สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 331 จากลา
“ซินเอ๋อร์ ข้าอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ไม่ต้องกลัว เจ้าเพียงฝันร้าย เด็กดี อย่าร้องไห้”
เมื่อได้ยินคำปลอบโยนที่อ่อนโยนของเหลิ่งอวี้เซวียน ซินเอ๋อร์จึงค่อยๆ สงบลง ก่อนจะสูดจมูกที่แดงก่ำ และเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยน้ำตา และพึมพำว่า
“ฝันร้ายหรือ!”
“ใช่ เจ้าเพียงฝันร้าย อย่าร้องอีกเลย ในความฝันล้วนไม่ใช่ความจริง”
เหลิ่งอวี้เซวียนเอ่ยปลอบ ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ซินเอ๋อร์กลับเอ่ยอย่างขบคิด
“แต่ข้ากลัวความฝันนี้จะกลายเป็นความจริง”
ซินเอ๋อร์เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา เหลิ่งอวี้เซวียนได้ยินเข้า ดังนั้นจึงอดเอ่ยถามไม่ได้
“ซินเอ๋อร์ เจ้ากำลังเอ่ยสิ่งใด”
“เอ้อ เซวียน ไม่มีสิ่งใด เซวียน”
เพราะกลัวเหลิ่งอวี้เซวียนจะสังเกตเห็นเข้า ซินเอ๋อร์จึงเอ่ยขึ้นพลางส่ายหน้าดุจคลื่นลม
รับผ้าเช็ดหน้าในมือเหลิ่งอวี้เซวียนมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าตน ก่อนกอดเหลิ่งอวี้เซวียน และนอนอยู่ในอ้อมกอดเขาอีกครั้ง ก่อนเอ่ยว่า
“เซวียน ข้ารักท่านยิ่งนัก”
“ฮ่า ๆ เด็กโง่ ข้าก็รักเจ้า!”
เมื่อได้ยินคำสารภาพรักไม่คาดฝันของซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนอดยิ้มไม่ได้ และรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความสุขและอิ่มเอมใจ
ซินเอ๋อร์เห็นรู้สึกอยากร้องขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เพราะกลัวเหลิ่งอวี้เซวียนจะสังเกตเห็นจึงพลันก้มหน้าลง กอดอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดกว้างของชายหนุ่ม สองมือกอดเขาแน่น เวลานี้ซินเอ๋อร์ตัดสินใจขึ้นมาอย่างหนึ่ง นั่นคือ…
…
“แย่แล้ว นายหญิงหายตัวไป!”
ในเช้าตรู่มีเสียงร้อนรนดังขึ้น ทั่ววังเหลิ่งจึงโกลาหลวุ่นวาย
เหลิ่งอวี้เซวียนที่ออกไปทำงาน หลังได้รับข่าวจากวังรีบร้อนกลับมา
ทว่าเมื่อกลับมาถึงห้อง คนหายไปแล้ว
มีเพียงจดหมายฉบับหนึ่ง วางอยู่บนเตียงไม้ลายสลักที่พวกเขาเคยนอนเคียงกัน อย่างอ้างว้างและเย็นชา
เหลิ่งอวี้เซวียนเปิดจดหมายอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นตัวอักษรที่คุ้นตาและข้อความนั้น ร่างกายตกตะลึง พลันแข็งทื่อ
เห็นเพียงในจดหมายฉบับนั้น มีข้อความเพียงแถวเดียว นั่นคือ…
ขออภัย ข้าขอลาก่อน ดูแลตนเองด้วย
…
ฤดูร้อนอากาศยิ่งร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะตอนเที่ยงวัน พระอาทิตย์เหนือศีรษะสาดส่องแสงอันร้อนแรงลงมาบนพื้นดินไม่หยุด อุณหภูมิสูงขึ้น จนต้นไม้รอบด้านเหี่ยวเฉาลงมา
เห็นเพียงเวลานี้ มีหญิงสาวรูปร่างบอบบางคนหนึ่ง แบกห่อสัมภาระไว้ด้านหลัง มือถือผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนหน้าผากไม่หยุดพร้อมเดินไป
และหญิงบอบางผู้นี้ ไม่ใช่ผู้ใด แต่คือซินเอ๋อร์ที่ทิ้งจดหมายไว้แล้วจากมา!
