สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 337 ตัวร้อนมีไข้
เหลิ่งเม่ยเฉินอดยื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้าแดงก่ำงดงามนั้นของซินเอ๋อร์ไม่ได้
เมื่อเห็นการกระทำของชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์อดขยับตัวไปด้านหลังไม่ได้ ก่อนพลันกอดอก ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง มองเหลิ่งเม่ยเฉินอย่างระแวง ก่อนเอ่ยอย่างตกใจขึ้น
“ท่านคิดทำสิ่งใด!”
เมื่อได้ยินเสียงตกใจ กังวลของซินเอ๋อร์ เหลิ่งเม่ยเฉินจึงพลันได้สติ และรู้ว่าเมื่อครู่ตนกำลังทำสิ่งใด
พอคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าเย็นชาของเหลิ่งเม่ยเฉินพลันเก้อเขิน ก่อนสองแก้มจะแดงระเรื่ออย่างรวดเร็ว
ทว่าเมื่อเห็นท่าทางกังวล หวาดระแวงที่ซินเอ๋อร์มองตน เหลิ่งเม่ยเฉินอดยื่นมือกดบริเวณอก ก่อนไอออกมาไม่ได้
“ใบหน้าของเจ้าเปื้อน”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”
เมื่อได้ยิน ซินเอ๋อร์ที่มีสีหน้าหวาดระแวง จึงโล่งอกลง
เดิมทีคิดว่าชายผู้นี้จะทำสิ่งใดเธอเสียอีก ที่แท้ตนคิดมากเกินไป!
พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์ลดมือที่กอดอกลง ก่อนเริ่มช่วยพันแผลให้กับชายหนุ่มอีกครั้ง
เหลิ่งเม่ยเฉินเห็นท่าทางตั้งใจเงียบสงบของหญิงสาว อดโล่งใจไม่ได้
หญิงสาวผู้นี้ไร้เดียงสาเสียจริง เช่นนี้จึงสามารถโกหกเธอได้
และเอ่ยได้เพียงว่าเธอมองคนผู้อื่นง่ายดายเกินไป
ทว่าเขาชื่นชอบ ความไร้เดียงสานี้ของเธอมิใช่หรือ!
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งเม่ยเฉินอดอบอุ่นใจไม่ได้
ก่อนทั้งสองคนภายในวัดร้างจะต่างไม่พูดจา
เหลือเพียงเสียงฟ้าร้อง ‘เปรี้ยง’ ด้านนอกที่ดังอย่างไม่รู้จบ
หลังซินเอ๋อร์ทำแผลให้เหลิ่งเม่ยเฉินเสร็จ อดกอดอกและลูบแขนตนอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้
รู้สึกเพียงด้านนอกฟ้าร้องดังสนั่น สายลมเย็นพัดโชยเข้ามาไม่หยุด จนทำให้ร่างกายเย็นเฉียบ
คล้ายสายลมอันหนาวเหน็บในเดือนสิบสองพัดโชยมา ทำให้ซินเอ๋อร์อดหนาวสั่นไม่ได้ ก่อนจะคันจมูกพลางจามออกมาอย่างหนัก
เหลิ่งเม่ยเฉินที่นั่งอบู่บนพื้นเห็นเช่นนั้น พลันรู้ทันทีว่าซินเอ๋อร์หนาวเย็น
ดังนั้น จึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นปิดประตูหน้าต่างของวัดร้างลง หยิบหญ้าแห้งและท่อนไม้ที่ใช้งานไม่ได้จากพื้น ก่อนล้วงชุดไฟออกมาจุดไฟขึ้น
หลังไฟเผาไหม้ลุกโชน ภายในวัดร้างเริ่มอบอุ่นขึ้นมาอย่างช้าๆ
ซินเอ๋อร์เวลานี้หนาวเหน็บ ดังนั้นหลังไฟถูกจุดขึ้น ก็รีบเข้ามาหน้ากองไฟเพื่อรับความอบอุ่นทันที
ทว่าไม่รู้เหตุใด เธอจึงยังรู้สึกหนาวเหน็บอยู่ดี
ดังนั้น จึงล้วงเสื้อผ้าออกมาจากห่อสัมภาระอีกสองตัว
เพราะตอนนี้เป็นฤดูร้อน อากาศจึงร้อนระอุ ดังนั้นเมื่อออกมา ซินเอ๋อร์จึงไม่ได้นำเสื้อผ้ามามากมาย เพียงหยิบชุดที่ตนสวมเป็นประจำมาสองชุดเท่านั้น
ส่วนที่เหลือในวังต่างคือชุดที่เธอยังไม่ได้สวมใส่
จำได้ว่าช่วงก่อนหน้านี้ เซวียนให้คนตัดเย็บชุดให้เธอมากมาย ทั้งสี่ฤดูต่างมีหลากหลายกว่าสิบชุด
ขณะนั้นเธอรู้สึดว่าสิ้นเปลือง จึงเอ่ยว่ามากมายเช่นนี้ เธอจะสวมใส่หมดได้เช่นไร
เซวียนกล่าวยิ้มๆ ว่าชั่วชีวิตเธอต่างอยู่ในวังเหลิ่ง เหตุใดจะสวมใส่ไม่ครบทุกชุดกัน!
