สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 213 เพื่อนแท้ยามยาก (2)
แต่เธอยังไม่รู้สึกเจ็บ ในใจกลับพลันกังวลขึ้นมา
“อวี๋ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่!”
“เหยาเหยา เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่!”
เสียงจากปากของทั้งสองคนดังขึ้นพร้อมกัน เล่อเหยาเหยาและเหลิ่งจวิ้นอวี๋หลังเอ่ยจบสบตามองกัน ขณะเห็นแววตากังวลของอีกฝ่าย ในใจพลันยินดีและซาบซึ้งใจ
เพราะระหว่างความเป็นความตาย สิ่งที่พวกเขาคิดอันดับแรกคืออีกฝ่าย!
สายตายินดีของเล่อเหยาเหยา หลังจากนั้นก็พลันตกใจเพราะเห็นหน้าผากของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ถลอก ถูกความวิตกกังวลเข้ามาแทนที่
“สวรรค์ อวี๋ ท่านได้รับบาดเจ็บ!”
เมื่อเห็นบนหน้ามนของเหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับบวมเป่ง เล่อเหยาเหยาปวดใจอย่างที่สุด นึกถึงเมื่อครู่ขณะที่พวกเธอกลิ้งตกลงมา อวี๋ใช้ร่างกายตนปกป้องเธอเอาไว้ ดังนั้นตอนนี้เธอจึงรู้สึกเพียงเวียนศีรษะ แต่ร่างกายไร้บาดแผล
พอคิดถึงตรงนี้ สำหรับชายหนุ่มตรงหน้าเล่อเหยาเหยาจึงทั้งรักและซาบซึ้ง
“อวี๋ ให้ข้าดูแผลบนหน้าผากให้เถิด!”
“ไม่เป็นไร เพียงไม่ระวังจึงกระแทกเท่านั้น”
เมื่อเห็นท่าทางเต็มไปด้วยความกังวลของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋รีบเอ่ยปลอบใจ
ทันใดนั้นคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ ดวงตาเย็นชาพลันกวาดมองร่างกายเล่อเหยาเหยาหนึ่งรอบ ก่อนเอ่ยถามอย่างกังวล
“เหยาเหยา เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่!”
เห็นท่าทางกังวลเช่นนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาจึงยิ้มมุมปาก
“ข้าไม่เป็นไร …”
เล่อเหยาเหยาเดิมทีคิดปลอบเหลิ่งจวิ้นอวี๋ คิดไม่ถึงกลับไม่ระวังสะดุดเข้าที่แผลบนขา
ก่อนรู้สึกถึงความเจ็บปวดบนขา ทำให้เล่อเหยาเหยาอดขมวดคิ้วมุ่น ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดไม่ได้
เล่อเหยาเหยาที่คิดลุกขึ้นตอนนี้ เมื่อครู่ถูกงูพิษกัด แต่ว่ายังไม่ทันรู้สึกตัว กลิ้งตกลงมาที่นี่พร้อมอวี๋เสียก่อน
เมื่อครู่ไม่รู้สึก ตอนนี้หลังรับรู้เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงบนขาตน คล้ายถูกมีดเล็กอันแหลมคมทิ่มแทงลงไปจนปวดร้าว!
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นท่าทางเจ็บปวดของเล่อเหยาเหยา ดวงตาเย็นชากวาดมองไป ก่อนพบบาดแผลบนขาของเล่อเหยาเหยา
คิ้วงามคู่นั้นพลันขมวดมุ่น
“ไม่ดีแล้ว เจ้าถูกงูพิษกัดเข้า!”
เอ่ยจบ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยื่นมือเลิกขากางเกงเล่อเหยาเหยาขึ้นทันที และถอดรองเท้าออก
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น พลันรู้ว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะทำสิ่งใด จึงรีบเอ่ยยับยั้ง
“ไม่ อวี๋ งูนี้มีพิษ ท่านห้าม อา…”
เล่อเหยาเหยายังเอ่ยไม่จบ เห็นชายหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ก่อนก้มลงดูดบาดแผลของเล่อเหยาเหยาทันที
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น อดสูดหายใจไม่ได้
แต่เมื่อเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่สนใจการยับยั้งของเธอ ตั้งหน้าดูดพิษงู เล่อเหยาเหยาอ้าปากพะงาบ และไม่เอ่ยปากออกมาอีก
ทว่าดวงตาคู่งามนั้นกลับเต็มไปด้วยไอหมอก
นี่มิใช่เพื่อนแท้ยามยากหรือ!
