่างยิ้มแย้ม อดเอ่ยถามอย่างแปลกใจไม่ได้
“กำลังคุยสิ่งใดกันหรือ พวกเจ้าถึงยิ้มอย่างมีความสุขเช่นนี้”
“ฮ่า ๆ นีคือความลับของผู้หญิง!”
สำหรับคำถามของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาหลังยิ้มให้กับฉีอิงอิง จึงกระพริบตาครู่หนึ่ง ก่อนอุบไม่ยอมเอ่ยออกมา
ตงฟางไป๋ได้ยินเพียงยิ้มอย่างอ่อนโยน
ความจริง สำหรับคำพูดเมื่อครู่ของพวกเล่อเหยาเหยา เขาไม่ได้สนใจ แต่สามารถเห็นบนใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้ามีรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง ถือเป็นเรื่องที่เขาปลื้มใจที่สุด
ดังนั้นเล่อเหยาเหยาไม่พูด เขาจะไม่เอ่ยถาม
สุดท้ายพวกเล่อเหยาเหยาต่างจุดโคมลอยของตน ก่อนมองโคมลอยที่ตนเขียนคำปรารถนาค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า บนใบหน้าเล่อเหยาเหยาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
ในใจอธิษฐานอย่างศรัทธา
หวังว่าความปรารถนาของเธอจะเป็นจริง หวังว่าจะสามารถพบกับอวี๋ได้อีกครั้ง
ขณะเล่อเหยาเหยาวาดหวังในใจ กลับไม่รู้ตัวเลยว่าด้านหลังเธอออกไปไม่ไกล มีเงาร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงนั้นตลอด พร้อมจ้องมองมาที่เธออย่างไม่ละสายตา
………………………………………………………………………………..
[1] เก๋งจีนที่ใกล้น้ำมักได้จันทร์ก่อน หมายถึง การที่เราไปอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย เราจะได้ประโยชน์ก่อนคนอื่นๆ