สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 336 หัวใจเต้นแรงของนักฆ่า
เหลิ่งเม่ยเฉินใจเต้นแรง และสายตาที่มองซินเอ๋อร์อดอ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัวไม่ได้
ซินเอ๋อร์ไม่รู้ความในใจของเหลิ่งเม่ยเฉิน จึงเพียงเห็นชายหนุ่มช่วยห้ามเลือดกำเดาให้ตนอย่างตั้งใจ จึงเงยหน้าขึ้นสูงอย่างเชื่อฟัง
จนกระทั่งไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น
“เรียบร้อยแล้ว”
“อืม ขอบคุณ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งเม่ยเฉิน ซินเอ๋อร์อดก้มหน้าลงอย่างช้าๆไม่ได้ ก่อนเอ่ยกับชายหนุ่ม
ชายหนุ่มได้ยินเพียงส่งเสียง ‘อืม’ ขึ้นคำหนึ่ง ก่อนเม้มปากแน่นไม่เอ่ยขึ้นอีก
เวลานี้ซินเอ๋อร์มองบนหน้าผากของชายหนุ่ม เพราะเลือดกำเดาของเขาหยุดไหลแล้ว แต่เลือดบนหน้าผากยังไหลซึมออกมา เห็นดังนั้นซินเอ๋อร์อดกังวลในใจไม่ได้ ก่อนยื่นนิ้วชี้ไปที่หน้าผาก ชายหนุ่มพลางเอ่ยขึ้นว่า
“ให้ข้าทำแผลบนหน้าผากท่านเถิด!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของซินเอ๋อร์ เหลิ่งเม่ยเฉินจึงนึกขึ้นได้ว่าหน้าผากตนยังบาดเจ็บ!
ความจริงอาการบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นนี้ สำหรับเขาถือว่าไม่ได้หนักหนา
เพราะเป็นนักฆ่ามานานหลายปี บาดเจ็บสาหัสจนแทบเอาชีวิตไม่รอด เขาเคยผ่านมาแล้ว จะแยแสบาดแผลเพียงเล็กน้อยนี้ได้เช่นไร!
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้ากังวลใจของหญิงสาว เหลิ่งเม่ยเฉินที่มีสีหน้าเย็นชาพลันชะงัก ทันใดนั้นพยักหน้าพลางเอ่ยขึ้นว่า
“ตกลง”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ เหลิ่งเม่ยเฉินนั่งลงบนเศษหญ้าแห้งด้านข้าง
เวลานี้ซินเอ๋อร์คล้ายนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเก็บย่ามสัมภาระที่ตนขว้างปาเมื่อครู่จากพื้น พลันค้นหาในย่ามล้วงกระปุกกระเบื้องขวดหนึ่งออกมา จากนั้นหยิบเสื้อผ้าออกมา คิดฉี กเพื่อใช้พันแผลให้ชายหนุ่ม
ทว่าซินเอ๋อร์เรี่ยวแรงน้อย และที่นี่ไม่มีกรรไกร ดังนั้นไม่ว่าซินเอ๋อร์จะออกแรงเช่นไร เสื้อตัวนี้ไม่ฉีกขาด
เมื่อออกจากวังเหลิ่งมา ซินเอ๋อร์เพียงหยิบเสื้อผ้ามาไม่กี่ชุด และเงินบางส่วนเท่านั้น ไม่ได้พกสิ่งใดติดตัวมา แต่เสื้อผ้าเหล่านี้ ล้วนมีเนื้อผ้าที่แข็งแรงทนทาน จะฉีกขาดง่ายดายเ เช่นไร!