เล่อเหยาเหยาคิดอย่างซาบซึ้ง ในที่สุดเหลิ่งจวิ้นอวี๋ดูดพิษงูให้เธอเสร็จ ก่อนฉีกเสื้อพันแผลบนขาของเธอ เล่อเหยาเหยาได้สติกลับมา มองชายหนุ่มที่บนปากยังมีคราบเลือดพร้อมเอ่ยขึ้น
“อวี๋ งูนี้มีพิษ ท่านไม่กลัวหรือ!”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยคำพูดนี้ ด้วยน้ำเสียงแฝงความกังวลและตำหนิอย่างไม่ปิดบัง
แต่ชายหนุ่มหลังได้ยินคำพูดของเธอ เพียงยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยว่า
“หมีดำตัวโตแสนดุร้ายเมื่อครู่นั้น เจ้าเบี่ยงเบนความสนใจมันเพื่อข้ามิใช่หรือ เจ้าไม่กลัว เหตุใดข้าต้องกลัวด้วย!”
เพียงนึกถึงเมื่อครู่เล่อเหยาเหยาทำเพื่อเขา จึงตั้งใจอุ้มลูกหมีดำเบี่ยงเบนความสนใจหมีดำตัวใหญ่ ตอนนี้คิดดูแล้ว ในใจของเขายังคงหวาดกลัว
หากหญิงสาวตรงหน้าไม่มีวิชาตัวเบาที่ไม่เลว เขาไม่กล้าคิดถึงผลลัพธ์ตอนสุดท้ายจริงๆ
“คนโง่ ต่อไปห้ามทำเรื่องอันตรายเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่!”
“อวี๋ ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านกังวลใจ ตอนนั้นข้าไม่ทันคิด เพียงไม่ต้องการให้ท่านบาดเจ็บ ดังนั้นจึง…”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาไม่รู้ควรพูดสิ่งใดต่อไปดี
จึงอดกัดริมฝีปากไม่ได้ พร้อมหลุบดวงตาคู่งามลง
ท่าทางนั้น คล้ายนักเรียนเกรงกลัวอาจารย์ตำหนิหลังทำผิด
แต่เธอกลับไม่รู้เลยว่าตนเวลานี้ ในสายตาของบางคนงดงาม น่าเอ็นดูมากเพียงใด!
ทำให้ชายหนุ่มมองอย่างฟุ้งซ่าน ขยับลูกกระเดือก สายตาที่มองเล่อเหยาเหยายิ่งร้อนแรงขึ้นมา
หลังเล่อเหยาเหยารับรู้เรื่องนี้ ยังไม่ทันตั้งตัวรู้สึกเพียงใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้านี้ชิดใกล้เข้ามา ทันใดนั้นริมฝีปากนุ่มของตนนั้นพลันถูกชายหนุ่มประกบลง
แยกจากกันห้าปี นี่คือจุมพิตอีกครั้งในรอบห้าปีมานี้
แม้ห้าปีที่ผ่านมาจะไม่ได้จุมพิตกับชายหนุ่มตรงหน้าเช่นนี้ แต่สำหรับจุมพิตของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาไม่รู้สึกแปลกใหม่แม้แต่นิดเดียว
เมื่อรับรู้ถึงจุมพิตอ่อนโยนของชายหนุ่ม ดูระแวดระวัง ก่อนสอดลิ้นเข้ามาพัวพันลิ้นเล็กของเธอไม่หยุด ทำให้เธออดค่อยๆ ลุ่มหลง จนมิอาจถอนตัวได้
จนกระทั่งไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด คล้ายยาวนานเป็นศตวรรษ จุมพิตยากผละห่างของคนทั้งสอง เพราะใกล้หมดลมหายใจจึงจำต้องแยกจากกัน
เมื่อพลันผละริมฝีปากออก พวกเขาเวลานี้ต่างเห็นคราบน้ำหวานบนริมฝีปากของอีกฝ่าย
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น สองแก้มร้อนผ่าว ดวงตาคู่งามอดหลุบลงไม่ได้ พลางหายใจติดขัดและเม้มริมฝีปากของตน
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น ความร้อนแรงในแววตาไม่สลายไป ก่อนเห็นภายใต้แสงจันทร์บนริมฝีปากของหญิงสาวยังมีน้ำผึ้งติดอยู่ จึงเดินเข้าไปอย่างอดใจไม่ได้ ก่อนจุมพิตริมฝีปากเปื้อนน้ำผึ้งของหญิงสาว
“อา…”