หลังไตร่ตรองมาตลอดคืน และผ่านฝันร้ายที่ราวกับความจริงนั้นมา ซินเอ๋อร์ตัดสินใจว่าเธอจะไม่ทำให้เซวียนเดือดร้อน!
ดังนั้นหลังตัดสินใจได้ ซินเอ๋อร์เก็บของอย่างเรียบง่าย ก่อนถือโอกาสตอนที่เหลิ่งอวี้เซวียนออกไปทำงาน ออกจากวังเหลิ่งมาอย่างเงียบเชียบ
เวลานี้เธอออกจากวังมาได้สองวันสองคืนแล้ว
ตอนแรกหลังเธอออกมาจากวัง รีบนั่งรถม้าที่จะออกจากเมือง เพื่อออกจากเมืองหลวง
สุดท้ายหลังลงรถม้า เดินทางเพียงลำพัง
ตอนกลางคืนเธอจะเข้าพักที่โรงเตี๊ยม
ทว่าเธอเวลานี้หลังออกจากวังมา เห็นผู้คนมากมายนี้ รู้สึกเพียงโลกที่กว้างใหญ่ กลับไม่มีที่ให้ตนยืนได้
ยิ่งคิดซินเอ๋อร์รู้สึกเสียใจและทุกข์ใจ
นึกถึงก่อนหน้านี้เพื่อให้น้องชายตนมีชีวิตรอด แม้ต้องอยู่ในห้องผุพัง เธอยินยอมพร้อมใจ คิดว่าเพียงพวกเธอสองพี่น้องอยู่ด้วยกัน ที่ใดล้วนคือบ้าน
แต่ตอนนี้เธอและน้องชาย อาจจะไม่ได้พบกันอีก!
ต่อไปนี้จะไม่ได้ยินน้องชายเรียกตนว่าพี่สาวต่อไปแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์รู้สึกเพียงอยากจะร้องไห้
และเพียงนึกถึงต่อไปเธอจะไม่ได้พบกับเซวียนอีก ซินเอ๋อร์รู้สึกราวมีดกรีดหัวใจ
น้ำตาที่เอ่อล้นในดวงตา ในที่สุดไหลรินลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่
เซวียน ขอโทษ ท่านคงไม่เข้าใจเหตุใดข้าจึงจากมาโดยไม่ล่ำลาเช่นนี้
แต่ได้โปรดเชื่อข้า ข้ารักท่านมากจริงๆ
เพราะรักท่าน ดังนั้นจึงไม่ต้องการให้ท่านต้องเข้ามาเกี่ยวข้องหรือเป็นอันตราย
ซินเอ๋อร์คิดอย่างปวดร้าวในใจ ฝีเท้าค่อยๆ มุ่งตรงไปด้านหน้า
เวลานี้เธอไม่รู้ว่าตนสามารถไปที่ใดได้
แต่เธอต้องการไปยังสถานที่ที่เซวียนคิดไม่ถึง
เมืองหลวงนั้น เธอไม่รู้จะกลับไปหรือไม่ เพราะแม้กลับไป คงเพียงรอให้เซวียนชื่นชอบหญิงอื่นแล้ว หรือแต่งงานแล้ว เธอจึงจะกลับไป
เพียงนึกถึงเซวียนแต่งงานกับหญิงอื่น ซินเอ๋อร์รู้สึกเพียงใจตนคล้ายถูกลูกธนูปักทะลุเข้าไป เจ็บปวดจนเธอแทบหายใจไม่ออก
อาจเพราะคิดมากเกินไป สองคืนมานี้ เพราะปวดใจทรมาน จึงทำให้นอนไม่หลับ
เพราะเพียงเธอหลับตาลง จะนึกถึงเซวียน เขาเวลานี้กำลังทำสิ่งใด หรือเซวียนตอนนี้กำลังตามหาเธออย่างร้อนรนไปทั่วถนน
เพียงนึกถึงเรื่องนี้ ซินเอ๋อร์ปวดใจอย่างหนัก จนอยากกลับเมืองหลวง และกลับไปอยู่ข้างกายเขา
แต่เธอยังกัดฟันทนต่อไป
และบังคับไม่ให้ตนหันหลัง เดินไปด้านหน้าไม่หยุด
เพราะเธอกลัวว่าหากหันกลับไป จะควบคุมตนเองไม่ได้ จะกลับเมืองหลวงไป
เธอจะทำร้ายเซวียนไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด!