เหลิ่งเม่ยเฉินด้านข้างเห็นเช่นนั้น ดวงตาเป็นประกายชั่วขณะ และรู้ว่าซินเอ๋อร์ต้องการทำสิ่งใด ดังนั้นจึงยื่นมือห้ามปรามการกระทำของซินเอ๋อร์ ก่อนเอ่ยขึ้น
“ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้ของเจ้า”
“เอ๊ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งเม่ยเฉิน ซินเอ๋อร์ตะลึงงันเล็กน้อย ก่อนหันไปมองแฝงด้วยความสงสัยหลายส่วน
ทันใดนั้น เมื่อเห็นชายหนุ่มที่นั่งบนพื้น เลิกเสื้อตัวนอกออก ก่อนออกแรงฉีกเสื้อตัวในจนเกิดเสียง ‘แคว่ก’ ดังขึ้น และผ้าพันแผลเรียวยาวเส้นหนึ่งถูกเขาฉีกออกมา
ซินเอ๋อร์เห็นเช่นนั้น ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย จึงวางชุดตัวเองในมือลง ก่อนหยิบกระปุกยาขึ้นเปิดออก
ยานี้ เธอนำติตตัวมาจากวังเหลิ่ง
ก่อนหน้านี้เท้าเธอพลิก เมื่อใช้ยานี้ไม่ถึงวันก็หายดีแล้ว สรรพคุณยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เมื่อเห็นกระปุกยานี้ ซินเอ๋อร์อดตะลึงงันไม่ได้ ภายในหัวผุดภาพที่เซวียนทายาให้กับเธอก่อนหน้านี้ขึ้นมา
ความอ่อนโยน และใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยกระซิบกับเธอนั้น
พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์ปวดหนึบในใจ ก่อนความรู้สึกเปรี้ยวขม ดุจน้ำท่วมซัดถาโถมขึ้นมาไม่หยุดในใจเธอ
จมูกก็ได้กลิ่นเปรี้ยว ภายในเอ่อคลอด้วยชั้นน้ำตาอย่างรวดเร็ว
ความอ่อนช้อยงดงาม แฝงความกังวลของเธอนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกสงสาร
เหลิ่งเม่ยเฉินที่มองอยู่ด้านข้าง อดดวงตาเป็นประกายชั่วขณะไม่ได้ ทว่าเขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด อาจเพราะรู้ว่าซินเอ๋อร์ต้องนึกถึงเรื่องเสียใจบางอย่างแน่นอน
เขาแสดงความรู้สึกไม่เก่ง และปลอบใจคนไม่เป็น แม้เขาไม่รู้เหตุใดเธอจึงหายไปในวันอภิเษกสมรสยิ่งใหญ่ของตน
ก่อนหน้านี้จากสีหน้าเปี่ยมด้วยความสุขของเธอ เห็นชัดว่าเธอรักชายผู้นั้นอย่างยิ่งมิใช่หรือ!
เหตุใดสุดท้าย เธอกลับจากมา!
สำหรับเหตุผล เหลิ่งเม่ยเฉินไม่แน่ใจ ทว่าเขาไม่คิดเอ่ยถาม แม้ถามสาวน้อยคงไม่เอ่ยแน่นอน!
ขณะเหลิ่งเม่ยเฉินคิดในใจ ซินเอ๋อร์ด้านข้างเมื่อรู้สึกด้านหน้าพร่ามัว พลันเงยหน้าขึ้น ก่อนสูดจมูก ข่มความเสียใจไว้ในใจ
หลังผ่านไปไม่นาน เมื่อจัดการอารมณ์ความคิดของตนชั่วขณะ จึงเดินไปข้างกายชายหนุ่มอย่างช้าๆ ก่อนเปิดกระปุกยานั้นออก หลังใช้มือปาดยาค่อยๆ ทายาให้กับชายหนุ่ม
แม้เธอจะเรี่ยวแรงไม่ได้มากมาย ทว่าหินแหลมคมนั้น ยังทำให้หน้าผากเขาแตก
เมื่อเห็นบาดแผลบวมเป่งนี้ และเลือดที่บาดตานั้น ซินเอ๋อร์มองอย่างอกสั่นขวัญแขวน
และเห็นใบหน้าชายหนุ่ม หลังบาดเจ็บจนถึงตอนนี้ยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม คล้ายคนที่ศีรษะแตกไม่ใช่เขา
หรือเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด!
