สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 327 หวาดหวั่น
วันอภิเษกสมรสของซินเอ๋อร์และเหลิ่งอวี้เซวียนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
อีกห้าวันก็จะเป็นวันอภิเษกสมรสของพวกเขา
เมื่อเห็นวังเหลิ่งนับวันยิ่งคึกคัก ทุกวันยามเช้าตรู่เหล่าบ่าวไพร่ต่างวิ่งวุ่น
เห็นเช่นนั้น ใจของซินเอ๋อร์ยิ่งกังวลขึ้นมา
ไม่รู้เพราะใกล้ถึงวันงานหรือไม่ ซินเอ๋อร์จึงกังวลในใจ
กระทั่งตอนยามนอนมักกลุ้มใจนอนไม่หลับ
เหลิ่งอวี้เซวียนเห็นเช่นนั้นรู้ว่าเธอกังวล ดังนั้นทุกวันจึงให้เธอออกไปข้างนอก ไม่ต้องเก็บตัวอยู่ในวัง
เมื่อไม่เห็นบรรยากาศในวัง เธอไม่ต้องกังวลใจ
และทุกวันเห็นซินเอ๋อร์นอนไม่หลับ เหลิ่งอวี้เซวียนก็ปวดใจตาม
หลังได้ยินคำพูดเหลิ่งอวี้เซวียน ซินเอ๋อร์คิดว่ามีเหตุผล ดังนั้นยังมีเวลาอีกห้าวันที่จะถึงวันงาน ซินเอ๋อร์จึงพาเสี่ยวหวนออกจากวังไปเดินเล่นด้านนอก
เวลานี้เป็นยามเดือนห้า
อากาศนับวันจึงยิ่งร้อนอบอ้าวขึ้น
ทว่าเมืองหลวงสมกับเป็นที่ใกล้หูตาของโอรสสวรรค์ แม้เวลานี้บนถนนยังคงมีคนพลุกพล่าน รถม้าสัญจรไปมา ไม่ขาดสาย
บนถนนใหญ่ปูด้วยหินชิงสือ[1] มีรถม้าเรียงรายกันห้าหกคันเข้ามาพร้อมกัน แต่ไม่ถือว่าติดขัด
บนถนนใหญ่มองจากตรงนี้ไปล้วนมองไม่เห็นท้ายแถว
สองข้างถนนใหญ่ ร้านค้าเรียงราย และมีต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าปลูกเรียงรายไว้เป็นแถว
กิ่งก้านเขียวขจี บดบังแสงแดดด้านนอกเอาไว้
สายลมพัดโชยเข้ามาเย็นสดชื่น
ซินเอ๋อร์และเสี่ยวหวนเดินเล่นตลอดเช้า จึงเหนื่อยล้า
ดังนั้น เสี่ยวหวนจึงเสนอให้เข้าไปนั่ง และทานของว่างในโรงเตี๊ยมด้านข้างแห่งหนึ่ง
ซินเอ๋อร์ได้ยิน รู้สึกความคิดนี้ไม่เลว
เพราะเดินมาตลอดเช้า เธอจึงเหนื่อยเช่นกัน
และหิวอย่างหนัก
ดังนั้น ซินเอ๋อร์และเสี่ยวหวนจึงเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ชื่อ ‘กาลก่อน’
เวลานี้เป็นช่วงเที่ยง โรงเตี๊ยมจึงคึกคักอย่างที่สุด
เมื่อพวกซินเอ๋อร์เข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ทอดสายตามองไป
เห็นเพียงห้องโถงชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม เต็มไปด้วยผู้คน เบียดเสียดกันจนไร้ที่นั่ง
เห็นเช่นนั้น เสี่ยวหวนขมวดคิ้วมุ่น อดเอ่ยขึ้นไม่ได้
“เฮ้อ ตอนนี้เป็นช่วงทานอาหาร ดูแล้วโรงเตี๊ยมแห่งนี้ คงไร้ที่นั่ง นายหญิงเช่นนั้นพวกเราไปทานร้านอื่นกันเถิด!”
“อืม คงต้องเป็นเช่นนั้น”
หลังได้ยินคำพูดของเสี่ยวหวน ซินเอ๋อร์พยักหน้าคิดออกไปโรงเตี๊ยมอื่น
ทว่าทันใดนั้น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านรีบร้อนตรงเข้ามาทางซินเอ๋อร์ พลันโน้มตัวเชื้อเชิญอย่างยิ้มแย้ม ก่อนเอ่ยกับพวกเธอ
“แม่นางทั้งสองท่าน ต้องการทานอาหารหรือ!”
