สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 226 จุมพิตแรก (2) (รีไรท์)
ตอนนี้ซินเอ๋อร์ทุกข์ทรมาน รอคอยคำตอบของชายหนุ่ม คิดไม่ถึงชายหนุ่มกลับยื่นนิ้วลูบไล้ริมฝีปากตน คล้ายกำลังขบคิดบางอย่าง
ซินเอ๋อร์เห็นเช่นนั้น ไม่กล้าแม้หายใจ ดวงตาจับจ้องที่ใบหน้าของชายหนุ่ม รอคอยคำตอบของเขา
แต่หลังเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยปาก ซินเอ๋อร์ถูกการกระทำในเวลานี้ของชายหนุ่มดึงดูดไป
มือชายหนุ่มคือมือใหญ่ที่เรียวยาว เห็นข้อกระดูกชัดเจน ผิวสีน้ำตาลอ่อนสุขภาพดี
นิ้วของเขาเรียวยาวน่ามอง กระทั่งเล็บถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เวลานี้ท่ามกลางแสงไข่มุกราตรี ส่องแสงนุ่มนวล จึงสะดุดตาอย่างยิ่ง!
แต่สะดุดตายิ่งกว่ามือใหญ่คู่นั้นคือ ริมฝีปากที่เขาใช้นิ้วลูบไล้ช้าๆ นั้น!
ริมฝีปากของชายหนุ่ม สวยงามยิ่งนัก
เด่นชัดสมบูรณ์แบบ แดงสดชุ่มฉ่ำ ราวดอกกุหลาบสวยงามประเภทหนึ่ง
และเมื่อนึกถึงเมื่อครู่ เธอกลับจุมพิตลงบนริมฝีปากสีกุหลาบคู่นั้น ซินเอ๋อร์ใบหน้าร้อนผ่าว กระทั่งใบหูร้อนระอุ
สวรรค์ นี้คือครั้งแรกที่เธอจุมพิตบุรุษ!
เฮ้อ เธอไม่ควรคิดเรื่องนี้อีก เหตุใดเธอจึงเสียสติเช่นนี้!
ซินเอ๋อร์หงุดหงิดในใจ ก่อนควบคุมอารมณ์ของตนไม่หยุด เพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน
และเวลานี้ กลับเห็นชายหนุ่มในที่สุดนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนวางมือลง เอ่ยขึ้น
“ในที่สุดข้ารู้ว่าจะทำเช่นไรแล้ว!”
“หา ทำเช่นไรหรือ!”
หลังได้ยิน ซินเอ๋อร์พลันได้สติ ดวงตากระจ่างใสคู่นั้น เวลานี้กระพริบมองหน้าชายหนุ่มอย่างรอคอยคำตอบ
คิดไม่ถึง กลับเห็นชายหนุ่มพลันยิ้มมุมปาก ยื่นมือเขี่ยจมูกเธอ ก่อนกล่าวยิ้มๆ ว่า
“ตอนนี้ยังบอกเจ้าไม่ได้ ต่อไปเจ้าจะค่อยๆ รู้เอง!”
“เอ่อ”
ไม่คิดว่ารออยู่เป็นนาน แต่กลับได้คำตอบเช่นนี้ ซินเอ๋อร์อดตะลึงงันไม่ได้
เหตุใดชายผู้นี้จึงมักชอบเอ่ยก้ำกึ่งกำกวม ตั้งใจทำให้คนหวาดหวั่นเช่นนี้!
เอาเถิด เธอถูกเขาทำให้อยากรู้เข้าแล้ว
แต่ซินเอ๋อร์ไม่ชอบเซ้าซี้ผู้อื่น แม้จะแปลกใจสุดชีวิต แต่เห็นชายหนุ่มไม่พูด เธอจึงไม่เอ่ยถาม เพียงร้อง ‘โอ’ คำหนึ่ง ก่อนก้มหน้าลงไม่มองชายหนุ่มอีก
เพราะเรื่องเมื่อครู่ ภายในรถม้าหรูหราพลันคล้ายคับแคบลงไปไม่น้อย กระทั่งอากาศยังอึดอัดขึ้นหลายส่วน
ดังนั้น ซินเอ๋อร์จึงเริ่มนั่งอย่างไม่สบายใจ
สุดท้ายอีกนานเพียงใด จึงจะถึงเรือนของเขา!
