สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 207 คิดถึงเขาหรือไม่ (2)
กุมมือกันไปจนแก่เฒ่า
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ้มมุมปาก ดวงตาภายใต้หมวกคลุมหน้าสีดำระยิบระยับแฝงด้วยความหวัง แต่…
ความหวังงดงาม ความจริงกลับโหดร้าย
เรื่องประเภทนี้ เขาทำได้เพียงคิดเท่านั้น
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋มีเพียงทอดถอนใจ แววตาปรากฎความเสียใจขึ้นมา
…
ตอนกลางวัน ไซหย่าพาพวกเล่อเหยาเหยาชื่นชมทิวทัศน์ทุ่งหญ้าอันสวยงาม และอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับเผ่าเหมียวไม่น้อย
เล่อเหยาเหยารู้ว่าความจริงเผ่าเหมียวไม่ได้ขึ้นชื่อเพียงนมแกะ แกะย่างอาหารเลิศรสต่างๆ ยังมีวิชาใช้พิษกู่ ที่ทำให้ผู้คนคิดว่าลึกลับเหลือเชื่อ
เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาพลันคล้ายกับผู้อื่นเช่นกัน เกิดความประหลาดกับเรื่องพิษกู่
ทว่าเรื่องนี้มีเพียงคนเผ่าเหมียวเท่านั้นที่รู้ ไม่สามารถบอกสู่ภายนอกได้ เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้นก็ไม่ถามให้มากความ เพราะถือเป็นความลับส่วนตัวของพวกเขา
สำหรับเล่อเหยาเหยาที่แม้จะแปลกใจ แต่ว่ากลับเคารพไซหย่าไม่เอ่ยถามเรื่องนี้ สำหรับเรื่องนี้ทำให้ไซหย่ายิ่งรู้สึกดีกับชายหนุ่มตรงหน้านี้มากขึ้น
เพราะเธอมีอายุเหมาะสมออกเรือนได้แล้ว คนเผ่าเหมียวแต่งงานเร็ว อายุสิบขวบก็มีคนรักแล้ว เวลานี้เธออายุสิบสามแล้ว จึงถึงเวลาตามหาคู่ครองให้ตนเอง
มิฉะนั้นบิดามารดาจะร้อนใจเกี่ยวกับการแต่งงานของเธอ และคิดดูแล้วพี่สาวเธออายุสิบห้าแล้ว ทว่ายังคงครองตัวเป็นโสด!
ไซหย่าคิดในใจ เพื่อช่วยงานบิดามารดาจึงออกมาเลี้ยงแกะ
เนื้อแกะเล่อเหยาเหยาทานมามากมาย แต่การเชือดแกะนี้ เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นจึงกลัวเป็นพิเศษว่าเหลิ่งอวี้เซวียนจะหวาดกลัว จึงพาเขาออกไปเดินเล่นด้านนอก ส่วนชายหนุ่มย่อมติดตามอยู่ด้านหลังพวกเธอ
เมื่อเดินในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่มาทั้งวัน ชื่นชมแม่น้ำภูเขาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เวลานี้ยังมีสหายที่ดีร่วมเดินทาง สายลมเย็นพัดเอื่อย ไม่ไกลออกไปเริ่มก่อกองไฟขนาดใหญ่ขึ้น ผู้คนพลุกพล่านทางนั้นคือเผ่าเหมียวที่มารวมตัวกันและผู้คนที่มาท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย ทางนั้นพลางทานเนื้อแกะย่าง ดื่มสุรานมแกะ และยังมีการเต้นระบำที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าเหมียว ทำให้ผู้คนที่เห็นต่างชื่นชอบดีใจ
และเมื่อมองชายหนุ่มด้านหลังตนที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาพูดน้อย แต่เธอกลับสนใจเขาตลอดเวลา และเคยชินกับการมีเขาอยู่
