สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 292 หญิงสาวที่ชื่นชอบ (รีไรท์)
ซินเอ๋อร์ไม่รู้ตนนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายชายหนุ่มนานเพียงใด เธอรู้สึกเพียง สมองตนขาวโพลน ใจคล้ายถูกควักออกไป คิดสิ่งใดไม่ออก
แม้เธอจะรู้จักกับชายหนุ่มผู้นี้ได้ไม่นาน ความจริงไม่ถือว่ารู้จักกันจริง เพียงรู้ชื่อของเขาเท่านั้น
ตอนนี้ชายหนุ่มผู้นี้ เพื่อเธอกลับต้อง…
เสียชีวิตหรือ!
พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์เสียใจอย่างมาก
ดวงตาคู่งามที่งงงัน พลันพร่ามันทันที
น้ำตาใสแวววาวนั้นเอ่อคลออยู่ในดวงตาของซินเอ๋อร์ไม่หยุด แล้วก็ไหลรินลงมาอาบแก้มขาวซีดของเธอ
เสียง ‘แปะ’ ดังขึ้นพร้อมน้ำตาไหลหยดลงบนใบหน้าของชายหนุ่ม
“ฮือๆ ท่านอย่าตายนะ ฮือๆ ข้าขออภัย เป็นเพราะข้า ท่านจะตายเช่นนี้ไม่ได้ ฮือๆ ท่านรีบฟื้นขึ้นมาเถิด!”
แม้เมื่อครู่จะโกรธเคืองการหยอกล้อของเขา แต่ตอนนี้เมื่อเห็นชายหนุ่มนอนนิ่งอยู่บนผืนหญ้า ซินเอ๋อร์ทั้งเสียใจตำหนิตนเอง และทรมานอย่างมาก
น้ำตานั้น คล้ายน้ำไหลทะลักหลังเขื่อนแตก คิดหยุดก็หยุดไม่ได้
ไม่นาน ซินเอ๋อร์น้ำตาอาบทั่วใบหน้า เสียงร้องไห้เศร้าโศกนั้น ทำให้คนฟังประทับใจ
และทำให้อ้าวเทียนฉีที่คิดหยอกล้อเธอ ทำใจไม่ได้
ดังนั้น อ้าวเทียนฉีที่แกล้งตาย อดลืมตาขึ้นมาไม่ได้ ภายในแววตาแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดและสับสน ก่อนมองหญิงสาวที่กำลั่งนั่งร้องไห้อย่างน่าสงสารอยู่ข้างกายตน พร้อมเอ่ยขึ้น
“หยุดร้องไห้เถิด แม้ข้าจะตายไป คงถูกเสียงร้องไห้ของเจ้าปลุกขึ้นมาอยู่ดี”
“เอ๊ะ ท่าน ท่านฟื้นคืนชีพหรือ!”
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ดวงตาปิดสนิทราวเสียชีวิตไปแล้วพลันลืมตาขึ้น และเอ่ยพูด
ซินเอ๋อร์ที่กำลังร้องไห้อย่างน่าเวทนา ตกใจอย่างหนักและดีใจไปพร้อมกัน
“ฮ่า ๆ ท่านฟื้นก็ดีแล้ว ดียิ่งนัก ท่านไม่รู้หรือว่าข้าตกใจแทบตาย เพราะคิดว่าท่านเสียชีวิตไปแล้ว”
ซินเอ๋อร์เอ่ยพลางร้องไห้พลางหัวเราะพร้อมกัน อ้าวเทียนฉีเห็นเช่นนั้น อดใจเต้นไม่ได้
เพราะเขาถือกำเนิดในวังหลวง เสด็จแม่สิ้นพระชนม์เร็ว ทิ้งเขาและน้องสาวไว้ในวังหลวงที่เต็มไปด้วยเล่ห์อุบาย
แม้จะได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ แต่พี่น้องร่วมสายเลือดของเขา กลับเพื่อตำแหน่งฮ่องเต้ ต้องการเข่นฆ่าเขา
บนโลกนี้นอกจากน้องสาวของเขา ไม่มีผู้ใดจริงใจกับเขา
แต่หญิงสาวตรงหน้านี้
น้ำตาของเธอคือของจริง เธอห่วงใยเขาจริงๆ!