ทว่าตอนนี้ เสื้อผ้าพวกนั้น เธอไม่ได้สวมใส่จริงๆ และเซวียนของเธอ ชั่วชีวิตนี้คงไม่ได้พบหน้าอีกแล้ว!
พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์รู้สึกเพียงเศร้าใจ ก่อนความทรมานจะทะลักขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว
ดวงตาก็ปกคลุมด้วยไอหมอกอย่างรวดเร็ว
และศีรษะก็วิงเวียนอย่างหนัก ร่างกายหนักอึ้ง ทรมานอย่างยิ่ง
ซินเอ๋อร์ไม่รู้ตนไข้ขึ้นหรือไม่ เพราะรู้สึกเพียงในคืนที่หนาวเหน็บทรมานนี้ เธอคิดถึงเซวียนยิ่งนัก
เซวียน ท่านอยู่ที่ใด ยังออกตามหาข้าอยู่หรือไม่!
ข้าเองก็คิดถึงท่านเช่นกัน
ซินเอ๋อร์เสียใจและเจ็บปวดในใจ ดวงตาแดงก่ำ กระทั่งสองแก้มขาวผ่องนั้นยังแดงก่ำ ราวกับกุ้งต้ม
ความจริง เหลิ่งเม่ยเฉินที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างเห็นท่าทางเช่นนี้ของซินเอ๋อร์ มั่นใจว่าต้องนึกถึงเรื่องน่าเสียใจบางอย่างขึ้นมาอีกครั้งแน่ ดังนั้นจึงไม่พูดจา เพียงทำตัวอย่างไร้ ตัวตน
ทว่าเขาเริ่มรู้สึกว่าซินเอ๋อร์ผิดปกติอย่างช้าๆ
ร่างเล็กนั้นสั่นเทิ้มไม่หยุด และใบหน้าก็แดงก่ำ
เห็นเช่นนั้น เหลิ่งเม่ยเฉินตกใจ พลันยื่นมือไปที่หน้าผากของซินเอ๋อร์ทันที เมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมิร้อนผ่าวที่หลังมือ เหลิ่งเม่ยเฉินพลันเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
“น่าตายนัก เจ้ากำลังไข้ขึ้น!”
คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินคำพูดชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์จึงอดตั้งสติไม่ได้
ไข้ขึ้นหรือ!
มิน่าเหตุใดเธอจึงรู้สึกหนาวเหน็บเช่นนี้!
และยังเวียนศีรษะ
ซินเอ๋อร์คิดในใจ ทันใดนั้นเงยดวงตาที่พร่ามัวขึ้น ก่อนมองไปยังเหลิ่งเม่ยเฉินแวบหนึ่ง ดวงตาปิดลง และล้มลงอย่างรวดเร็ว
เหลิ่งเม่ยเฉินเห็นเช่นนั้น พลันยื่นมือออกไปรับตัวทันที ก่อนอุ้มคนที่หมดสติไปขึ้นมา
หลังพบว่าคนในอ้อมกอดตัวร้อนผ่าวดุจเตาไฟ และพายุฝนด้านนอกยังคงตกกระหน่ำอย่างไม่รู้จบนั้น เหลิ่งเม่ยเฉินมีสีหน้าเคร่งเครียด
เพราะฝนตกหนักเกินไป หากเขาอุ้มเธอออกไปเช่นนี้ อาการของเธอหนักขึ้นจะทำเช่นไร!