เพียงเธอหมุนกายไม่ว่าเมื่อใด เขามักดุจเงาที่ตามติดเธออยู่ทางด้านหลัง และทำให้เธอเคยชิน
เคยชินคือเรื่องน่าหวาดกลัวอย่างหนึ่ง เพราะเพียงเคยชินกับของสิ่งหนึ่ง หากสูญเสียของสิ่งนั้นไป จะว่างเปล่าอย่างมากทีเดียว
“ท่านพี่ตูกู๋ ท่านต้องไปจริงหรือ”
สายลมพัดโชยมาจนเสื้อผ้าเล่อเหยาเหยาปลิวไสว เสื้อสีขาวดุจหิมะบนกายทำให้เธอดูสง่างาม มองแล้วดุจเทพเซียนไม่ยุ่งเรื่องทางโลก บริสุทธิ์ไร้ราคี
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ชายหนุ่มที่เงียบงันมาตลอด เพียงชะงักพลันส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา คล้ายคือคำตอบ
“ฮ่า ๆ ดูแล้วท่านคงไม่อยากอยู่ต่อจริงๆ ข้าไม่อาจบังคับท่าน ทว่าตอนนี้ท่านเต้นรำกับพวกเราได้หรือไม่”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดแสร้งกระพริบตาซุกซนให้กับชายหนุ่มไม่ได้
เห็นเพียงดวงตาคู่งามเปล่งประกาย คมเข้มชัดแจ๋ว ภายในแววตาคล้ายคือจุดรวบรวมแสงบนโลกอันงดงามที่สุด
เมื่อมองนาน ต่างทำให้คนอดยินยอมพร้อมใจถูกดูดวิญญานของตนไปไม่ได้
เห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มอดยิ้มจางๆ ก่อนพยักหน้า
ที่เผ่าเหมียวนี้ ไม่วาชายหรือหญิง ต่างสามารถเต้นระบำด้วยกันได้
และเวลานี้พวกเขาสามารถได้ยินเสียงเพลงแปลกประหลาดทว่าเพราะจับใจ แสงจากกองไฟไกลออกไปทางนั้น ส่วนทางนี้กลับมีแสงจันทร์เรืองรอง
เล่อเหยาเหยาและชายหนุ่มเรียนการเต้นระบำของเผ่าเหมียว ก่อนเต้นระบำด้วยกัน พร้อมหัวเราะ
ส่วนเหลิ่งอวี้เซวียนเห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกนึกสนุก อดเข้าร่วมเต้นไม่ได้ จึงกลายเป็นทั้งสามคนเต้นระบำด้วยกัน
เวลานี้ทุกคนต่างปล่อยวางเรื่องยุ่งยากใจลง ก่อนหัวเราะ ร้องตะโกน สนุกสนาน
จนกระทั่งไซหย่าเข้ามาบอกว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้แล้ว พวกเล่อเหยาเหยาจึงหยุดเต้นลง ก่อนตามไปทางด้านนั้นเพื่อลิ้มรสเนื้อแกะย่างอันโดดเด่นของเผ่าเหมียว พร้อมดื่มนมแกะและสุราจอกใหญ่
ก่อนมองเหล่าชายหญิงแต่งกายสวยงาม บนศีรษะสวมเครื่องประดับเงินเหล่านี้ ใบหน้ามีชีวิตชีวา เต้นระบำดูแปลกประหลาดทว่ากลับน่ามอง
คืนนี้เล่อเหยาเหยาดื่มหนัก
เพราะนานมากแล้วที่เธอไม่ได้มีความสุขเช่นวันนี้ ดังนั้นจึงพลันดื่มสุราไปไม่น้อย
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งอยู่ข้างกายเธอ อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ ก่อนยื่นมือหมายรับจอกสุราของเล่อเหยาเหยามา พลางเอ่ยว่า
“ไม่ต้องดื่มแล้ว ดื่มอีกเจ้าจะเมามาย”
“ฮ่า ๆ ท่านพี่ตูกู๋ วันนี้ข้ามีความสุข มีความสุขยิ่งนักจริงๆ!”