พวกเขานั่งอยู่ในรถม้ากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว
อาจเพราะรู้ถึงความสงสัยในใจของซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนที่เริ่มนั่งอ่านหนังสืออยู่ด้านข้าง เลิกตาขึ้นพร้อมเอ่ยว่า
“ถึงเรือนข้าแล้ว”
“หา ถึงแล้วหรือ!”
หลังได้ยิน ซินเอ๋อร์ตกตะลึง
เพราะหากถึงแล้ว เหตุใดรถม้าจึงไม่หยุดลง!
ขณะสงสัยในใจ สุดท้ายซินเอ๋อร์ข่มความแปลกใจไว้ไม่ไหว ยื่นมือเลิกม่านขึ้นมองออกไป
หลังเห็นภาพด้านนอก ซินเอ๋อร์อดสูดหายใจไม่ได้!
ดวงตาคู่งามนั้นเพราะตกใจและตกตะลึงจึงเบิกกว้าง!
สวรรค์!
เรือนใหญ่โตยิ่งนัก!
เห็นเพียงเวลานี้รถม้าของพวกเขากำลังผ่านประตูใหญ่สีแดงนั้นเข้าไปด้านใน
เมื่อผ่านประตูใหญ่ สิ่งที่เห็นคือลานกว้างขนาดใหญ่นั้น และลานกว้างนี้มีพื้นที่กว้างขวาง ด้านบนปูด้วยหินสีฟ้า มีโคมไฟตั้งเรียงราย ด้านข้างวางพวกอาวุธไว้มากมาย เห็นชัดว่าคือลานฝึกวรยุทธ์
เพราะเวลานี้คือช่วงที่เหล่าองครักษ์กลุ่มหนึ่งกำลังฝึกฝนอยู่ทางด้านนั้น
รถม้าเคลื่อนไปด้านหน้าไม่หยุด เห็นสิ่งปลูกสร้างโอ่อ่าตระการตาเหล่านั้นปรากฎขึ้นสู่สายตาของซินเอ๋อร์
ปกติซินเอ๋อร์ทำงานในบ้านของเหล่าเศรษฐี ก่อนหน้านี้เห็นสถานที่กว้างใหญ่ของผู้อื่นก็ตกใจมากพอแล้ว
แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับที่นี่ ช่างแตกต่างกันสุดขั้ว!
เห็นเพียงสิ่งที่เห็นคืออาคารบ้านเรือนที่สร้างขึ้นอย่างหรูหรา ประตูหน้าต่างลายสลัก เรียงรายกันไม่ขาดสาย
ทุกแห่งมีองครักษ์เฝ้าอารักขา พร้อมอาวุธครบมือ!
และสาวใช้บ่าวไพร่เดินขวักไขว่ แต่งกายแบบเดียวกัน ท่าทางสงบเสงี่ยม มองแล้วให้ความรู้สึกน่าเกรงขามดังชนชั้นสูง!
สำหรับเรื่องนี้ ซินเอ๋อร์มองอย่างตกตะลึง
แม้เธอจะไม่เคยเข้าไปในวังหลวง แต่เห็นทิวทัศน์เรืองรองรุ่งโรจน์ตรงหน้า รู้สึกว่าแม้วังหลวงก็เทียบกับที่นี่ไม่ได้!
