สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 241 จุมพิตอ่อนโยน (1)
จุมพิตชายหนุ่มอ่อนโยนและลึกซึ้ง
ลิ้นชุ่มชื้นนั้นกวาดบนริมฝีปากงามของสาวน้อยไม่หยุด ทันใดนั้นดูดกลืนริมฝีปากเธอทีละนิด ก่อนสอดลิ้นเข้าไปกวาดภายในปาก พร้อมดูดกลืนน้ำหวานของสาวน้อย สุดท้ายพัวพันกับลิ้นเล็กสีชมพูนั้น
สำหรับจุมพิตของชายหนุ่ม ตอนแรกซินเอ๋อร์ตกใจ แต่เพราะชายหนุ่มอ่อนโยนเกินไปจริงๆ
ไม่ได้ป่าเถื่อนหยาบคายเช่นครั้งก่อน
จุมพิตอ่อนโยนที่คลอเคลียอย่างระมัดระวังนั้น ช่างราวกับนี้คือของอันล้ำค่าที่สุดบนโลกใบนี้ ทำให้ซินเอ๋อร์ใจเต้นแรง
การดิ้นรนต่อต้านในตอนแรก ค่อยๆ อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ราวกับสายน้ำ
สมองมึนงง ทั่วร่างกายก็เบาหวิว คล้ายกำลังอยู่บนกลุ่มเมฆ ทำให้ซินเอ๋อร์ลืมวันลืมคืน
หลังผ่านไปนาน ซินเอ๋อร์ใกล้ขาดอากาศหายใจ ชายหนุ่มจึงผ่อนลมหายใจลง ก่อนผละออกจากริมฝีปากของเธออย่างอาลัยอาวรณ์
ดวงตาเรียวยาวล้ำลึกคู่นั้น เวลานี้อัดแน่นไปด้วยความปรารถนา
สายตาที่มองซินเอ๋อร์คล้ายต้องการจับเธอกลืนกินไม่ให้เหลือซาก
แต่เขายังยับยั้งเอาไว้ เพียงยื่นลิ้นเลียริมฝีปากที่ถูกเขาจุมพิตจนแดงบวมเป่งคู่นั้นของซินเอ๋อร์อย่างหื่นกระหาย
เมื่อรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มใต้ริมฝีปาก ทำให้เขาหิวโหย
เพราะสาวน้อยตรงหน้านี้ ไม่เพียงบริสุทธิ์ ปากเล็กของเธอยังหอมหวานอย่างน่าเหลือเชื่อ และน้ำหวานดุจน้ำอ้อยนั้น คล้ายสุราชั้นดีที่ทำให้คนเมามาย จนไม่อาจถอนตัว
ตรงข้ามกับเหลิ่งอวี้เซวียนที่เปี่ยมด้วยความไฟปรารถนา ซินเอ๋อร์กลับหายใจแผ่วเบา สองแก้มแดงเรื่อ ดวงตาลุ่มหลง เห็นชัดว่ายังไม่ได้สติกลับมาจากจุมพิตเมื่อครู่
แต่เธอกลับไม่รู้ตัวว่าตนเวลานี้ชวนหลงใหลมากเพียงใด
ตกเย็นโคมไฟหนังวัวถูกแขวนขึ้น แสงจันทร์ดวงดาว สายลมเย็นพัดเอื่อย จนต้นอวี๋หลัน ไหวเอน กลีบดอกสีขาวนั้นปลิวว่อนเข้ามาจากบานหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้นั้น ดูราวกับกลุ่มเทพธิดาสวมชุดสีขาวกำลังร่ายรำด้วยท่าทางตราตรึงใจ
ตามด้วยกลิ่นหอมของดอกอวี๋หลันอันสดชื่นนั้น
สุดท้ายกลีบสีขาวร่วงหล่นลง บางกลีบตกลงบนเส้นผมดำขลับดุจม่านน้ำตกของสาวน้อยอย่างซุกซน ทำให้สาวน้อยยิ่งโดดเด่นดังเทพธิดา
เห็นชัดว่าสวมกระโปรงหลัวฉวินสีแดงบนกาย ชุดสีแดงสดสะดุดตานั้น เมื่ออยู่บนกายสาวน้อย ทำให้เธอชวนตกตะลึง ทั้งหมดนี้คือรูปร่างของปีศาจที่ล่อลวงผู้คน
แต่สิ่งที่แตกต่างจากรูปร่างเย้ายวนใจอย่างรุนแรงนั้น คือใบหน้าเล็กที่ไร้เดียงสางดงามเกินไป
ใบหน้าเล็กนี้สวยงามน่าเอ็นดู สง่างามโดดเด่น แม้จะประทินโฉมอย่างเย้ายวนใจ แต่ยังไร้หนทางบดบังกลิ่นอายบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่อยู่บนกายของเธอ
สาวน้อยตรงหน้านี้ ราวกับธารน้ำใสสะอาดที่ไร้สารปนเปื้อนเสียจริง!