เมื่อถูกชายหนุ่มกระทำอย่างแนบชิดเช่นนี้จึงพลันตกใจ ก่อนเล่อเหยาเหยาอดถอยร่นไปด้านหลัง จนแทบล้มลงไม่ได้ โชคดีเหลิ่งจวิ้นอวี๋ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดได้ทันเวลา
“ระวังหกล้ม”
“เอ่อ นี่เป็นเพราะท่าน”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาอดกระซิบเสียงเบาออกมาไม่ได้ ชายหนุ่มได้ยินจึงมีสีหน้าเก้อเขิน สองแก้มอดแดงก่ำขึ้นไม่ได้
โชคดีเวลานี้มีแสงจันทร์ปกคลุม จึงทำให้ผู้คนมองไม่เห็นความผิดปกติของเขา
และในป่าตอนกลางคืนหนาวเย็นยิ่งนัก
ดังนั้นเล่อเหยาเหยาที่นั่งอยู่บนพื้นเป็นเวลานานและโดนลมเย็น อดสั่นเทาไม่ได้
หลังชายหนุ่มรับรู้ สองแขนที่โอบกอดเธออยู่อดรัดแน่นขึ้นไม่ได้
“หนาวมากหรือ”
“”อืม
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาตอบเสียงเบา
เมื่อถูกชายหนุ่มกอดเช่นนี้ สูดกลิ่นอันคุ้นเคยบนกายชายหนุ่ม และอ้อมกอดอันอบอุ่น ทำให้เธอรู้สึกว่าเรือน้อยอันโดดเดี่ยวเช่นตนนี้ ในที่สุดก็ตามหาท่าเรือของตนเจอ และไม่ต้องหวาดกลัวลมพายุใดๆ อีก เพราะแม้จะอันตราย อวี๋อยู่ข้างกายเธอ
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันไม่รู้สึกหนาวเหน็บ
เพราะความอบอุ่นในใจเธอนั้นอบอุ่นจนทะลักออกมา
พอคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าเล็กของเล่อเหาเหยาอดคลอเคลียบนกายชายหนุ่มไม่ได้ ท่าทางนั้นดูเกียจคร้านและออดอ้อน คล้ายแมวน้อยแสนน่ารักตัวหนึ่ง ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นยิ้มมุมปาก แววตาอ่อนโยนอย่างที่สุด
แต่ว่าชายหนุ่มกลับไม่พูดจา เพียงโอบกอดเล่อเหยาเหยา จากนั้นให้เล่อเหยาเหยาหยิบคบไฟที่หล่นลงบนพื้นขึ้นมา ก่อนดวงตาเย็นชากวาดมองรอบด้าน ทันใดนั้นคล้ายพบบางอย่างเข้า ดวงตาเย็นชาจึงเป็นประกายชั่วขณะพร้อมเอ่ยขึ้น
“ตรงนั้นมีถ้ำ พวกเราไปพักกันที่นั้นกันเถิด”
เอ่ยจบ เหลิ่งจวิ้นอวี๋อุ้มเล่อเหยาเหยาเดินตรงไปยังถ้ำนั้น
ป่ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายมากมาย โดยเฉพาะในถ้ำพวกนั้น ไม่รู้ด้านในมีสิ่งใดรอพวกเขาอยู่
เล่อเหยาเหยารู้สึกว่าตนวันนี้เหนื่อยล้ายิ่ง ดังนั้นเมื่อมาถึงหน้าถ้ำ เธอห้ามไม่ให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋เข้าไปก่อน หยิบก้อนหินบนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วโยนเข้าไปภายในถ้ำ
เห็นภายในถ้ำนอกจากเสียงของหินตกลงบนพื้น ไม่มีเสียงแปลกประหลาดใดดังขึ้น เล่อเหยาเหยาจึงวางใจ ค่อยให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋อุ้มเธอเข้าไป
ถ้ำนี้มีขนาดไม่ใหญ่ แต่กลับเป็นสถานที่ที่ดีในการหลบความหนาวเย็น
ดังนั้นหลังเล่อเหยาเหยาและเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเข้ามาด้านใน เหลิ่งจวิ้นอวี๋วางตัวเล่อเหยาเหยาลงบนพื้น จากนั้นตนเองออกไปเก็บพวกกิ่งไม้แห้งกลับมาจุดไฟ
หลังกิ่งไม้ติดไฟจนลุกไหม้ขึ้น ภายในถ้ำที่มืดมิดหนาวเย็น พลันเปลี่ยนเป็นสว่างอบอุ่นขึ้นมา