“อืม ถูกต้อง ทว่าที่นี่ไม่มีที่นั่งแล้วมิใช่หรือ!”
หลังได้ยินคำพูดเสี่ยวเอ้อร์ ซินเอ๋อร์อดเอ่ยขึ้นไม่ได้
เสี่ยวเอ้อร์ได้ยิน กลับรีบเอ่ยขึ้น
“มีขอรับ เหตุใดจะไม่มี แม่นางทั้งสองช่างโชคดีจริงๆ ตอนนี้มีโต๊ะหนึ่งเพิ่งลุกออกไป ข้าจะรีบเก็บกวาดโต๊ะ ให้แม่นางทั้งสอง”
“เช่นนั้นลำบากแล้ว”
หลังได้ยินคำพูดเสี่ยวเอ้อร์ ซินเอ๋อร์และเสี่ยวหวนอดสบตากันไม่ได้ ก่อนดีใจ พลันเดินไปที่โต๊ะริมหน้าต่างตามการนำทางของเสี่ยวเอ้อร์
เมื่อสั่งอาหารหลายจาน และชาหลงจิ่งหนึ่งกาเสร็จ ซินเอ๋อร์และเสี่ยวหวนนั่งลงรออาหาร
แม้ต่อหน้าหรือลับหลัง เสี่ยวหวนต่างเรียกขานซินเอ๋อร์ว่านายหญิง แต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอสองคนกลับคล้ายสหาย พี่สาวน้องสาว
ดังนั้น เวลานี้เสี่ยวหวนนั่งร่วมโต๊ะกับซินเอ๋อร์ มีสิ่งใดทานสิ่งนั้น
ขณะรออาหารลำเลียงขึ้นโต๊ะ ซินเอ๋อร์และเสี่ยวหวนต่างมองรอบด้านอยู่เงียบๆ
เห็นเพียงตรงกลางของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ยังมีเวทีการแสดง ด้านบนมีชายหนุ่มรูปร่างผอม ไว้หนวดเครา ใช้มือถือพัดกำลังเล่าบางอย่างอยู่ด้านบน
เพียงเห็นชายผู้นี้ ก็รู้ว่าคือนักเล่านิทาน
ด้านล่างมีแขกไม่น้อย พลางทานอาหาร พลางฟังอย่างออกรสออกชาติ
ซินเอ๋อร์ที่เบื่อหน่ายจึงฟังการเล่าเรื่องนั้นกับทุกคนเช่นกัน
“พวกท่านคงไม่ทราบ แถบเจียงหู มีพวกลัทธินอกรีตกลุ่มหนึ่ง ลัทธินี้ปล้นฆ่าข่มขืน ชั่วร้าย ทำเรื่องที่ทำให้ผู้คนโกรธแค้นโดยเฉพาะ และเรื่องทั้งหมดที่ทำท้าทายราชสำนัก ดังนั้นฮ่ องเต้จึงมีราชโองการลงมา ให้กำจัดลัทธินอกรีตนี้ทิ้ง และคนที่มีความเกี่ยวข้องกับลัทธินี้ต้องประหารเก้าชั่วโคตร ทว่าทุกคนภายในลัทธินี้ ต่างมีวรยุทธ์สูงส่ง ดังนั้นฮ่องเต้จึงมีรา าชโองการเพียงพบเห็นลัทธินี้ ห้ามไว้ชีวิตเด็ดขาด!”
จากการเล่าของนักเล่าเรื่อง ด้านล่างมีคนเริ่มโต้แย้งขึ้นมา
“เหล่าจิ่ว เรื่องที่เจ้าเล่าทุกคนต่างทราบดี เจ้าช่วยเล่าเรื่องน่าสนใจอื่นได้หรือไม่!”
“”ใช่ๆ เปลี่ยนเล่าเรื่องใหม่ หากเล่าได้ดี อาหารมื้อนี้ข้าจะเลี้ยงทุกคนเอง!”