สวยงามจนทำให้คนสงสารจากในใจ
รวมทั้งเวลานี้สาวน้อยมีสีหน้าเขินอายเย้ายวนใจ ดวงตาลุ่มหลง ริมฝีปากบวมเป่ง ทำให้คนเห็นอดจิตใจฟุ้งซ่าน สงสารเธอไม่ได้
หากเป็นไปได้ เหลิ่งอวี้เซวียนต้องการกระโจนเข้าใส่สาวน้อยตรงหน้านี้ ก่อนรักใคร่เธอ จากนั้น…
เพียงนึกถึงครั้งก่อนเขาวู่วามเกินไป จนสาวน้อยตรงหน้านี้ตกใจ ทำให้เธอมองเขาราวกับเจอหายนะ เหลิ่งอวี้เซวียนขมขื่นอย่างที่สุด
ดังนั้นตอนนี้ แม้เขาอยากกระโจนเข้าหาเธอ ก่อนกลืนกินเธอไม่ให้เหลือซากเพียงใด สุดท้ายเพียงข่มความปรารถนานั้นไว้ในใจ ก่อนลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ
เมื่อรู้สึกถึงการอ่อนยวบของเตียง ซินเอ๋อร์ได้สติ ก่อนเห็นใบหน้าเปี่ยมด้วยความต้องการของชายหนุ่ม แต่กลับแฝงด้วยความจนใจและรักใคร่
“สองวันนี้พักผ่อนให้มาก เพื่อให้เท้าหายดี เรื่องอื่นข้าจะให้อาฝูรับผิดชอบเอง เข้าใจหรือไม่”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเจ็ดส่วน ปรารถนาสามส่วน
ซินเอ๋อร์ได้ยินมีสีหน้าเขินอาย สุดท้ายยังก้มหน้าลงอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนพยักหน้าให้กับชายหนุ่ม
ในใจเอ่อล้นไปด้วยความซาบซึ้ง
แม้เธอจะไม่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง แต่กลับรู้จากสีหน้าในเวลานี้ของชายหนุ่มว่าเขากำลังอดกลั้น เพื่อเธอ
พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์อุทานในใจ
ชายผู้นี้ ความจริงไม่เลวจริงๆ
ขณะซินเอ๋อร์คิดในใจ เหลิ่งอวี้เซวียนจึงไม่ล่วงรู้ความคิดในใจของเธอ
เห็นเพียงซินเอ๋อร์ก้มหน้าหลุบตาลง ใบหน้าแดงก่ำ คล้ายภรรยาตัวน้อยที่รอคอยสามีในคืนแต่งงาน ทั้งน่ารักและน่าสงสาร
เห็นเช่นนั้น เหลิ่งอวี้เซวียนหมายคิดจากไป แต่สุดท้ายยังอดโน้มตัวลง จากนั้นแอบหอมลงบนแก้มของซินเอ๋อร์ จึงทำให้ใบหน้าของซินเอ๋อร์ยิ่งแดงมากขึ้น
“ฮ่าๆ”
เมื่อเห็นซินเอ๋อร์ดุจกระต่ายน้อย ใช้สองมือปิดหน้าอย่างเขินอาย เหลิ่งอวี้เซวียนรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
เสียงหัวเราะดังลั่นสดใสนั้น คือเสียงหัวเราะที่ออกมาจากใจ
นานเพียงใดแล้วที่เขาไม่ได้หัวเราะเช่นนี้!
