สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 330 ฝันร้าย
“ซินเอ๋อร์เจ้าไปที่ใดมา เจ้ารู้หรือไม่ข้ากังวลเพียงใด เมื่อครู่หลังได้ยินบ่าวไพร่รายงานว่าตอนเที่ยง เจ้าจู่ๆ ผลุนผลันออกจากโรงเตี๊ยมไปโดยไม่พูดไม่จา เสี่ยวหวนคลาดกับเจ้า และเห็น นท่าไม่ดี จึงรีบร้อนกลับวังเพื่อตามคนออกค้นหาเจ้า”
ขณะกอดร่างเล็กของซินเอ๋อร์นั้น เหลิ่งอวี้เซวียนอดพรั่งพรู่ความสงสัยและกังวลทั้งหมดในใจออกมาไม่ได้
เมื่อถูกชายหนุ่มกอดเช่นนี้ และสีหน้ากังวลของเขา น้ำตาของซินเอ๋อร์อดเอ่อคลอขึ้นมาไม่ได้
เมื่อเห็นซินเอ๋อร์ร้องไห้ ใจของเหลิ่งอวี้เซวียนแทบแตกสลาย จึงพลันยื่นมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของซินเอ๋อร์ พลางเอ่ยขึ้นอย่างกังวล
“”ซินเอ๋อร์ เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ บอกข้า แม้จะเป็นเรื่องใหญ่หลวง ข้าจะจัดการมันให้กับเจ้า!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งอวี้เซวียน ซินเอ๋อร์รู้สึกเพียงสับสนในใจ ก่อนมองชายหนุ่มตรงหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลนี้ เธอมีคำพูดมากมายต้องการเอ่ยกับเขา
แต่เวลานี้เธอกลับพูดไม่ออก
หากเธอเป็นบุตรสาวของเจ้าลัทธินอกรีตจริงจะทำเช่นไร!
ด้วยนิสัยของเซวียน และความรักที่เขามีต่อเธอ แม้เธอคือบุตรสาวของลัทธินอกรีตจริง เขาต้องไม่สนใจผลที่จะเกิดขึ้นกับการอภิเษกกับเธอ รักเธอเช่นเดิมแน่นอน
แต่หากถูกคนรู้เข้า สถานะของเธอต้องสร้างความลำบากให้กับเขาแน่
เวลานั้นเซวียนจะทำเช่นไร!
ราชสำนักและลัทธินอกรัตคือคู่ขัดแย้งกัน เพียงเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธินอกรีต ต่างต้องสังหารโดยไม่มีข้อละเว้น
เธอไม่ต้องการให้เซวียนต้องได้รับบาดเจ็บใดๆ และไม่ต้องการ เป็นเพราะเธอ ต้องได้รับความเสียหาย
ยิ่งคิด ซินเอ๋อร์ยิ่งทรมานและเสียใจในใจ
แต่ไม่ว่าเหลิ่งอวี้เซวียนจะเอ่ยถามเช่นไร เธอล้วนไม่พูดจา เห็นเช่นนั้นเหลิ่งอวี้เซวียนจึงเอ่ยขึ้น
“ซินเอ๋อร์เจ้าไม่อยากพูด เช่นนั้นไม่ต้องพูด มา อย่าร้องอีกเลย พวกเรากลับวังกันเถิด ดีหรือไม่”
“อืม” เมื่อรับรู้ถึงความอ่อนโยนของเหลิ่งอวี้เซวียน ซินเอ๋อร์อดแสบจมูกไม่ได้
สุดท้าย เธอจึงพยักหน้าและปล่อยให้เหลิ่งอวี้เซวียนอุ้มขึ้นม้า จากนั้นมุ่งหน้ากลับวังเหลิ่ง
เพราะซินเอ๋อร์เวลานี้เสียอกเสียใจ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าไม่ไกลจากพวกเขา มีชายชุดดำกำลังยืนมองอยู่เงียบๆ
หลังเห็นพวกซินเอ๋อร์จากไป ชายชุดดำจึงหมุนกายจากไป
…
ตกดึก หลังซินเอ๋อร์ทานอาหารเย็นเสร็จ นั่งอยู่ในศาลาพร้อมกับเหลิ่งอวี้เซวียน ชื่นชมแสงจันทร์ในบึงบัวอย่างเงียบเชียบ
เหลิ่งอวี้เซวียนเอนกายอยู่บนเก้าอี้นอน ส่วนซินเอ๋อร์อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดเขา
ดวงตาคู่งามแฝงความชุ่มชื้น ทอดสายตามองออกไปอย่างเหม่อลอย
ด้านหน้าเธอ คือกลุ่มดอกบัวตูมกำลังจะเบ่งบาน สวยงามเกินบรรยาย
แต่สิ่งเหล่านี้ ต่างไม่อยู่ในสายตาของเธอ เพราะในสมองของเธอ เต็มไปด้วยเรื่องในวันนี้ และคำพูดที่ได้ยินในโรงเตี๊ยมพวกนั้น
เหลิ่งอวี้เซวียนกำลังกอดเธอแน่น โดยไม่พูดจา เพียงโอบกอดเธออยู่เงียบๆ เพราะแม้เขาจะไม่รู้ว่าวันนี้เกิดเรื่องใดขึ้น แต่เขารู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่ซินเอ๋อร์ต้องการเล่า ย่อมเอ่ย ยเล่าออกมาแน่นอน
ดังนั้น ตอนนี้เขาจำต้องให้เวลาเธอ
ดังนั้น ทั้งสองคนภายในศาลาต่างไม่พูดจา รอบด้านเงียบงัน มีเพียงเสียงลมพัดยอดไม้ดังออกมา ‘ซ่าซ่าซ่า’
สายลมพัดเอื่อย จนผิวน้ำกระเพื่อม ดอกบัวเอนไหว กระจายกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ
เหลิ่งอวี้เซวียนกอดร่างเล็กของซินเอ๋อร์ไว้แน่น ส่วนคางถูไถที่หน้าผากของซินเอ๋อร์อย่างสนิทสนม อ่อนโยน
จนกระทั่งหลังผ่านไปนาน ซินเอ๋อร์จึงได้สติกลับมา ทันใดนั้นคล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้น
“เซวียน”
“หืม”
เมื่อในที่สุดได้ยินคำพูดของซินเอ๋อร์ ดวงตาเหลิ่งอวี้เซวียนจึงเป็นประกายชั่วขณะ ก่อนยิ้มมุมปากให้กับซินเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน พลางเอ่ยขึ้น
“เป็นอันใดหรือ”
“ไม่มีสิ่งใด เพียงพักนี้ข้าได้ยินเหล่านักเล่าเรื่องมักพูดถึงเรื่องลัทธินอกรีต จึงแปลกใจเท่านั้น จริงสิลัทธินอกรีตนั้นเป็นเช่นใดหรือ”
หลังได้ยินคำพูดนี้ของซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนแม้ไม่รู้เหตุใดซินเอ๋อร์จึงเอ่ยถามเช่นนี้
แต่เพียงเธอไม่เงียบงัน ทำให้เขากังวล ก็เพียงพอแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งอวี้เซวียนเอ่ยขึ้น
“ลัทธินอกรีตนี้ มีอยู่ในเจียงหูมาโดยตลอด แต่หลายปีมานี้ทุกสิ่งที่พวกเขาลงมือต่างเป็นภัยร้ายแรงต่อความก้าวหน้าและผลประโยชน์ของราชสำนัก ไม่ว่าราชสำนักหรือเจียงหูต่างทนต่อก การกระทำของลัทธินอกรีตนี้ไม่ไหว ดังนั้นฮ่องเต้จึงทรงสั่งการบังคับใช้โทษตายกับลัทธินอกรีตนี้ เพียงเกี่ยวข้องกับพวกเขาล้วนต้องตาย!”
“อะไรนะ ฮ่องเต้ทรงรับสั่งเช่นนี้จริงหรือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซินเอ๋อร์มีสีหน้าตกใจ
ทว่าไม่นาน ซินเอ๋อร์อาจรู้สึกว่าตนแสดงอาการมากเกินไป ดังนั้นอดชะงักไม่ได้ ก่อนเอ่ยถามขึ้น
“เช่นนั้นหากมีคนไม่รู้ว่าคนข้างกายคือลัทธินอกรีต หรือคนที่ตนชื่นชอบคือคนในลัทธินอกรีต แล้วแต่งงานกันจะเป็นเช่นไร จะถูกลงโทษด้วยหรือไม่!”
“อืม ถูกต้อง เพราะเมื่อเขาแต่งกับคนผู้นั้น ต้องเข้าใจคนที่เขาชื่นชอบเป็นอย่างดีแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าคนผู้นั้นจะทราบหรือไม่ก็ตาม ฮ่องเต้ทรงรับสั่งเช่นนี้คือ สังหารโดยไม่ ละเว้น!”