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น รีบยกมือออกไปข้างกองไฟเพื่อรับความอบอุ่น เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับออกไปส่งสัญญานอยู่หน้าถ้ำ เพื่อให้พวกตงฟางไป๋รู้ตำแหน่งที่อยู่ของพวกเขา
หลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋เดินเข้ามาในถ้ำ เล่อเหยาเหยาที่กำลังผิงไฟเพิ่มความอบอุ่นพลันดึงเขานั่งลงข้างกายเธอ ดวงตาคู่งามจ้องบนหน้าผากของเขา ก่อนเอ่ยอย่างกังวลใจ
“ให้ข้าดูที่หน้าผากท่านหน่อยเถิด”
“เหยาเหยา ไม่เป็นไร เพียงเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”
เมื่อเห็นนิ้วของเล่อเหยาเหยาลูบลงบนหน้าผากตนอย่างอ่อนโยน เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดยื่นมือ นำมือเล็กที่เย็นชืดของเล่อเหยาเหยามากุมไว้ในมือใหญ่ของตนไม่ได้
เมื่อรู้สึกถึงมือเรียวอ่อนนุ่ม เรียบลื่นในมือ ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดใจเต้นไม่ได้
โดยเฉพาะเมื่อเห็นริมฝีปากอมชมพูในระยะประชิด อดทำให้เขานึกถึงจุมพิตอันหอมหวานอย่างเหลือเชื่อเมื่อครู่ไม่ได้ พอคิดถึงตรงนี้ ใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เกิดความคิดร้ายกาจขึ้นมา
ริมฝีปากบางรูปกระจับนั้น อดเคลื่อนเข้าไปใกล้ริมฝีปากนุ่มของเล่อเหยาเหยาอย่างช้าๆ ไม่ได้
แต่ขณะที่ริมฝีปากของเหลิ่งจวิ้นอวี๋กำลังจะประกบลงบนริมฝีปากนุ่มของเล่อเหยาเหยา กลับเห็นเล่อเหยาเหยาที่ยังไม่รู้ตัว คล้ายฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ ดวงตาเป็นประกาย ก่อนร้องออกมาอย่างดีใจ
“จริงสิ เหตุใดข้าจึงลืมได้ ข้าพกยาแก้ฟกช้ำติดตัวมาด้วย!”
เพราะเซวียนเอ๋อร์ยังเด็กจึงมักซุกซน ส่วนใหญ่จึงมักมีบาดแผลฟกซ้ำ ดังนั้นเธอจึงมักพกยาแก้ฟกช้ำพวกนี้ติดตัวตลอด เพื่อเตรียมรับมือ
แต่เมื่อครู่โกลาหลเกินไป ทำให้เธอจึงลืมเลือน ตอนนี้ในที่สุดนึกขึ้นได้ เล่อเหยาเหยาพลันล้วงขวดยาออกมาจากสายรัดเอว ก่อนเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างดีใจ
“มา ข้าจะทายาให้ท่านเอง!”
เมื่อจุมพิตที่คิดถึงหายไป เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดหงุดหงิดไม่ได้
แต่เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาห่วงใยตนเช่นนี้ ในใจหวานชื่น คล้ายภายในใจอาบด้วยน้ำผึ้ง
นี่คือหญิงสาวที่ทำให้เขาทั้งรักและสงสาร
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ถอนหายใจ ทว่าเขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงให้เล่อเหยาเหยาทายาให้ตนอย่างอ่อนโยน
เมื่อรู้สึกว่านิ้วของหญิงสาวเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม อ่อนโยน เบาบาง คล้ายลูกขนไก่ปัดผ่านบาดแผลบนหน้าผากของเขาไป จากนั้นก็รู้สึกเย็นสดชื่นขึ้นมา
ทำให้ดวงตาเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อดหรี่ลง ด้วยสีหน้าพออกพอใจ
ท่าทางนั้นมองดูแล้ว คล้ายเสือดาวแสนเกียจคร้านงามสง่าตัวหนึ่ง เปี่ยมด้วยเสน่ห์ไร้ขีดจำกัด!
………………………………………………………………………………….