เอ่ยจบ เล่อเหยาเหยาดื่มสุราในจอกลงไปจนหมดเกลี้ยง
สุราบางส่วนไหลรินออกมาจากมุมปากของเธอ ก่อนไหลลงสองแก้มอมชมพูนั้น ท่ามกลางแสงไฟจากกองไฟร้อนแรง แสงประกายระยิบระยับ ทำให้เธองดงามเย้ายวนใจ คนที่เห็นจึงอดใจเต้นโครมครามไม่ได้
แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่รู้ว่าตนเวลานี้ งดงามน่ากลืนกินมากเพียงใด เพียงเอาแต่ดื่มสุราไม่หยุดเท่านั้น
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นอดข่มหัวใจเต้นของตนไม่ได้ ก่อนยื่นแขนชิงจอกสุราในมือเล่อเหยาเหยา เอ่ยเสียงแหบขึ้น
“ห้ามดื่มแล้ว”
“แต่ข้าอยากดื่มจะทำเช่นไร”
ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังได้ยินเสียงแหบพร่าของชายหนุ่มข้างกาย เล่อเหยาเหยาอดอยากคลอเคลียเขาไม่ได้ คล้ายอยากโอบกอดเขา ซบอยู่ในอ้อมอกกว้างแข็งแกร่งของเขา ออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ต่างๆ มากมาย
ความรู้สึกเช่นนี้ คุ้นเคยเสียจริง คล้ายกับ…
“อวี๋”
เล่อเหยาเหยาพึมพำเสียงเบาขึ้น แม้คำพูดของเธอจะแผ่วเบา แต่กลับยังดังวานเข้าสู่ใบหูของชายหนุ่ม
เมื่อได้ยิน เหลิ่งจวิ้นอวี๋หวั่นไหวทั่วร่าง ในใจตื่นตระหนก
เธอ กำลังคิดถึงเขาหรือ!
เหยาเหยา
เหยาเหยาของเขา
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งโศกเศร้าเสียใจ
สุดท้ายจึงดื่มสุราในมือจนหมด
เล่อเหยาเหยาเห็นรู้สึกไม่ยินยอม จึงทำปากยื่น และพึมพำอย่างโกรธเคืองและไม่พอใจ
“ท่านพี่ตูกู๋ นั่นคือสุราของข้า เหตุใดท่านจึงดื่มสุราของข้าจนหมด”
เล่อเหยาเหยามีท่าทางไม่พอใจ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นดวงตาใต้หมวกคลุมหน้าสีดำอดเปล่งประกายร้อนแรง ลูกกระเดือกขยับไปมาไม่ได้ สุดท้ายเขากลับเพียงข่มความร้อนระอุ ยุ่งเหยิงในใจเอาไว้ จากนั้นวางจอกสุราในมือลง ก่อนดึงตัวเล่อเหยาเหยาที่เมามายขึ้น ก่อนเอ่ยปากว่า
“เจ้าดื่มมากไปแล้ว พวกเราออกไปเดินเล่นเพื่อให้สร่างเมาเถิด!”
เล่อเหยาเหยาเดิมทีไม่พอใจ เพราะเธอยังอยากดื่มสุรา แต่สุดท้ายเมื่อเห็นมือใหญ่จับกุมบนข้อมือตนแน่นนั้น อดพยักหน้าอย่างเชื่อฟังไม่ได้
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้นอดพอใจไม่ได้ จากนั้นจึงเอ่ยกับพวกไซหย่าหลายประโยค ให้พวกเขาดูแลเซวียนเอ๋อร์สักครู่ จากนั้นดึงตัวเล่อเหยาเหยาเดินไปที่เนินเขา
จนกระทั่งหลังไกลจากเสียงหัวเราะ เสียงเพลงสนุกสนานคึกคักด้านหลัง พวกเขาก็เดินมาถึงบนเนินเขา
เห็นเพียงเนินเขานี้ ด้านล่างมีแม่น้ำอันเชี่ยวกรากสายหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อยืนอยู่บนเนินเขา จะสามารถได้ยินเสียงน้ำไหลจากด้านหลัง
พระจันทร์ลอยเด่น แสงจันทร์กระจ่างใสนั้นสาดส่องลงมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นสายลมแฝงความเย็น พัดโชยจนทำให้ผู้คนหนาวเหน็บ และบนกายเล่อเหยาเหยามีกลิ่นสุรากระจายออกมา
อย่างน้อยเล่อเหยาเหยาตอนนี้ ไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น สามารถยืนตรงได้