พอคิดถึงตรงนี้ อ้าวเทียนฉีรู้สึกเสียใจที่หยอกล้อเธอเมื่อครู่ ขณะเดียวกันรู้สึกซาบซึ้งไปทั่วหัวใจ
หลังดวงตาหงส์แคบยาวคู่นั้นเป็นประกายชั่วขณะ อ้าวเทียนฉีเอ่ยถามขึ้น
“เจ้ากลัวว่าข้าจะตายไปจริงๆ หรือ!”
“กลัวสิ จะไม่กลัวได้เช่นไร!”
หลังได้ยินคำพูดชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์แม้จะสงสัย แต่ยังเอ่ยตามความจริง
ชายหนุ่มได้ยิน ยกยิ้มที่มุมปาก
“ฮ่า ๆ เจ้าห่วงใยข้า ข้าดีใจยิ่งนัก!”
อ้าวเทียนฉีหัวเราะลั่น แต่กลับไม่ระวังจนสะเทือนถึงบาดแผลบนกาย จนอดขมวดคิ้วและไอขึ้นมาไม่ได้
เมื่อครู่หลังเห็นหญิงสาวตกลงจากต้นไม้ ความจริงเขาสามารถกอดเธอไว้ได้ จากนั้นตกลงมาอย่างไร้การบาดเจ็บทั้งสองคน
แต่เขาต้องการหยอกล้อหญิงสาวผู้นี้ ดังนั้นจึงให้หญิงสาวทับลงมาบนกายตน ก่อนตนจะกลายเป็นเบาะรองเนื้อ
แต่อ้าวเทียนฉีกลับรู้สึกคุ้มค่ายิ่งนัก
แม้บนกายเขาจะบาดเจ็บเล็กน้อยเข้าจริงๆ
ซินเอ๋อร์ที่ไม่ล่วงรู้ความคิดของอ้าวเทียนฉี เมื่อเห็นท่าทางขมวดคิ้วเจ็บปวดของเขา รู้ว่าเขาบาดเจ็บเพราะปกป้องตนเมื่อครู่ ดังนั้นคิ้วเข้มจึงขมวดมุ่น พลันเอ่ยถามอย่างกังวล
“ท่านเป็นอันใด บาดเจ็บที่ใด ให้ข้าไปตามคนมาช่วยเหลือหรือไม่!”
ซินเอ๋อร์รู้ว่าตนมีร่างกายบอบบาง แม้ชายหนุ่มจะอายุยังน้อย แต่รูปร่างกลับสูงใหญ่ เธอจึงกลัวจะประคองเขาขึ้นไม่ไหว
ดังนั้นขณะคิดในใจ ซินเอ๋อร์คิดหมุนกายไปตามคนมาช่วย
แต่ทันใดนั้น ข้อมือกลับถูกดึงไว้
“ไม่ต้องไปตามผู้ใด”
“เอ่อ!”
หลังได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์ขมวดคิ้วเป็นปม ราวต้องการเอ่ยบางอย่าง แต่ชายหนุ่มกลับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“หน้าอกข้าเจ็บเพียงเล็กน้อย และเท้าคล้ายพลิก ทว่าข้ายังทนได้ ตอนนี้เพียงเจ้าประคองข้ากลับไปที่ตำหนักก็พอแล้ว”
“อืม ตกลง!”
หลังได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์ไม่โต้แย้ง และพยายามอย่างสุดกำลังประคองชายหนุ่มขึ้นจากพื้น
ซินเอ๋อร์รูปร่างเล็กบอบบาง มีส่วนสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร เมื่อต้องประคองชายหนุ่มที่สูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ถือว่าเปลืองแรงอย่างมากจริงๆ
และชายหนุ่มน่าจะบาดเจ็บไม่เบา เพราะขณะซินเอ๋อร์ประคองเขา น้ำหนักส่วนใหญ่ของชายหนุ่มเทมาที่ไหล่บอบบางของซินเธอ และมือใหญ่ก็กุมไหล่ของเธอไว้แน่น
หากเป็นก่อนหน้านี้ ซินเอ๋อร์คงไม่พอใจที่ชายหนุ่มทำเช่นนี้แน่