เมื่อได้ยินคนด้านล่างส่งเสียง นักเล่าเรื่องที่ถูกเรียกว่าเหล่าจิ่วเพียงหัวเราะ ทันใดนั้นทำท่าทางให้ทุกคนใจเย็นลงก่อนออกมา และเอ่ยว่า
“ทุกคนโปรดเงียบฟังข้าก่อน ข้าคือผู้รอบรู้ที่มี่ชื่อเสียงโด่งดัง เรื่องพวกนี้ข้าย่อมรู้ดีกว่าทุกท่านเป็นอย่างดีแน่นอน แต่วันนี้ข้าไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องลับส สุดยอดเกี่ยวกับลัทธินอกรีตนี้!”
“เรื่องลับสุดยอด รีบเล่าออกมาเถิด!”
“ใช่ๆ รีบเล่ามาเถิด!”
หลังได้ยินคำพูดของเหล่าจิ่ว ทุกคนต่างถูกทำให้แปลกใจขึ้นมา
เหล่าจิ่วเห็นเช่นนั้น อดยิ้มอย่างลำพองใจไม่ได้ แต่กลับไม่รีบเอ่ยเล่า
หยิบน้ำชาบนโต๊ะขึ้นดื่ม ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“ชานี้รสชาติแย่ยิ่งนัก”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่าจิ่ว คนด้านล่างต่างย่อมเข้าใจ ดังนั้นมีคนนิสัยใจร้อน พลันให้เสี่ยวเอ้อร์เปลี่ยนน้ำชาชั้นดีเข้ามาแทน
เวลานี้เหล่าจิ่วจึงดื่มชาอย่างพอใจ ก่อนเล่าต่อว่า
“ตอนนี้ข้าจะเล่าเรื่องลับสุดยอด เกี่ยวกับลัทธินอกรีตแล้ว ลือกันว่าเจ้าลัทธิมีบุตรสาวที่หายสาบสูญไปกว่าสิบหกปีผู้หนึ่ง เขามีเพียงบุตรสาวนี้เพียงคนเดียว ดังนั้นจึงส่งคนออกตาม มหาเบาะแสบุตรสาวตลอดเวลา ทว่าเขาตามหามาสิบหกปีเต็มก็ไม่พบเบาะแส แม้จะเป็นเช่นนี้ เขายังคงไม่ตัดใจ ข้าได้ยินมาว่าบนไหล่ของบุตรสาวเขามีปานรูปผีเสื้อ”
“ปานรูปผีเสื้อหรือ!”
หลังได้ยินคำของเหล่าจิ่ว ทุกคนด้านล่างต่างถกเถียงกันขึ้นมา
“มิน่าจึงไม่เจอตัว ปานนี้อยู่บนไหล่ ผู้ใดจะเห็นกันเล่า ไม่แปลกที่พวกลัทธินอกรีตนั้น ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเหล่าสตรีออก ก่อนสำรวจทีละคน!”
“ถูกต้องๆ”
หลังคำพูดของคนเหล่านั้น เรื่องราวค่อยๆ กลายเป็นเรื่องขบขัน
แต่ทุกคนมัวแต่ถกเถียงเรื่องนี้กัน จึงไม่มีผู้ใดสังเกตถึงโต๊ะบริเวณริมหน้าต่างนั้น
“นายหญิง เป็นอันใดหรือเจ้าค่ะ เหตุใดสีหน้าพลันดูไม่ดี หรือไม่สบายเจ้าค่ะ!”
เสี่ยวหวนที่ฟังนักเล่าเรื่องพูดอย่างออกรสออกชาติ เพียงหันกลับมาเห็นซินเอ๋อร์ที่ก่อนหน้านี้สบายดี พลันหน้าซีดเซียว ตกใจอย่างหนัก จึงรีบเอ่ยถามขึ้นอย่างตกใจ
แต่ซินเอ๋อร์เวลานี้ กลับไม่ได้ยินคำพูดของเสี่ยวหวนแม้แต่นิดเดียว เพียงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างโง่งม
และภายในสมองเธอ นึกทวนเรื่องที่นักเล่าผู้นั้นเอ่ยขึ้นไม่หยุด
‘ลือกันว่าเจ้าลัทธิมีบุตรสาวที่หายสาบสูญไปกว่าสิบหกปีผู้หนึ่ง เขามีเพียงบุตรสาวนี้เพียงคนเดียว ดังนั้นจึงส่งคนออกตามหาเบาะแสบุตรสาวตลอดเวลา ทว่าเขาตามหามาสิบหกปีเต็มก็ไม่ พบเบาะแส แม้จะเป็นนี้ เขายังคงไม่ตัดใจ ข้าได้ยินมาว่าบนไหล่ของบุตรสาวเขามีปานรูปผีเสื้อ’
ปานรูปผีเสื้อ
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!