ตั้งแต่เข้าสู่โลกของการค้า สิ่งที่เผชิญต่างคือจิ้งจอกแก่ บนใบหน้าแม้จะมีรอยยิ้ม แต่ไม่ได้ออกมาจากใจ
รอยยิ้มนั้นเป็นเพียงการเสแสร้ง
แต่หลังพบกับสาวน้อยตรงหน้านี้ เหลิ่งอวี้เซวียนพบว่า เขายิ้มมากขึ้น
ซินเอ๋อร์ไม่รู้ถึงเรื่องนี้ เห็นเพียงชายหนุ่มหัวเราะดังลั่น จึงอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี
สุดท้ายอดนอนลงบนเตียงไม่ได้ ก่อนเลิกผ้าห่มคลุมร่างตนเอาไว้
เหลิ่งอวี้เซวียนเห็นเช่นนั้น เพียงหัวเราะลั่น ทว่าเขาทราบดีว่าซินเอ๋อร์หน้าบาง ดังนั้นจึงไม่รั้งรออยู่ที่นี่ต่อ หัวเราะพลางเดินจากไป
จนกระทั่งเสียงหัวเราะห่างออกไป
หลังรู้ว่าชายหนุ่มจากไปแล้ว ซินเอ๋อร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่ม จึงมุดศีรษะเล็กที่แดงก่ำออกมา
เมื่อเห็นประตูไม้ลายสลักปิดสนิทนั้น ใบหน้าเล็กสวยงามนั้น อดยิ้มมุมปากอย่างอ่อนหวานและน่ารักไม่ได้
…
เพราะเท้าบาดเจ็บ เรื่องปรนนิบัติเหลิ่งอวี้เซวียนจึงตกเป็นของหลี่ฝู
ความจริงหลี่ฝูปรนนิบัติเหลิ่งอวี้เซวียนมาตลอด หลังซินเอ๋อร์เข้ามา จึงรับหน้าที่นี้ไปจากเขาเท่านั้น
เวลานี้ซินเอ๋อร์ข้อเท้ายังไม่หายดี จึงนอนอยู่บนเตียงตลอดทั้งวัน
อาจเพราะเคยชินกับการทำงานหนักยุ่งวุ่นวาย ซินเอ๋อร์จึงพลันไม่อยากอยู่บนเตียง มักคิดสิ่งที่ทำได้ขึ้นมา
ความจริงเธอคิดแอบไปช่วยหลี่ฝูทำงาน ปัดกวาดเช็ดถูโต๊ะเก้าอี้พวกนั้น ต่อมาถูกเหลิ่งอวี้เซวียนรู้เข้า จึงสั่งให้กลับมาอยู่ในห้อง แต่เธอเบื่อหน่าย อีกทั้งนอนไม่หลับเพราะนอนมามากพอแล้ว
สุดท้าย เหลิ่งอวี้เซวียนจึงทนต่อการขอร้องของเธอไม่ไหว จึงอุ้มเธอมาที่ห้องหนังสือ ก่อนให้เธอนั่งฝึกคัดอักษรอยู่ตรงนั้น
ส่วนเหลิ่งอวี้เซวียนกลับเป็นปกติ ตรวจและคำนวณบัญชีอยู่บนโต๊ะ
เวลานี้ภายในห้องหนังสือเงียบสนิท
แสงอาทิตย์งดงามด้านนอก และสายลมแฝงด้วยกลิ่มหอมของดอกอวี๋หลัน ผ่อนคลายสดชื่น
แต่ไม่รู้เหตุใด ยามบ่ายที่เงียบสงบเช่นนี้ กลับทำให้ใจของซินเอ๋อร์มักไม่สงบ
เธอใช้มือขวาจับพู่กัน แต่กลับเขียนไม่ได้แม้อักษรเดียว
เพราะสายตาของเธอ หลังเข้ามาในห้องหนังสือแอบมองชายหนุ่มหล่อเหลาที่ก้มหน้าก้มตาทำงานด้านหน้าตลอดเวลา
ก่อนหน้านี้เธอรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้รูปโฉมหล่อเหลาไม่ธรรมดา แต่ไม่รู้เพราะเมื่อวานชายหนุ่มสารภาพรักกับเธอหรือไม่ จึงทำให้สายตาของเธอมักอดมองที่เขาอยู่ตลอดเวลาไม่ได้
และยิ่งมองเขา ยิ่งรู้สึกเขาหล่อเหลายิ่งนัก
ไม่ว่าเขาจะก้มหน้าก้มตาทำงาน หรือขมวดคิ้วขบคิด ต่างน่าประทับใจ น่ามอง ทำให้คนมิอาจละสายตา
คิ้วเข้มโค้งงอนผึ่งผาย จมูกโด่งดุจคมมีด และขนตาเรียวยาวดำสนิทนั้น ยังมีดวงตาดำขลับเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดลึกล้ำ และริมฝีปากน่ามองเม้มเล็กน้อยนั้น
ยิ่งมอง ซินเอ๋อร์ค่อยๆ ตกตะลึง
จนกระทั่งไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด เสียงแฝงความขบขันหลายส่วนพลันดังขึ้น
“ข้าหล่อเหลามากหรือ!”
“เอ่อ”
หลังจู่ๆ ได้ยินเสียงอย่างกะทันหัน ซินเอ๋อร์ที่ตกตะลึงได้สติกลับมา เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่รู้เข้ามาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อใด อดร้อง ‘อา’ อย่างใจหายไม่ได้
ร่างกายค่อยๆ ถอยไปด้านหลัง
โชคดีที่เวลานี้เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จื่อถาน มิฉะนั้นการถอยหลังไปอย่างตกใจของเธอ คงหนีไม่พ้นที่จะต้องหกล้มอีกครั้ง
ส่วนชายหนุ่มเมื่อเห็นท่าทางตกใจของซินเอ๋อร์ กลับยิ้มมุมปากอย่างสดใส มีความสุข
“เมื่อครู่ เจ้าแอบมองข้ามาโดยตลอดเพราะอันใด!”