“นี่…”
หลังได้ยิน ซินเอ๋อร์รู้สึกเพียงใจของตน ดุจถูกคนใช้มือบีบรัดอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดเสียดแทงกระดูกนั้น ทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก
กระทั่งสีหน้าพลันซีดขาว
เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนพลันเอ่ยถามขึ้น
“ซินเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใด มีไข้หรือ เหตุสีหน้าจึงดูไม่ดีเช่นนี้!”
เอ่ยจบ เหลิ่งอวี้เซวียนยื่นมือจับหน้าผากซินเอ๋อร์ไม่หยุด
เมื่อเห็นท่าทางกังวลเช่นนี้ของเหลิ่งอวี้เซวียน ซินเอ๋อร์อดดึงมือของเขาลงไม่ได้ ก่อนเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องกังวล ข้าเพียง เพียงรู้สึกเหนื่อย”
“เหนื่อย เช่นนั้นพวกเรากลับไปพักผ่อนกันเถิด!”
เมื่อได้ยินคำพูดซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนเอ่ยปากขึ้น
หลังได้ยิน ซินเอ๋อร์รีบพยักหน้าพลางเอ่ยว่า
“อืม ตกลง”
เมื่อได้ยิน เหลิ่งอวี้เซวียนอุ้มซินเอ๋อร์ขึ้นกลับเข้าไปที่ห้องพัก
เพราะหลังผ่านคืนนั้นไป เหลิ่งอวี้เซวียนและซินเอ๋อร์ทุกคืนต้องร่วมเตียงเคียงหมอนกัน
พวกเขาตอนนี้กำหนดวันอภิเษกสมรสและมีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้ว ตอนนี้รอเพียงพวกเขาอภิเษกกัน จะกลายเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามประเพณี
แต่พวกเขาสามารถอภิเษกกันได้จริงหรือ!
เรื่องนี้ ซินเอ๋อร์รู้สึกสงสัย
…
ยามดึกที่มืดมิด
ซินเอ๋อร์หลับไปอย่างยากลำบาก
เหลิ่งอวี้เซวียนที่นอนอยู่ข้างกายเธอ อดลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม่ได้ ก่อนโน้มตัวจุมพิตที่หน้าผากของซินเอ๋อร์ ด้วยแววตาอ่อนโยนและปวดใจ
สุดท้ายเหลิ่งอวี้เซวียนค่อยๆ ผลักประตูไม้ลายสลักออกจากห้องไป
เวลานี้เป็นกลางดึกที่มืดมิดเงียบงัน พระจันทร์และดวงดาวลอยอยู่บนท้องฟ้า สายลมพัดเอื่อย
เหลิ่งอวี้เซวียนหลังออกมาจากตำหนัก ใช้มือไพล่หลัง ก่อนมองไปด้านหน้าและเอ่ยสั่งการว่า
“ผิงอัน”
“ขอรับ นายท่าน”
หลังคำพูดของเหลิ่งอวี้เซวียน ผิงอันปรากฎตัวขึ้นด้านหน้าของเหลิ่งอวี้เซวียนอย่างรวดเร็ว ท่าทางไร้สุ้มเสียงนั้น แสดงถึงวรยุทธ์อันสูงส่ง ล้ำลึกจนยากที่จะคาดเดา
หลังเห็นผิงอันปรากฎตัว เหลิ่งอวี้เซวียนกอดอก พลางลูบไล้คางมนเกลี้ยงเหลา ผ่านไปนานจึงเอ่ยกับผิงอันว่า
“ไปตรวจสอบว่าวันนี้ซินเอ๋อร์ไปที่ใดมาบ้าง พบเจอกับผู้ใด ได้ยินเรื่องใดมา ตรวจสอบให้ละเอียด ค่อยกลับมารายงานข้า!”
“ขอรับ”
หลังรับคำสั่ง ผิงอันพลันหมุนตัว ไม่นานก็หายไปในความืด
ก่อนเหลิ่งอวี้เซวียนจะหมุนกายมองประตูไม้ลายสลักที่ปิดไว้นั้น ด้วยดวงตาสับสนและไม่เข้าใจ
…
เสียงตีฆ้องตีกลอง ดังก้องไปทั่วถนนใหญ่
ขบวนสินสอดยาวเรียงราย จนคนรอบข้างอิจฉา!