ซินเอ๋อร์คิดอย่างหนักแน่นในใจ ทว่าทันใดนั้นความวิงเวียนเข้าจู่โจมซินเอ๋อร์อย่างรุนแรง
ซินเอ๋อร์รู้สึกเพียงเรี่ยวแรงบนกายคล้ายถูกสูบออกไป สองขาอ่อนแรง ด้านหน้ามืดมน ก่อนหมดสติไป
…
ซินเอ๋อร์ไม่รู้ตนหมดสติไปนานเพียงใด เมื่อลืมตาขึ้นพบว่าตนอยู่ในสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่ง
เห็นเพียงเธอเวลานี้ กำลังนอนอยู่บนเตียงไม้ที่เรียบง่าย
และห้องเล็กนี้เรียบง่ายอย่างมาก มองดูคล้ายเรือนของชาวบ้านทั่วไป
ด้านในมีเตียงไม้หลังหนึ่ง โต๊ะไม้และเก้าอี้สองตัว ด้านข้างคือของใช้ในชีวิตประจำวัน
หน้าต่างไม้ขนาดใหญ่เปิดอ้าไว้ แสงแดดด้านนอกจึงสาดส่องเข้ามาจนทั่วห้องสว่างไสว
และเมื่อเห็นแสงแดด ซินเอ๋อร์คาดเดาได้ว่าเวลานี้กำลังเป็นช่วงเช้าตรู่
และไม่รู้ว่าเธอหมดสติไปนานเพียงใด
เธอจำได้เพียง เมื่อวานเธอเดินอยู่ ด้านหน้าพลันมืดมน ก่อนหมดสติไป
เช่นนั้นที่นี่คือแห่งใด!
เหตุใดเธอจึงมาอยู่ที่นี่!
ขณะซินเอ๋อร์สงสัยในใจ ได้ยินเสียง ‘แอ๊ด’ ของประตูไม้ที่เสียดสีกับพื้นดังขึ้น
ทันใดนั้น ประตูไม้ที่ปิดสนิทถูกคนผลักเข้ามาจากด้านนอก
เมื่อได้ยิน ซินเอ๋อร์อดมองไปทางด้านนั้นไม่ได้
เห็นเพียง หลังประตูไม้ถูกผลักเปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งปรากฎขึ้นในสายตาของซินเอ๋อร์
ชายผู้นี้มีอายุราวสิบแปดสิบเก้าปี ใบหน้าดำคล้ำแข็งแกร่ง อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าปานกลาง ดังเช่นคนปกติทั่วไป
จากเสื้อผ้าบนกายเขา เพียงพอให้รู้ว่าเขาคือชาวนา!