แต่ชายหนุ่มผู้นี้บาดเจ็บเพราะเธอ และเขายังบาดเจ็บไม่น้อย ดังนั้นซินเอ๋อร์จึงไม่ใส่ใจ ภายใต้การนำทางของเขาเพียงออกแรงประคอง มุ่งตรงไปยังตำหนักของเขา
“เดินตรงไปด้านหน้า”
“เลี้ยวซ้าย แล้วค่อยเลี้ยวขวา”
“เห็นทางเดินหยกขาวนั้นหรือไม่ เพียงผ่านตรงนั้นไปก็ถึงแล้ว”
อ้าวเทียนฉีเอ่ยพูดตลอดเวลา ส่วนสายตาไม่ละไปจากใบหน้าของซินเอ๋อร์
เมื่อเห็นซินเอ๋อร์เพราะประคองตนต้องพยายามอย่างหนัก หน้าผากอิ่มขาวผ่องนั้นมีเม็ดเหงื่อไหลซึมออกมา
เห็นเช่นนั้น ดวงตาหงส์ของอ้าวเทียนฉีเปล่งประกายชั่วขณะ ทันใดนั้นดึงน้ำหนักตัวส่วนใหญ่ของตนกลับมา
เพราะน้ำหนักที่กดทับบนกายตนเบาลง ซินเอ๋อร์จึงเริ่มผ่อนคลายไม่น้อย
พลางเดินไปยังทิศที่ชายหนุ่มเอ่ย มองวังหลวงงามสง่าตระการตานี้ อดอุทานในใจไม่ได้
สมกับเป็นวังหลวง กว้างใหญ่ไพศาลกว่าที่ผู้คนคาดคิด
พวกเขาเดินมากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ยังไม่ถึงจุดหหมาย
ไม่รู้ตอนนี้เซวียนจะเป็นเช่นไร
แม้เธออยากจะกลับไปหาเซวียนอย่างยิ่ง แต่ชายหนุ่มด้านข้างบาดเจ็บเพราะเธอ เวลานี้เธอจึงจากไปไม่ได้ เฮ้อ ทำให้ร้อนใจเสียจริง
ทว่าสิ่งที่ทำให้ซินเอ๋อร์แปลกใจที่สุดคือ
พวกเธอเดินมากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ปกติคนในวังหลวงมีไม่น้อย เหตุใดพวกเธอจึงไม่พบเจอผู้ใดเลย!
หากพบเจอผู้คน เธอจะสามารถให้พวกเขานำความไปบอกแก่เซวียน เพื่อให้เซวียนมาพบเธอ
ซินเอ๋อร์สงสัยในใจ ทว่าสายตามองด้านหน้าตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่รู้ตัวว่าสายตาชายหนุ่มจับจ้องบนใบหน้าตน
และดวงตาหงส์ที่ชายหนุ่มมองเธอ แฝงด้วยรอยยิ้มและความภูมิใจ
ฮ่า ๆ เป็นสตรีที่น่าสนใจและไร้เดียงสาจริงๆ
และยังหลอกง่ายอีกด้วย!
ความจริงบนกายเขามีบาดแผลจริง แต่ทางที่เขาให้เธอเดินไป กลับอ้อมไปมา เลือกไปในสถานที่ไร้ผู้คนโดยเฉพาะ
เพราะไม่ง่ายที่จะพบกับหญิงสาวผู้นี้ นี่คือลิขิตสวรรค์ที่ทำให้พวกเขามีวาสนาต่อกัน
ดังนั้น เขาจึงต้องใช้ประโยชน์จากโอกาสครั้งนี้
แม้จะไม่อาจทำให้หญิงสาวผู้นี้รู้สึกดีต่อเขา แต่ทำให้เขารู้จักเธอมากขึ้น มิใช่หรือ!
พอคิดถึงตรงนี้ อ้าวเทียนฉีเอ่ยถามขึ้น
“จริงสิ เจ้าชื่อซินเอ๋อร์ใช่หรือไม่!”
ครั้งก่อนที่ถูกนักฆ่าไล่ล่า เขาหลบอยู่ในห้องของเธอ ถูกเธอใส่ใจดูแล จึงรู้ชื่อของเธอ
ดังนั้นชื่อนี้จึงสลักอยู่ในใจเขาตลอดมา ทุกคืนไร้ผู้คนมักปรากฎขึ้น
และใบหน้าอ่อนหวานของหญิงสาวนี้ ทำให้เขาคิดถึง ไม่ลืมเลือนตลอดเวลา
ซินเอ๋อร์ไม่รู้ความคิดของชายหนุ่ม หลังได้ยินคำพูดของเขา เพียงพยักหน้า ก่อนเอ่ยขึ้น
“ถูกต้อง ข้าชื่อซินเอ๋อร์ เจ้ายังจำชื่อข้าได้หรือ!”