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายตน ถูกสายลมพัดจนเสื้อผ้าปลิวไสว หมวกคลุมหน้าสีดำบนศีรษะก็ไหวเอนไปตามสายลม
เห็นเช่นนั้น ในใจเล่อเหยาเหยาพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา หากเวลานี้ถอดหมวกคลุมหน้าสีดำของเขาออก จะสามารถเห็นใบหน้าของเขา
ความคิดนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในใจเธอ ดังนั้นมือของเธอจึงเคลื่อนไปอย่างมุ่งมาด
เพราะหลังได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่มนี้มาหลายวัน ความผิดหวังในตอนแรกของเธอที่เขาไม่ใช่อวี๋ ค่อยๆ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย
เพราะบนโลกนี้ไม่มีคนที่คล้ายคลึงกันสองคนขนาดนี้แน่
อาจเพราะเขาไม่รับรู้ แต่เธอกลับสนใจ
อวี๋ชอบทานเกี๊ยว เวลาทานจะใส่พริกไทย ไม่ชอบใส่น้ำส้ม
ส่วนชายหนุ่มตรงหน้าก็เช่นกัน
ครั้งก่อนกินเกี๊ยวในโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อร์นำน้ำส้มขึ้นมาให้ แต่เขาเรียกเสี่ยวเอ้อร์นำพริกไทยมาแทน
อวี๋ไม่ชอบทานต้นหอมซอย
ครั้งก่อนเสี่ยวเอ้อร์ไม่ระวังใส่ต้นหอมซอยลงไปในบะหมี่น้ำของเขา ถูกเขาคืนกลับไป
และเวลาอวี๋ขบคิด มักติดนิสัยลูบไล้นิ้วชี้ของตน
และชายหนุ่มตรงหน้านี้ก็ทำเช่นกัน
สำหรับเรื่องคล้ายคลึงกันเหล่านี้ ในใจเล่อเหยาเหยาจึงเต็มไปด้วยสงสัย
ทว่าสิ่งที่ทำให้เล่อเหยาเหยาสงสัยที่สุดคือ หากเขาเป็นอวี๋จริง เหตุใดจึงทำเป็นไม่รู้จักเธอ หรือเขามีเรื่องในใจที่พูดออกมาไม่ได้!
เขามีเรื่องในใจที่พูดออกมาไม่ได้ หรือเขาไม่คิดบอกกล่าวกับเธอ!
เธอสามารถแบ่งเบาความทุกข์ ทุกอย่างกับเขา ไม่ต้องการให้เขากังวลใจ ทนรับมันเพียงคนเดียว
ยิ่งคิด ในใจเล่อเหยาเหยายิ่งสับสนและขัดแย้งกัน
สองมือในชายเสื้อกำและคลายออกไม่หยุด ก่อนมองหมวกคลุมหน้าสีดำปลิวไสวนั้น ด้วยความอยากรู้
เปิดมันออก เพียงเปิดมันออก จะได้ทราบถึงสิ่งที่เธออยากรู้
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในใจเล่อเหยาเหยาไม่หยุด
แต่ขณะเล่อเหยาเหยาสูดหายใจเข้าไม่หยุด คิดรวบรวมกำลังใจเพื่อเปิดหมวกคลุมหน้าสีดำนั้น คิดไม่ถึงทันใดนั้น ชายหนุ่มข้างกายกลับพลันเอ่ยปากขึ้นมา
“พวกเรา แยกจากกันตรงนี้เถิด!”
“อะไรนะ!”
เล่อเหยาเหยากำลังตกอยู่ในความคิดของตน พลันได้ยินประโยคนี้ของชายหนุ่มดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ร่างกายจึงคล้ายดุจถูกฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ปากเล็กอ้าออก มองไปยังชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ข้างกายอย่างโง่งม พลันไร้หนทางยอมรับประโยคนี้ของชายหนุ่ม
แยกกันหรือ!
ที่นี่หรือ!
“อืม น้องเล่อ ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา พวกเราบอกลากันตรงนี้เถิด!”
ชายหนุ่มเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง เอ่ยจบเห็นเขาหมุนกายอย่างสง่างาม ไม่หันศีรษะกลับมา มองตรงไปด้านหน้า
ท่าทางนั้น จากไปอย่างเงียบเชียบ เฉกเช่นดังที่มา
…………………………………………………………………………………..