ขณะซินเอ๋อร์สำรวจชายหนุ่มที่จู่ๆ ปรากฎตัวขึ้น ชายหนุ่มก็มองเธอเช่นกัน
อาจเพราะไม่คิดว่าซินเอ๋อร์จะตื่นขึ้นมา ดังนั้นจึงพลันตะลึงงัน
เมื่อเห็นชายหนุ่มตะลึงงัน ซินเอ๋อร์อดกล่าวยิ้มๆ ขึ้นไม่ได้
“พี่ชายท่านนี้ เมื่อวานท่านเป็นคนช่วยเหลือข้าหรือ ขอบคุณท่านมาก”
ซินเอ๋อร์ขอบคุณอย่างมีมารยาท และมองชายหนุ่มอย่างอบอุ่น
รอยยิ้มบนใบหน้านั้น อ่อนละมุนชวนหลงใหล สวยงาม ทำให้ใบหน้าสีเข้มของชายหนุ่มที่กำลังตกตะลึง พลันแดงระเรื่อ
สายตาที่มองซินเอ๋อร์แฝงด้วยความลุ่มหลง
จนกระทั่งซินเอ๋อร์กระพริบตาชั่วขณะ และเอ่ยเรียกชายหนุ่มเบาๆ หลายครั้ง ชายหนุ่มจึงได้สติกลับมา พลันยื่นมือลูบท้ายทอยพลางหัวเราะเก้อเขิน
“ฮ่า ๆ ไม่ต้องเกรงใจ แม่นางฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ชายหนุ่มคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ ก่อนเดินเข้าไปที่ซินเอ๋อร์พลางเอ่ยว่า
“นี่คือโจ๊กที่ข้าเพิ่งต้มเสร็จ แม่นางคงหิวแล้ว ทานก่อนเถิด”
“อืม ขอบคุณพี่ชายมาก”
เมื่อได้ยินคำพูดชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์พลันรับชามที่ชายหนุ่มส่งมา ก่อนทานโจ๊กอย่างช้าๆ
นึกไปแล้วเธอหิวมากจริงๆ!
หลายวันนี้ตั้งแต่ออกจากวังเหลิ่งมา เธอต่างทานข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ ร่างกายจึงซูบผอมลงไป
ทว่าตอนนี้ เมื่อได้กลิ่นโจ๊กนี้ ท้องของเธอส่งเสียง ‘จ๊อกๆ’ ออกมาไม่หยุด
ดังนั้น ซินเอ๋อร์หลังรับชามมาก้มหน้าก้มตาทาน
แม้เธอจะทานเร็ว แต่ท่าทางกลับสง่างามน่ามองอย่างยิ่ง
ทำให้ชายหนุ่มด้านข้างมองอย่างตกตะลึงอีกครั้ง
ดวงตาแฝงความตกตะลึง ลุ่มหลงนั้น จับจ้องที่ซินเอ๋อร์อย่างไม่กระพริบตา และไม่ละสายตาแม้แต่นิดเดียว
จนกระทั่งในที่สุดซินเอ๋อร์ทานโจ๊กเสร็จ เพียงเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าตกตะลึง ลุ่มหลงของชายหนุ่ม อดงงงันไม่ได้ ก่อนจะกระพริบตาอย่างสงสัยอยู่ชั่วขณะ และเอ่ยถามขึ้น
“พี่ชายท่านนี้ เป็นอันใดหรือ หน้าข้าสกปรกหรือ”
“เอ่อ ไม่ ไม่ เพียงรู้สึกว่าแม่นางงดงามยิ่งนักเท่านั้น ฮ่าๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดซินเอ๋อร์ ชายหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ใบหน้าธรรมดานั้น เพราะเขินอายจึงแดงก่ำขึ้นมา
ส่วนซินเอ๋อร์หลังได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม รู้สึกเพียงพี่ชายผู้นี้ซื่อตรงยิ่งนัก
เมื่อเห็นชายผู้นี้ จึงรู้สึกวางใจ
โชคดีที่คนที่ช่วยเหลือเธอกลับมาคือพี่ชายท่านนี้ หากเป็นผู้อื่นไม่รู้จะทำเช่นไรกับเธอ
พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์อดเอ่ยกับชายหนุ่มไม่ได้
“พี่ชาย ท่านช่วยข้ากลับมาหรือ!”
“ถูกต้อง เมื่อวานข้าลงไปเก็บฟืนข้างล่างภูเขา ระหว่างลงเขาเห็นเจ้าล้มอยู่บนพื้น ดังนั้นจึงพาเจ้ากลับมา ทว่าที่นี่ไม่มีหมอ ข้าจึงกังวลใจ แต่เจ้าฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดชายหนุ่ม และสีหน้าโล่งอกของเขา ซินเอ๋อร์อบอุ่นในใจ
“พี่ชาย ท่านช่างเป็นคนดีจริงๆ!”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์คล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยขึ้น
“พี่ชาย ข้ามีนามว่าซินเอ๋อร์ ท่านอย่าเรียกข้าว่าแม่นางอีกเลย”