สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 210 อวี๋พวกเรากลับบ้านกันเถิด
เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงภายในสมองของตนคล้ายถูกฟ้าผ่า พลันขาวโพลนทันที
ใบหน้าดีใจอย่างยิ่งนั้น หลังได้ยินประโยคนี้ของชายหนุ่ม ดวงตาเบิกกว้าง ปากเล็กอ้าค้าง ตะลึงงันอย่างไม่เชื่อสายตา
ผ่านไปนาน เล่อเหยาเหยาจึงตามหาเสียงตนกลับมาได้ ก่อนเอ่ยปากอย่างเหลือเชื่อขึ้น
“อวี๋ ท่านล้อข้าเล่นใช่หรือไม่ ข้าคือเหยาเหยา ท่านเป็นสิ่งใดกันแน่ อวี๋”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา และเห็นท่าทางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและปวดใจของเธอ ชายหนุ่มเพียงขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย คล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ หลังจากนั้นเอ่ยปากขึ้น
“เจ้ารู้จักข้าจริงๆ หรือ”
“ย่อมแน่อยู่แล้ว อวี๋ ข้าตามหาท่านอย่างยากลำบาก เหตุใดท่านจึงกลายเป็นเช่นนี้เหตุใดจึงลืมเลือนข้า ข้าคือเหยาเหยา!”
เมื่อเห็นสายตาแปลกประหลาดที่ชายหนุ่มมองตน ทำให้เล่อเหยาเหยามองด้วยหัวใจถูกเฉือนออกเป็นชิ้นๆ อย่างเจ็บปวด
น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้ว เวลานี้เอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนไหลรินลงอาบสองแก้ม
เธอตอนนี้ ทั้งเจ็บปวด เหนื่อยล้า และลำบากใจอย่างยิ่ง
เพื่อชายผู้นี้ เธอออกตามค้นหาอยู่เป็นเวลานาน คิดไม่ถึง ไม่ง่ายกว่าจะได้เจอตัวเขา ชายผู้นี้กลับลืมเลือนเธอจนหมดสิ้น จะไม่ให้เธอเสียใจได้เช่นไร!
ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยายิ่งเสียใจ น้ำตานั้นคล้ายเขื่อนพังทลาย ไหลทะลักลงมาไม่หยุด
ส่วนชายหนุ่มเมื่อเห็นหญิงสาวงดงามตรงหน้าร้องไห้อย่างน่าสงสาร แม้ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าหญิงสาวนี้คือผู้ใด แต่ไม่รู้เหตุใดเมื่อเห็นเธอร้องไห้ ในใจเขากลับคล้ายมีมีดแหลมคมทิ่มแทงในใจจนเจ็บปวด!
ขณะคิดในใจ สายตาที่ชายหนุ่มมองเล่อเหยาเหยาค่อยๆ ปรากฎความสงสารปวดใจขึ้นโดยไม่รู้ตัว
และสีหน้าของชายหนุ่ม ตกอยู่ในสายตาของหญิงสาวชุดสีม่วงข้างกายเขาทันที ทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นชั่วขณะ แววตาปรากฎความตื่นตระหนกขึ้นมา
ในใจจึงร้อนรนและกังวล
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!
เหตุใดพี่เหลิ่งจึงเผยสายตาเช่นนี้ให้กับหญิงสาวตรงหน้านี้
ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ใกล้ชิดกันมา เธอวางกู่หนอนพิษลุ่มหลงให้แก่เขา พี่เหลิ่งไม่เคยมีสายตาสงสารเห็นใจเธอเช่นนี้มาก่อน หรือกู่หนอนพิษลุ่มหลงของเธอจะไร้ผล!
และหญิงที่พี่เหลิ่งรัก คือหญิงสาวตรงหน้านี้หรือ!
ไม่ ไม่ใช่เช่นนี้แน่!
พอคิดถึงตรงนี้ หญิงสาวหวั่นวิตก เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องที่เธอไม่อยากเห็นขึ้น หญิงสาวจึงรีบร้อนวางเงินลง ก่อนดึงตัวชายหนุ่มจากไป
“พี่เหลิ่ง พวกเราไปกันเถิด!”
เอ่ยจบ หญิงสาวพลันดึงมือชายหนุ่มขึ้น หมายรีบร้อนจากไป
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาจะปล่อยให้พวกเขาจากไปได้เช่นไร!
ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงยืนขวางหน้าพวกเขาทันที ก่อนเอ่ยขึ้น
“ไม่ อวี๋ ท่านจะไปจากข้าเช่นนี้ไม่ได้!”
“ขออภัย ท่านคงจำคนผิดแล้ว เขาไม่ใช่อวี๋ของท่าน เขาคือคู่หมั้นของข้า!”
เห็นเล่อเหยาเหยาขัดขวาง แววตาของหญิงสาวปรากฎความตื่นตระหนก และความตื่นตระหนกนั้นเกิดขึ้นเพียงแวบเดียว ทันใดนั้นปรากฎความโมโหไม่พอใจขึ้นมา
คล้ายแม่ไก่ตั้งท่าป้องกันไม่ให้เล่อเหยาเหยาที่เปรียบเหมือนนกอินทรีแย่งชิงสิ่งของของตนไป
ส่วนเล่อเหยาเหยาหลังได้ยินคำพูดของหญิงสาว ร่างกายสั่นไหวอีกครั้ง ก่อนเอ่ยอย่างตกใจไม่เชื่อสายตา
“อะไรนะ เขาคือคู่หมั้นของเจ้าหรือ!”
คู่หมั้น คำนี้ดุจลูกธนูพุ่งเข้าสู่หัวใจของเล่อเหยาเหยา ทำให้เธอเจ็บปวดดังไฟแผดเผา ก่อนรับกับการจู่โจมนี้ไม่ไหว ร่างกายจึงโอนเอียงชั่วขณะคล้ายจะล้มลงไป
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น คิ้วงามพลันขมวดมุ่น ก่อนยื่นมือออกไปรับร่างผอมแห้งของเล่อเหยาเหยาไว้ทันที แววตาเต็มไปด้วยความปวดใจโดยที่ตนไม่รู้ตัว
“แม่นาง ท่าน ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่!”
“อวี๋ ท่านเป็นห่วงข้าหรือ ความจริงในใจของท่าน ยังมีข้าอยู่ใช่หรือไม่!”
เมื่อเห็นชายหนุ่มประคองเธอ ภายในแววตาอันคุ้นเคยนั้นเต็มไปด้วยความกังวลห่วงใยในตัวเธอ หัวใจที่ปวดร้าวของเล่อเหยาเหยา อดเริ่มมีความหวังขึ้นมาไม่ได้
เพราะเธอรู้สึกว่าอวี๋สูญเสียความทรงจำเพราะเหตุผลบางอย่าง แต่ในใจเขายังคงมีเธออยู่ แม้เพียงเล็กน้อย
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาดีใจเป็นที่สุด ท่าทางน่าสงสารนั้น ดุจดอกบัวอ่อนช้อยงดงาม ทำให้คนมองอดจิตใจฟุ้งซ่าน สั่นไหวเป็นระลอกคลื่นไม่ได้
และชายหนุ่มที่เห็นเช่นนั้น ก็หัวใจอดเต้นแรงไม่ได้เช่นกัน
คล้ายใจของเขาถูกโยนก้อนหินขนาดเล็กเข้าไป จนกระเพื่อมเป็นคลื่นขึ้นมา
และใบหน้าเล็กงดงามด้านล่างนั้น ก่อนหน้านี้เขาคล้ายเคยได้พบมาก่อน
“แม่นาง เจ้าคุ้นหน้ายิ่งนัก ข้าเคยเจอท่านที่ใดมาก่อนหรือ!”
“ฮ่า ๆ ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว พวกเราไม่เพียงเคยพบหน้ากัน พวกเราล้วนกระทั่งมีบุตรด้วยกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม น้ำตาเล่อเหยาเหยายิ่งไหลหนักขึ้น แต่มุมปากกลับค่อยๆ ฉีกยิ้มออกมา
เพราะอวี๋จำเธอได้ ดังนั้นเธอจะไม่ดีใจเช่นไร!
แต่ประโยคนี้ของเล่อเหยาเหยา คล้ายขีปนาวุธลูกหนึ่งระเบิดอยู่ตรงนั้น
“อะไรนะ บุตร พวกท่านมีบุตรด้วยกันหรือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเล่อเหยาเหยา ชายหนุ่มไม่เอ่ยสิ่งใด กลับเป็นหญิงสาวชุดสีม่วงด้านข้าง รับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ไหว จึงร้องอย่างตกใจ
“ไม่ ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!”