แต่ตอนนี้เธอหมดสติไปแล้ว แม้จะไม่หมดสติ หากทิ้งเธอไว้ที่นี่เพียงลำพัง เขารู้สึกไม่วางใจ
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งเม่ยเฉินลำบากใจ
ลังเลอยู่นาน จึงก้มมองสาวน้อยงดงามที่สองแก้มแดงก่ำผิดปกติในอ้อมกอด สุดท้ายเหลิ่งเม่ยเฉินเพียงถอดเสื้อผ้าบนกายตนลง จากนั้นใช้เป็นเสื้อกันลมพันห่อคนในอ้อมกอดไว้อย่างแน่นหน นา สุดท้ายสะพายห่อสัมภาระของเธอ เพียงขยับปลายเท้า ร่างกายก็พุ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วดังสายฟ้า
…
ณ โรงหมอไซ่หวาถัว
หลังเสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น ประตูไม้ที่แน่นสนิทพลันถูกเปิดออกจากด้านนอก
หมอที่กำลังหลับอยู่ในโรงหมออย่างไม่ระวังตัว พลันตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนคางเลื่อนตกลงจากบนโต๊ะ
ทันใดนั้น หมอร้องตะโกนออกมา
“โอ๊ย คางของข้า”
หมอผู้นี้คือชายอายุมากกว่าสี่สิบปี รูปร่างเตี้ยผอมบาง เวลานี้เพราะปวดคาง จึงแยกเขี้ยวยิงฟัน
ทว่าเขายังไม่ได้เอ่ยสิ่งใด รู้สึกเพียงประกายแสงสีเงินแวบผ่านหน้าไป ทันใดนั้นเย็นเฉียบที่ลำคอ หมอจึงกลืนความโมโหทั้งหมดลงไปในท้อง
ใบหน้าแยกเขี้ยวยิงฟันนั้น พลันตะลึงงัน ดวงตาเบิกกว้าง มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างหวาดกลัว
เห็นเพียงชายหนุ่มตรงหน้า มือข้างหนึ่งอุ้มบางสิ่งอยู่ ส่วนอีกข้างถือกระบี่ และกระบี่ด้ามนั้นกำลังพาดติดอยู่บนลำคอของตน!
สายตาคมกริบเย็นชาของชายหนุ่ม มองตนอย่างไร้ความรู้สึก คล้ายกำลังมองคนตาย
เห็นเช่นนั้น หมอพลันตกใจจนสั่นเทา และร้องขอชีวิตไม่หยุด
“โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย”
ตรงข้ามกับการอ้อนวอนขอชีวิตของหมอ ชายหนุ่มอดเอ่ยเสียงเย็นขึ้นไม่ได้
“หากไม่อยากตาย รีบรักษานางให้หายดี มิฉะนั้น ข้าจะเอาชีวิตเจ้า!”
“หา!”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม หมอสับสนมึนงง ทว่าเขายังไม่ทันคิดสิ่งใด เห็นชายชุดดำตรงหน้าเก็บกระบี่ยาวในมือกลับไป
เห็นเช่นนั้น หมออดโล่งใจไม่ได้ ทว่าทันใดนั้นคอเสื้อของตนกลับพลันแน่นขึ้น และร่างกายถูกคนยกขึ้นอย่างง่ายดาย
การกระทำใจร้อนบุ่มบามเช่นนี้ เขาไม่พบเจอมาก่อน
ทว่าเขายังไม่ทันได้ตำหนิ กลับได้ยินคำพูดเย็นชาของชายหนุ่มดังขึ้น
“ห้องพักอยู่ที่ใด!”