ขณะซินเอ๋อร์ตกใจ รถม้าที่เคลื่อนที่อย่างมั่นคงค่อยๆ หยุดลง หลังคนรถตะโกนขึ้น
จากนั้นด้านนอกมีเสียงนอบน้อมของคนรถดังขึ้น
“นายท่าน ถึงแล้ว”
“อืม”
หลังได้ยิน เหลิ่งอวี้เซวียนที่กำลังหมกมุ่นกับการอ่านหนังสือขานรับเบาๆ ทันใดนั้นวางหนังสือลง ก่อนหันมองซินเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง
เพราะตำแหน่งที่ซินเอ๋อร์นั่งอยู่คือประตูรถม้า ดังนั้นหากซินเอ๋อร์ออกไป เขาจึงจะสามารถออกไปได้
ซินเอ๋อร์ขณะสบตากับเหลิ่งอวี้เซวียน พลันได้สติ ทันใดนั้นคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงรีบร้อนลุกขึ้น ก่อนกระโดดลงจากรถม้า
เมื่อกระโดดลงจากรถม้า ยืนอยู่บนพื้นหินสีฟ้า ดวงตาของซินเอ๋อร์มองไปรอบๆ ไม่หยุด ปากเล็กเนียนนุ่มนั้นอ้ากว้างเพราะตกใจ
เห็นเพียงสถานที่พวกเขายืนอยู่เวลานี้ คือเรือนกว้างขวางแห่งหนึ่ง
ด้านหน้าเรือนตกแต่งอย่างโอ่อ่าตระการตา!
โคมไฟถูกแขวนไว้ รอบด้านห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวแขวนโคมหนังวัวอันสวยงามไว้ ทำให้แม้จะเป็นยามกลางคืน สามารถเห็นทิวทัศน์รอบด้านได้ชัดเจนกว่าเจ็ดแปดส่วน
ซินเอ๋อร์เงยหน้ามองป้ายพระราชทานด้านหน้าเรือนนั้น ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ทันใดนั้นเอ่ยขึ้นช้าๆ ทันทีว่า
“ตำหนักหยกขาว”
ซินเอ๋อร์อ่านตัวอักษรนั้นอย่างช้าๆ ไม่ขาดแม้อักษรเดียว หลังได้ยินคำพูดของเธอ เหลิ่งอวี้เซวียนที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ ตะลึงงันเล็กน้อย ทันใดนั้นเอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“เจ้ารู้หนังสือหรือ!”
“อืม ก่อนหน้านี้ขณะท่านแม่ยังมีชีวิต ไม่ว่าเธอจะยุ่งมากเพียงใด มักหาเวลาว่างสอนหนังสือให้แก่ข้า แต่ต่อมาหลังท่านแม่เสียไป ไม่มีคนสอนข้าอีก รวมทั้งข้ายังต้องดูแลน้องชาย ทุกวันจึงยุ่งวุ่นวาย จะมีเวลากับหนังสือพวกนั้นได้เช่นไร”
เพียงเอ่ยถึงเรื่องในอดีต น้ำเสียงซินเอ๋อร์โศกเศร้าและคาดหวังอย่างชัดเจน
ความจริงเธอชื่นชอบเรียนหนังสือ
ทุกครั้งขณะทำงานที่บ้านเศรษฐี เห็นพวกเขาเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือบุตรของตน เธอมักแอบเรียนอยู่ด้านข้าง
แม้สตรีที่ไร้ความสามารถ จะถือว่าคือสตรีที่มีจรรยา แต่มารดาเธอกลับสอนเธอว่า เป็นสตรีต้องพึ่งพาตนเอง เพราะบุรุษเชื่อใจไม่ได้!