เธอคือบุตรของบิดาและมารดาจริงๆ มิใช่หรือ!
แต่เหตุใดบนไหล่เธอจึงมีปานรูปผีเสื้อ!
และเหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้ เธอและบุตรสาวของเจ้าลัทธินอกรีตมีอายุสิบหกปีเช่นเดียวกัน!
หรือว่า!
ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่เช่นนี้!
ซินเอ๋อร์สับสนในใจ อารมณ์ตื่นตระหนกอย่างหนัก กระทั่งสีหน้ายังซีดขาวดังกระดาษ จนคนมองตกใจ
เสี่ยวหวนด้านข้างเห็นตกใจไม่น้อย
ดังนั้น จึงรีบเดินไปด้านหลังซินเอ๋อร์ ก่อนกุมมือซินเอ๋อร์ไว้ และเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“นายหญิง ท่านเป็นอันใดกันแน่ สวรรค์ สีหน้าของท่าน…”
เมื่อได้ยินเสียงตกใจของเสี่ยวหวน ซินเอ๋อร์ที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดตนเองพลันตกใจอย่างหนัก
กระทั่งถ้วยชาในมือพลันตกลงพื้น เสียง ‘เพล้ง’ ดังกังวานขึ้น
ทันใดนั้นโรงเตี๊ยมที่ผู้คนเดินขวักไขว่ คึกคักอย่างยิ่ง เปลี่ยนไปเงียบงัน
สายตาทุกคนต่างจ้องมองที่ซินเอ๋อร์
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของทุกคน ใจของซินเอ๋อร์พลันเต้นระรัว
ความหวาดกลัวตื่นตระหนก พลันทะลักขึ้นในใจ
ทันใดนั้นขณะที่เสี่ยวหวนยังไม่ได้สติ ซินเอ๋อร์พลันลุกจากที่นั่ง จากนั้นพุ่งออกไปด้านนอกโรงเตี๊ยมดังลูกธนูพุ่งจากคันธนู
เพราะเธอตอนนี้ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป
และสายตาของทุกคนน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง คล้ายถูกพวกเขามองเห็นบางสิ่งออกมา!
ซินเอ๋อร์วิตกกังวลในใจ ก่อนไม่สนใจสายตาแปลกใจของทุกคน วิ่งออกไปจากโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าซีดขาว
เมื่อเสี่ยวหวนได้สติกลับมาเห็นเข้า ตกใจจนใจเต้นระรัว ทันใดนั้นพุ่งตัวตามออกไป
ทว่าระหว่างทางถูกคนขัดขวางไว้
“แม่นาง พวกท่านยังไม่จ่ายเงินนะ!”
“เอานี่ ให้ท่าน!”
เมื่อได้ยินคำพูดเสี่ยวเอ้อร์ เสี่ยวหวนพลันล้วงเงินจากถุงเงินออกมา หลังโยนให้กับเสี่ยวเอ้อร์ รีบร้อนพุ่งออกไปจากโรงเตี๊ยม
ทว่าเมื่อเสี่ยวหวนออกมาจากโรงเตี๊ยม เห็นเพียงบนถนนที่คนพลุกพล่าน ไร้ร่องรอยของซินเอ๋อร์!
เสี่ยวหวนเห็นเช่นนั้น ตกใจจนตะลึง
“นายหญิง ท่านอยู่ที่ใด นายหญิง!”
เสี่ยวหวนตกตะลึงพรึงเพริด สับสนวุ่นวาย พลันพุ่งเข้าไปในฝูงชน ค้นหาร่องรอยของซินเอ๋อร์
ในใจกังวล หวาดวิตก
หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับนายหญิงจะทำเช่นไร!
หากนายหญิงเกิดเรื่อง เธอคงต้องหิ้วศีรษะไปพบนายท่านแล้วกระมัง!
พอคิดถึงตรงนี้ เสี่ยวหวนมีสีหน้าทุกข์ใจ
…………………………………………………………………..
[1] หินชิงสือ (青石) หินปูพื้นชนิดหนึ่ง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bluestone