เห็นเพียงสาวชุดสีม่วงมีท่าทางรับไม่ได้ ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ก่อนมองพวกเล่อเหยาเหยาอย่างตกตะลึง
และเวลานี้เล่อเหยาเหยาจึงพบว่า ที่แท้คนที่อยู่กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋คือสองพี่น้องคู่หนึ่ง
หญิงสาวชุดสีม่วงนี้ เห็นชัดว่าชื่นชอบอวี๋
และอีกคนอายุค่อนข้างน้อยนั้น กลับเป็นคนที่เล่อเหยาเหยารู้จักมาก่อน
“ไซหย่า เจ้านี่เอง!”
“เหตุใดท่านจึงรู้ชื่อของข้า!”
สำหรับเสียงร้องอย่างตกใจของเล่อเหยาเหยา ไซหย่ากลับเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา
ทันใดนั้น เมื่อเห็นใบหน้าของเล่อเหยาเหยา แววตาของไซหย่าปรากฎความสงสัยหลายส่วน
“ท่าน ข้าคล้ายเคยพบท่านมาก่อน”
เมื่อได้ยินคำพูดของไซหย่า เล่อเหยาเหยาจึงชะงักและไม่คิดปิดบัง ก่อนพลันเอ่ยปากขึ้น
“ไซหย่า พวกเราเคยพบกันมาก่อน หนึ่งเดือนก่อนข้าปลอมตัวเป็นบุรุษพาเซวียนเอ๋อร์ และชายชุดสวมหมวกคลุมหน้าสีดำไปที่เผ่าของพวกเจ้า”
“อะไรนะ ท่านคือ…”
เมื่อได้ยินคำพูดเล่อเหยาเหยา ไซหย่าพลันฉุกคิดขึ้นมา ก่อนร้องขึ้นอย่างตกใจ
“ทะ…ท่าน ท่านคือพี่เล่อหรือ!”
“ถูกต้อง”
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาแม้จะรู้สึกละอายใจ แต่ยังเอ่ยพูดความจริง
ไซหย่าได้ยิน สีหน้าที่เคยตกตะลึงถูกความเสียใจเข้ามาแทนที่
“ท่าน พี่เล่อ ท่าน ท่านคือสตรี”
“ใช่ ขออภัยด้วยไซหย่า”
เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงอย่างหนักของไซหย่า เล่อเหยาเหยาจึงเอ่ยขอโทษ
ไซหย่าได้ยิน เพียงยืนเงียบอยู่ตรงนั้น
และหญิงสาวชุดสีม่วง ก็คือไซฉีพี่สาวของไซหย่า หลังได้ยินบทสนทนาระหว่างไซหย่าและเล่อเหยาเหยา แววตาก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“ไซหย่า พวกเจ้ารู้จักกันหรือ!”
“ใช่ พี่ใหญ่ เธอคือแขกที่มาบ้านเราครั้งก่อน ตอนนั้นท่านขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร ดังนั้นจึงไม่อยู่”
ไซหย่าก้มหน้าเอ่ยขึ้น เห็นชัดว่ายังไม่ได้สติจากความจริงเรื่องคนที่ตนรักคือสตรี
ไซฉีเห็นเช่นนั้น เพียงเม้มริมฝีปากแน่น ทันใดนั้นไม่สนใจไซหย่าอีก และจับมือชายหนุ่มไว้แน่น ก่อนดึงเขากลับมาอยู่ข้างกายตน
“พี่เหลิ่ง พวกเรากลับบ้านกันเถิด!”
“ไม่ อวี๋ ท่านจะไปกับนางไม่ได้ ท่านหายตัวมานานแล้ว กว่าข้าจะตามหาท่านเจอไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมทีข้าคิดว่าท่านตายไปแล้ว ขอบคุณสวรรค์ ท่านยังไม่ตาย”
เล่อเหยาเหยาเห็นไซฉีกุมมือใหญ่ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไว้แน่น แววตาเต็มไปด้วยการแสดงความเป็นเจ้าของ ทำให้เล่อเหยาเหยารับไม่ได้อย่างยิ่ง
ส่วนฉีอิงอิง ที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้า พลันเดินเข้ามาเอ่ยปากกับไซฉีว่า
“แม่นางท่านนี้ ท่านโปรดปล่อยมือพี่อวี๋ได้หรือไม่ พี่อวี๋คือสามีของพี่เหยาเหยาของข้า บุตรของพวกเขาอายุห้าขวบแล้ว!”