“เอ่อ ด้านหน้าเลี้ยวซ้าย”
…
เมื่อซินเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา รู้สึกเพียงตนหลับสนิทไปอย่างยาวนาน
และเธอยังฝันร้ายอย่างน่ากลัวอย่างยิ่ง
ภายในความฝันมีงูมากมายกำลังไล่ล่าเธอ เธอจึงวิ่งหนีสุดกำลัง แต่สุดท้ายเธอแน่นที่ขา เพราะงูสีดำตัวหนึ่งกำลังพันรัดอยู่บนขาของเธอ เธอตกใจจนกรีดร้องออกมา และตื่นขึ้นมาทันที
เมื่อลืมตาขึ้นซินเอ๋อร์พลันลุกขึ้นนั่ง มองสองขาของตน หลังพบว่าสองขาตนปราศจากงู จึงโล่งใจอย่างมาก และเอ่ยพึมพำขึ้น
“ที่แท้คือความฝัน ตกใจแทบแย่”
ซินเอ๋อร์เอ่ยแผ่วเบา แต่ทันใดนั้นเสียงเย็นชาแฝงความสงสัยกลับดังขึ้น
“ฝันสิ่งใด!”
“เอ๊ะ…”
เมื่อได้ยินเสียงที่พลันดังขึ้น ซินเอ๋อร์ตกใจอย่างหนัก และดวงตาคู่งามพลันมองไปยังที่มาของเสียง
เห็นเพียงที่ประตูนั้น มีร่างหนึ่งเดินใกล้เข้ามา และคนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ใด แต่คือเหลิ่งเม่ยเฉิน!
เมื่อเห็นเหลิ่งเม่ยเฉิน ซินเอ๋อร์ตะลึงงัน ดวงตาคู่งามกวาดมองไปรอบๆ ชั่วขณะ
เห็นเพียงที่นี่คือห้องเรียบง่ายแห่งหนึ่ง ห้องมีสภาพไม่เรียบร้อย แต่ถือว่ายังสะอาดสะอ้าน และแฝงไปด้วยกลิ่นยา
เห็นเช่นนั้น ซินเอ๋อร์ทราบทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่วัดร้าง
ทว่าเหตุใดเธอจึงมาอยู่ที่นี่!
ขณะซินเอ๋อร์สงสัยในใจ อาจเพราะเหลิ่งเม่ยเฉินรับรู้ถึงความสงสัยของเธอ ดังนั้นจึงอดเอ่ยขึ้นไม่ได้
“เมื่อคืน เจ้าไข้ขึ้นสูงจนหมดสติไป ข้าจึงพาเจ้ามาที่นี่ วางใจได้ ที่นี่คือโรงหมอ ไม่มีผู้คนตามหาเจ้าพบแน่”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ เหลิ่งเม่ยเฉินเอ่ยอย่างมีนัยยะแอบแฝง
เพราะเขาคล้ายพบว่าสาวน้อยผู้นี้ ไม่ต้องการให้คนรู้เบาะแสของตน
และเธอคล้ายไม่รับรู้ว่ามีคนกำลังตามสังหารตนอยู่
เมื่อเธอไม่รู้ เขาจะไม่เอ่ยบอกกับเธอเพราะกลัวเธอจะกังวลและหวาดกลัว
ดังนั้น ไม่ว่าเป็นผู้ใดที่คิดร้ายกับเธอ เขาจะกำจัดให้หมดสิ้นเพื่อเธอ และจะไม่ให้เธอได้รับบาดเจ็บเด็ดขาด
ขณะเหลิ่งเม่ยเฉินคิดอย่างหนักแน่นในใจ ซินเอ๋อร์หลังได้ยินคำพูดนี้ของเขา รีบเอ่ยขึ้น
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตข้า!”
เมื่อได้ยิน เหลิ่งเม่ยเฉินดวงตาเป็นประกายชั่วขณะ ก่อนเอ่ยขึ้น
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ชีวิตของข้ามิใช่เจ้าที่ช่วยกลับมาหรือ!”
“เอ๊ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์ตะลึงเล็กน้อย ทันใดนั้นคล้ายนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา ก่อนพลันอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้
“ฮ่า ๆ ถูกต้อง”