ชายหนุ่มเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
ซินเอ๋อร์ได้ยิน รู้สึกเพียงราวถูกฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ ตกตะลึงสุดขีด
สมองก็พลัน ‘ตูม’ สับสนมึนงงอย่างโชคร้าย
สวรรค์!
น่าอายยิ่งนัก ถูกเขาจับได้ หรือเธอแอบมองเขาโจ่งแจ้งขนาดนั้น!
ใบหน้าจิ้มลิ้มของซินเอ๋อร์ร้อนผ่าว และเขินอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี
แต่ชายหนุ่มไม่คิดให้เธอหลบเลี่ยง จึงยื่นข้อมือใหญ่เลิกคางของเธอขึ้น ทำให้เธอสบตากับเขา และเธอไม่อาจหลบซ่อน ก่อนเขาจะอ่ยถามอีกครั้ง
“เจ้ายังไม่ตอบคำถามเมื่อครู่นี้ของข้า เหตุใดจึงแอบมองข้าอยู่ตลอดเวลา!”
“เอ่อ คือว่า…”
เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของชายหนุ่ม คล้ายจะถามจนกว่าจะได้คำตอบ ซินเอ๋อร์หวาดหวั่นและเขินอาย
เพราะเธอไม่รู้ว่าตนเป็นอันใด ตลอดทั้งวันสายตามักมองที่เขาอย่างควบคุมไม่ได้
และยิ่งมองยิ่งลุ่มหลง ไม่อาจละสายตาได้โดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้ถูกเขาจับได้ ช่างน่าอับอายและอึดอัดเสียจริง!
ดังนั้น เวลานี้ซินเอ๋อร์จึงอ้ำอึ้งไม่หยุด แต่กลับไม่รู้ควรพูดสิ่งใด
ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นยิ่งร้อนผ่าว สุดท้ายกระทั่งใบหูแดงก่ำ
เห็นเช่นนั้น เหลิงอวี้เซวียนยิ้มมุมปาก โดยรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยเจตนาร้าย ทำให้ใบหน้าเขาดูมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นหลายส่วน
“ฮ่า ๆ เด็กโง่ เจ้าไม่ต้องเอ่ยสิ่งใด ข้ารู้คำตอบหมดแล้ว”
เพียงชายหนุ่มเอ่ย ซินเอ๋อร์ตะลึงงัน
เขารู้แล้ว รู้สิ่งใด!
ซินเอ๋อร์มึนงง ทว่าตอนนี้เธอไม่ต้องพูดสิ่งใด กลับทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น ยิ้มอย่างชอบใจ สายตาที่มองเธอนั้นเปี่ยมไปด้วยความรักเอ็นดู
ก่อนปลายนิ้วจะเขี่ยเข้าที่จมูกเล็กของเธอ พร้อมเอ่ยว่า
“ไป พวกเราไปทานอาหารกัน!”
…
ผ่านไปสองวัน บาดแผลบนเท้าของซินเอ๋อร์หายเป็นปกติ
แต่เหลิ่งอวี้เซวียนสงสารเธอ กลัวเธอเพียงหายดี จะไม่อยู่นิ่ง ออกไปปัดกวาดเช็ดถูต่างๆ
แม้นั่นจะเป็นเพียงงานเบา แต่ขณะเขากุมมือเล็กของเธอ รู้สึกถึงฝ่ามือที่หยาบกร้านของเธอ ในใจคล้ายอดเจ็บปวดไม่ได้
เพราะคนที่ใสซื่อไร้เดียงสาเช่นนี้ ความจริงควรทำให้สงสารเอ็นดูจึงจะถูก
ดังนั้นเหลิ่งอวี้เซวียนจึงสั่งการ ต่อไปงานการปัดกวาดเช็ดถูในตำหนักหยกขาว มอบให้หลี่ฝูรับผิดชอบ แต่การปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำให้เป็นหน้าที่ของซินเอ๋อร์
หลังซินเอ๋อร์รู้เรื่องนี้ พลันตกตะลึงไปทั่วร่าง
เพราะหลังจากเรื่องเปลี่ยนเสื้อผ้าครั้งก่อน ทุกวันเรื่องเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำของเหลิ่งอวี้เซวียน ล้วนคือหน้าที่ของหลี่ฝู
ครั้งนี้กลับเปลี่ยนแปลงทั้งหมด และยังเปลี่ยน…