“ฮ่า ๆ ย่อมจำได้ ข้าไม่ได้ความจำเสื่อม”
หลังได้ยินคำพูดของซินเอ๋อร์ อ้าวเทียนฉีเพียงยิ้มมุมปาก ทันใดนั้นคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้น
“จริงสิ หยกหยู่เผยที่ข้ามอบให้เจ้าครั้งก่อน เจ้าแขวนติดตัวหรือไม่!”
หลังได้ยินคำชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์ตะลึงงัน และกระพริบตาอย่างสงสัยชั่วขณะ ทันใดนั้นคล้ายฉุกคิดขึ้นได้ จึงเอ่ยขึ้น
“เอ๊ะ ท่านหมายถึงครั้งก่อนท่านจากไป ทิ้งหยกไว้ในห้องของข้านะหรือ ขออภัย ข้าไม่ได้นำติดตัวมา หากรู้ว่าจะพบท่านในวังหลวง ข้าต้องนำมาคืนให้กับท่านแน่!”
เดิมทีคิดว่าชายหนุ่มต้องการหยกชิ้นนั้นคืนจากเธอ ซินเอ๋อร์จึงพลันเอ่ยขึ้น
แต่ความจริงหยกชิ้นนั้นเธอเก็บไว้ตลอด คิดเพียงหากได้พบชายหนุ่มผู้นี้จะคืนให้เขา
แม้เธอจะรู้ว่าการจะได้พบชายหนุ่มนี้อีกครั้ง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
คิดไม่ถึง วันนี้กลับพบเขาเข้าในวังหลวงอย่างคิดไม่ถึง
ตรงข้ามกับความคิดของซินเอ๋อร์ อ้าวเทียนฉีหลังได้ยินคำพูดซินเอ๋อร์ ในใจอดผิดหวังขึ้นมาไม่ได้
อารมณ์เริ่มไม่พอใจ
ความสุขบนใบหน้าพลันมีสีหน้าบูดบึ้ง ถูกแทนที่ด้วยความไม่พอใจ
ก่อนเผยอริมฝีปากแดงเอ่ยอย่างโกรธเคือง
“เหตุใดเจ้าโง่เขลาเช่นนี้ ผู้ใดให้เจ้านำหยกมาคืนข้า!”
“หา!”
เมื่อเห็นใบหน้าโกรธเคืองของชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์พลันไม่รู้เกิดสิ่งใดขึ้น
เพราะเธอไม่รู้ตนยั่วโมโหเขาที่ใด
เมื่อครู่เขาเอ่ยถามเธอเรื่องหยก เธอยังคิดว่าเขาต้องการเอาคืนกลับไป!
ตอนนี้อยู่ดีๆ เอ่ยว่าเธอโง่เขลา เธอโง่เขลาที่ใดกัน!
ช่างเป็นชายหนุ่มที่ประหลาดเสียจริง!
ซินเอ๋อร์คิดในใจ เห็นชายหนุ่มโมโห ทันใดนั้นไม่รู้ควรเอ่ยสิ่งใด ดังนั้นจึงไม่พูดขึ้นอีก เพียงประคองชายหนุ่มไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเห็นซินเอ๋อร์นิ่งเงียบไม่พูดจา อ้าวเทียนฉีโมโหในใจ ขณะเดียวกันอดแอบกัดลิ้นตนอย่างหงุดหงิดไม่ได้
เขาอยู่กับเธอ ไม่ได้ต้องการยั่วโมโหเธอ
เขาไม่รู้เหตุใดตนจึงโมโหหนักเช่นนี้ อาจเพราะรู้ว่าเธอไม่ทะนุถนอมสิ่งของของตน ไม่เห็นค่าตน ดังนั้นจึงโมโห!
แต่นี่จะโทษเธอไม่ได้!
เพราะความจริงคิดดูแล้ว พวกเขาเป็นเพียงคนที่บังเอิญพบกันเท่านั้น เขาเข้าไปในห้องของเธอโดยไม่คาดคิด ส่วนเธอใจดีช่วยเหลือเขาไว้
เหตุผลที่เขาทิ้งหยกนั้นไว้ เธอไม่รู้มิใช่หรือ!
และความหมายของหยกนั้น เธอก็ไม่รู้
นั่นคือของล้ำค่าของเสด็จแม่ของเขา ก่อนเสด็จแม่สิ้นใจได้สั่งเสียว่าให้ออกไปตามหาสตรีที่ตนรักและมอบหยกนี้ให้นาง
สตรีที่ตนรัก…
ฮ่า ๆ มิใช่หญิงสาวข้างกายเขาหรือ!
…………………………………………………………………………………..