นี่คือวันดีที่พระอาทิตย์เจิดจรัส
ท่ามกลางอากาศแจ่มใส ขบวนรับตัวเจ้าสาว เคลื่อนผ่านฝูงชนบนถนนใหญ่มาอย่างตระการตา
คนบนถนนใหญ่เบียดเสียดกันไม่หยุด เพื่อต้องการเห็นรูปลักษณ์ของเจ้าบ่าว
และชายหนุ่มบนอาชาชั้นดี เดินอยู่หน้าขบวนรับเจ้าสาว รูปโฉมโดดเด่นเหนือผู้ใด องอาจผ่าเผย ชายหญิงคนชราเด็กที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าตื่นเต้น อิจฉากันเป็นที่สุด
ส่วนเจ้าบ่าวที่อยู่บนหลังม้า เวลานี้ยิ้มแย้มอย่างสดใสมีความสุข เพราะวันนี้ เขาจะได้แต่งกับหญิงที่ตนรัก
ความจริงนี้ควรจะเป็นวันดีแห่งการเฉลิมฉลอง ทว่าเมื่อเจ้าบ่าวมาถึงห้องเจ้าสาว กลับเห็นว่าไม่ได้มีเพียงเจ้าสาวเพียงลำพัง
เห็นเพียงภายในห้องมีคนแต่งตัวประหลาด หน้าตาดุดันมากมาย พวกเขาใช้สายตาดุร้ายดูถูกดูแคลนมองสำรวจเจ้าบ่าว
เจ้าบ่าวเห็นเช่นนั้น สายตาอดมองที่เจ้าสาวไม่ได้ รอยยิ้มมีความสุขเมื่อครู่พลันแข็งทื่อ
“ซินเอ๋อร์ เจ้า เจ้าคือคนในลัทธินอกรีตหรือ!”
“ไม่ ไม่ใช่ เซวียน!”
“ซินเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว แม้เจ้าจะคือคนในลัทธินอกรีต ข้ายังคงจะอภิเษกกับเจ้า!”
เจ้าบ่าวเห็นเช่นนั้น ยิ้มอย่างอ่อนโยน
ทว่ารอยยิ้มเขาปรากฎได้ไม่นาน ทันใดนั้นดวงตาพลันเบิกกว้าง มุมปากพลันมีเลือดไหลออกมา พลันหันกลับไปมองอย่างไม่เชื่อสายตา
เห็นเพียงชายหนุ่มสวมชุดเกราะผู้หนึ่ง กำลังใช้กระบี่แทงที่ด้านหลังของเจ้าบ่าว
เมื่อเห็นร่างเจ้าบ่าวล้มลง ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ทุกคนที่พัวพันกับลัทธินอกรีต ต้องสังหารโดยไม่ละเว้น!”
“ไม่ เซวียน ไม่ ไม่…”
“ซินเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใด เจ้าฝันร้ายหรือ ซินเอ๋อร์ตื่นเถิด!”
เมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยนี้ และรู้สึกสั่นคลอน
ดวงตาซินเอ๋อร์สั่นเทาอยู่ชั่วขณะ พลันลืมตาขึ้น
ทันใดนั้นซินเอ๋อร์รู้สึกเพียงภายในดวงตา มีไอร้อนบางอย่างไหลรินออกมาไม่หยุด
เมื่อเห็นซินเอ๋อร์ร้องไห้ และหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ เหลิ่งอวี้เซวียนอดหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและน้ำตาให้กับซินเอ๋อร์ไม่ได้ ก่อนเอ่ยถามอย่างกังวลใจว่า
“ซินเอ๋อร์ เจ้าฝันร้าย ไม่ต้องกลัว!”
“เซวียน เซวียน!”
เมื่อได้ยินคำพูดทุ้มต่ำอ่อนโยนของชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์ที่ตะลึงงัน พลันได้สติกลับมาจากฝันร้ายทันที
ก่อนยื่นมือกอดชายหนุ่มไว้แน่น และพลันร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งอวี้เซวียน
และปากยังพร่ำเรียกชื่อเขาไม่หยุด แต่ไม่คุยกับเขา
เมื่อเห็นซินเอ๋อร์ร้องไห้อย่างน่าสงสาร และเอาแต่เรียกชื่อตนไม่หยุด เหลิ่งอวี้เซวียนรู้สึกเพียงใจตนแทบแตกสลาย