กระทั่งเธอที่เห็นยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง
ซินเอ๋อร์คิดในใจ ก่อนอดเอ่ยถามไม่ได้
“เจ็บหรือไม่ หากเจ็บพูดออกมาเถิด”
เมื่อได้ยินคำพูดของซินเอ๋อร์ ใบหน้าเย็นชาของเหลิ่งเม่ยเฉินอดตะลึงงันไม่ได้
เพราะหญิงสาวข้างกายมีน้ำเสียงที่อ่อนโยน และการกระทำของเธอก็นุ่มนวล ดุจขนนกบางเบาปัดผ่านหน้าผากเขาไป รู้สึกจั๊กจี้บางส่วน และคล้ายแฝงด้วยกระแสไฟฟ้าที่ค่อยๆ ส่งผ่านมาจากเธอ ความรู้สึกวาบหวิวนี้ แทบทำให้ใจเขาอ่อนระทวย
ความรู้สึกเช่นนี้ แปลกใหม่และแฝงความรู้สึกที่ทำให้ใจเต้นแรง
และความอ่อนโยนของหญิงสาว ล้ำค่าอย่างยิ่ง
คิดแล้ว เขาใช้ชีวิตมานานหลายปี ไม่เคยถูกผู้ใดปฎิบัติอย่างอ่อนโยนเช่นนี้มาก่อน
ตอนที่ไม่ได้พบกับหญิงสาวผู้นี้ ภายในโลกของเขามีเพียงความมืดมน และการเข่นฆ่าที่ไม่มีวันหยุด
วันนั้นเขาได้รับภารกิจให้สังหารหัวหน้าสำนักคุ้มภัย โชคร้ายบาดเจ็บ ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ก่อนตกลงจากต้นไม้หล่นลงเข้าไปในพุ่มไม้
เวลานั้น ความจริงเขาควรตายไปแล้ว
และเขารู้สึกว่าตายไปเช่นนี้ก็ดีแล้ว
เพราะบนโลกนี้ เขาอยู่เพียงลำพัง โดดเดี่ยว เย็นยะเยือก ไร้ญาติมิตรและสหาย สองมือเปื้อนเลือดผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้จะมีความหมายเช่นใด!
และเขารู้สึกเหนื่อยล้า ไม่ต้องการสังหารผู้คนอีก
แต่หากเขาไม่สังหารผู้คน จะสามารถทำสิ่งใดได้!
ดังนั้น ขณะกำลังรอความตาย คิดไม่ถึงสุดท้ายขณะเขาสติเลอะเลือน กลับรู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างกาย เดิมทีคิดว่าคือพวกสำนักคุ้มภัยที่ไล่ตามมานั้น คิดไม่ถึงหลังลืมตาขึ้น กลับเห็น เป็นหญิงสาวร่างเล็กน่ารักผู้นี้
หญิงสาวที่บริสุทธิ์ใสซื่อเช่นนี้ มักทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับกระต่ายน้อยที่ไร้เดียงสาตัวหนึ่ง
แม้จะใกล้ชิดกับหญิงสาวเพียงสั้นๆ แต่เขากลับพบว่าภายในเวลาอันสั้นนี้ คือช่วงที่ยากลืมเลือน ประทับใจ และมีความสุขที่สุดในชีวิตของเขา
ดังนั้น หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ทั่วทั้งหัวใจของเขานึกถึงรูปโฉม คำพูด และท่าทางของเธอตลอดเวลา
สาวน้อยผู้นี้ คล้ายแสงอาทิตย์อันอบอุ่นที่สาดส่องเข้ามาในหัวใจมืดมนของเขา
เวลานั้นเขาถูกพิษ และเป็นพิษความอ่อนโยนของสาวน้อยผู้นี้
แต่เขากลับยินยอมที่จะเผ้าคำนึงถึงเธอ
หลังรักษาบาดแผลจนหายดี เขารีบตามหาหญิงสาวที่ทำให้เขารู้สึกถึงความอ่อนโยนและความหวังเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้
เพราะการปรากฎตัวของหญิงสาวผู้นี้ ทำให้เขารู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่บนโลกความจริง ไม่ได้มีเพียงความมืดมน
ดังนั้น ทุกวันเขาจะตระเวนไปตามละแวกวังเหลิ่ง เพียงเพื่อต้องการพบหน้าหญิงสาวผู้นี้
แม้จะไม่ได้พูดคุย เพียงมองเธออยู่ไกลๆ เช่นนี้ เขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง
ต่อมา หญิงสาวผู้นี้พลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้เขาร้อนรนดุจไฟแผดเผา
และหลังรู้ว่ามีนักฆ่ากลุ่มหนึ่งกำลังไล่ล่าสังหารเธอ เขาจึงไม่สบายใจและร้อนรน
กังวลและหวาดกลัวไม่หยุดว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับหญิงสาว หรือว่าถูกสังหาร
เพียงนึกถึงตรงนี้ ใจของเขาเศร้าโศกอย่างรุนแรง
สวรรค์รู้ว่าตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ไม่ว่ายามใกล้หิวตาย หรือตกอยู่ในอันตราย และเบื้องหน้าคือความตาย เขาไม่หวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว
และไม่รู้จักว่าความหวาดกลัวคือสิ่งใด
เพราะในใจเขา บนโลกนี้มีเพียงศพกระจัดกระจายเท่านั้น ความตายสำหรับเขาอาจเป็นเพียงการหลุดพ้น
แต่เพราะสาวน้อยตรงหน้านี้ เขากลับหวาดกลัว
ดังนั้น ช่วงที่ผ่านมานี้เขาจึงขี่ม้าตะลอนโดยไม่หยุดพัก เพื่อหาเบาะแสของเธอ ทว่าผ่านไปครึ่งเดือนกลับยังคงไม่พบเบาะแสของเธอ
เขาร้อนใจดุจไฟแผดเผา และกลัวหญิงสาวจะพบอันตราย
ดังนั้น เมื่อครู่เพียงเห็นหญิงสาวเข้ามา เขาคิดจริงๆ ว่าตนกำลังตาฝาดไป
หลังมั่นใจว่าหญิงสาวด้านล่างนั้นคือคนที่เขาตามหาอยู่หลายวันจริง เขาดีใจจนแทบบ้า และรู้สึกว่าโลกที่มืดมิดของตน กลับมามีแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง
ความตื่นเต้นดีใจนั้น ยากที่เขียนบรรยายออกมาได้
เวลานี้เมื่อเห็นใบหน้าตั้งใจและนิ่งเงียบ และการกระทำที่อ่อนโยนของหญิงสาว เขารู้สึกเพียงใจของตน คล้ายกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เพียงหวังว่าเวลาจะสามารถหยุดอยู่ตรงนี้ตลอดไป แม้อายุขัยของเขาต้องลดน้อยลงสิบปีหรือยี่สิบปี นั่นก็ถือว่าคุ้มค่า
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาที่เหลิ่งเม่ยเฉินมองซินเอ๋อร์แฝงด้วยความซาบซึ้งและสับสน
ซินเอ๋อร์ที่กำลังใส่ยาให้กับเหลิ่งเม่นเฉิน หลังเอ่ยจบ ไม่ได้ยินการตอบกลับจากชายหนุ่ม และเห็นเพียงชายหนุ่มมองตนอย่างไม่กระพริบตาอยู่ชั่วขณะ
ภายในสายตานั้นแฝงไปด้วยความสับสน ทำให้เธอพลันรู้สึกอึดอัด
และนึกถึงว่าเมื่อครู่ชายหนุ่มซ่อนตัวอยู่ใต้หลังคา และยังแอบมองตนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์ทั้งเก้อเขินและอึดอัดในใจ
ทันใดนั้น รู้สึกเพียงความร้อนระอุทะลักจากในใจขึ้นสู่เหนือศีรษะอย่างรวดเร็ว กระทั่งสองแก้มและใบหูของตนยังร้อนผ่าว คล้ายถูกไฟแผดเผา
ซินเอ๋อร์แม้ไม่ส่องกระจก ทราบดีว่าตนหน้าแดงอย่างแน่นอน
ตรงข้ามกับสิ่งที่คิดในใจและสีหน้าผิดปกติของซินเอ๋อร์ ชายหนุ่มกลับเห็นทั้งหมดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
เห็นหญิงสาวจู่ๆ สองแก้มแดงก่ำ และดวงตาเป็นประกายไม่หยุด ความอึดอัด ความเขินอาย และหงุดหงิดบนใบหน้าของเธอ ต่างตกอยู่ในสายตาของเขา
เมื่อเห็นอารมณ์ที่หลากหลายของหญิงสาว เหลิ่งเม่ยเฉินอดรู้สึกว่าน่ารักและน่าเห็นใจไม่ได้