ดังนั้น เธอจึงจดจำคำสอนของมารดาไว้ แต่จนปัญญาที่หลายปีมานี้ ใช้ชีวิตอย่างยากแค้นเกินไป เธอยุ่งกับการทำงาน จะมีเวลาไปเรียนหนังสือได้อย่างไร
ดูแล้ว ความหวังในการเรียนของเธอ ต่อไปคงฝากไว้ที่น้องชายช่วยทำให้มันเป็นจริง
ซินเอ๋อร์ถอนหายใจอย่างไม่คิดมาก ก่อนเดินเข้าไปช้าๆ เริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ ไม่หยุด เพราะต่อไปที่นี่คือสถานที่ทำงานของเธอ
แต่เธอกลับไม่รู้ตัวว่าสีหน้าเสียใจและหมดหวังของเธอเมื่อครู่ อยู่ในสายตาของเหลิ่งอวี้เซวียนที่อยู่ด้านหลัง เห็นเช่นนั้น ดวงตาของเขาเป็นประกายชั่วขณะ คล้ายมีแผนการบางอย่าง
แต่เขากลับไม่เอ่ยสิ่งใดออกไป เพียงเรียกองครักษ์ผู้หนึ่ง ก่อนสั่งการบางอย่าง ทันใดนั้นหลังองครักษ์จากไป เดินก้าวเข้าไปในตำหนักหยกขาว
แต่กลับเห็นเวลานี้ซินเอ๋อร์กำลังยืนอยู่ใต้ต้นอวี๋หลันขาวสูงใหญ่ต้นหนึ่ง
เวลานี้ซินเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเหลิ่งอวี้เซวียนอยู่ด้านหลังตน เพราะสายตาของเธอกำลังจดจ่ออยู่ที่ต้นอวี๋หลันขาว
เวลานี้เป็นฤดูกาลของดอกอวี๋หลันขาวเบ่งบานเห็นเพียงบนต้นไม้รอบด้านมีดอกไม้สดใหม่ เบ่งบานชูช่อ สวยสง่างาม ส่งกลิ่นหอมอบอวล
เมื่อเห็นดอกไม้สีขาวพวกนี้ และได้กลิ่นหอมสดชื่น ทำให้ใจอดรู้สึกมีความสุขขึ้นมาไม่ได้
และไม่แปลกที่บนกายชายหนุ่มมีกลิ่นหอมของดอกอวี๋หลันขาวจางๆ ออกมา ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง
ซินเอ๋อร์คิดในใจ กวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนเห็นกลีบดอกอวี๋หลันขาวหล่นกลาดเกลื่อนบนพื้นเข้าพอดี ดังนั้นอดโน้มตัวลงเก็บขึ้นมาสูดดมเบาๆ ไม่ได้ ทันใดนั้นริมฝีปากแดงนั้นยิ้มออกมา
“หอมยิ่งนัก!”
“ชอบหรือ!”
แม้จะเป็นคำถาม แต่เหลิ่งอวี้เซวียนกลับเอ่ยอย่างมั่นใจ
เพราะเห็นแววตาของสาวน้อยตรงหน้า สีหน้าชื่นชอบ และรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากนั้น เผยความรู้สึกในใจทั้งหมดของเธอออกมา
สาวน้อยผู้นี้ ช่างขาวสะอาดยิ่งกว่ากระดาษขาวเสียจริง!
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งอวี้เซวียนมีแววตาอ่อนลง และมองซินเอ๋อร์อย่างอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว
ซินเอ๋อร์ไม่รับรู้ถึงความผิดปกติของชายหนุ่ม หลังจากได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง เห็นชัดว่าตกใจเล็กน้อย ทันใดนั้นกลับหันไปสบเข้ากับดวงตาลึกล้ำของชายหนุ่มคู่นั้น
อาจเพราะกลางคืนมืดมิดเกินไป หรืออากาศรอบด้านหอมอบอวลเกินไป หรือดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้างดงาม ลึกล้ำเกินไป สีหน้าของซินเอ๋อร์จึงคล้ายถูกดวงตาดำขลับคู่นั้นดึงดูดไปโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาคู่นี้ งดงามเกินไปจริงๆ!
มืดมิดดังยามค่ำคืน และลึกล้ำดังบ่อน้ำ และยังลึกลับ ทำให้คนที่สบตาต่างอดลุ่มหลง จนไม่อาจถอนตัวได้
และจากดวงตาลึกล้ำคู่นั้นของชายหนุ่ม สายตาซินเอ๋อร์อดมองต่ำลงไปไม่ได้ เมื่อเห็นริมฝีปากคู่งามนั้นของชายหนุ่ม ภายในสมองอดทะลักภาพเมื่อครู่ขึ้นมาไม่ได้ เมื่อครู่ทั้งสองคนจุมพิตกันในรถม้า
พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์อดหน้าร้อนผ่าว และหัวใจเต้นระรัวไม่ได้