ฉีอิงอิง เห็นชัดว่าไซฉีชื่นชอบเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงพลันเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
ไซฉีได้ยิน ในใจเจ็บปวด ดวงตาคู่งามมองชายหนุ่มข้างกาย ไม่นานพลันปกคลุมด้วยหมอกพร่ามัว
ทว่าไซฉีไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงขณะที่น้ำตาใกล้จะไหลรินลงมา พุ่งทะยานออกไปจากโรงน้ำชาทันที
“ท่านพี่”
“ไซฉี”
เห็นเช่นนั้น ไซหย่าและเหลิ่งจวิ้นอวี๋ต่างร้องอย่างตกใจ
แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับไม่ไล่ตามไป ไซหย่าที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น มองเล่อเหยาเหยาก่อนสลับไปมองเหลิ่งจวิ้นอวี๋ สุดท้ายถอนหายใจออกมา ก่อนไล่ตามออกไป
จนกระทั่งหลังจากสองพี่น้องไซฉีและไซหย่าออกจากโรงน้ำชาไป เล่อเหยาเหยาจึงหันกลับมามองชายหนุ่มตรงหน้า
ในใจรู้สึกดีใจยิ่งนัก
“อวี๋ ข้ารู้ว่าท่านยังไม่ตาย ดียิ่งนัก”
“เจ้ารู้จักข้าจริงหรือ เช่นนั้น ข้าคือผู้ใด!”
เมื่อเห็นท่าทางดีใจเป็นที่สุดของเล่อเหยาเหยา แม้ภายในสมองเขาจะไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับเธอ แต่เมื่อมองหญิงสาวตรงหน้า เขากลับรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
คล้ายหญิงสาวผู้นี้สลักลึกอยู่ในใจของเขา ดังนั้นเวลานี้เมื่อเห็นเธอ จึงไม่รู้สึกแปลกหน้า
เมื่อก้มมองใบหน้างดงามนี้เงียบๆ มองท่าทางดีใจของเธอ น้ำตาแวววาวนั้นคล้ายไข่มุกที่ร่วงหล่นจากสร้อยขาดลงมา
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น คิ้วงามอดขมวดเป็นปมไม่ได้ ทันใดนั้นเขายื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาแวววาวนั้นอย่างช้าๆ
ริมฝีปากบางเผยอเอ่ยขึ้น
“เจ้า อย่าร้องไห้อีกเลย”
เพราะไม่รู้เหตุใด เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าร้องไห้ ในใจเขาจึงเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกมีดเฉือน
เล่อเหยาเหยาได้ยิน อดยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยขึ้นไม่ได้
“ได้ ข้าจะไม่ร้องไห้ อวี๋ท่านยังไม่ตาย ท่านกลับมาแล้ว เช่นนั้นข้ายังจะร้องไห้อีกทำไม ฮ่า ๆ”
เล่อเหยาเหยากล่าวพลางหัวเราะขึ้นมา
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นหญิงสาวตรงหน้าทั้งร้องไห้และหัวเราะ ในใจอดคลายลงไม่ได้
สายตาที่มองหญิงสาว อ่อนโยนจนแม้กระทั่งเขาก็ไม่รู้ตัว
ส่วนฉีอิงอิง ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น อดยินดีและดีใจแทนเล่อเหยาเหยาไม่ได้ ก่อนรีบเอ่ยอยู่ด้านข้าง
“พี่เหยาเหยา พวกเรากลับกันก่อนเถิด ที่นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุยกันได้สะดวก”
“อืม ใช่ พวกเรากลับไปก่อนค่อยพูดคุยกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉีอิงอิง เล่อเหยาเหยาพยักหน้าเห็นพ้อง พลันหันไปเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า
“อวี๋ พวกเรากลับบ้านกันเถิด!”
…………………………………………………………………………………..