สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 339 หมดสติ
เมื่อได้ยินคำพูดชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์ตะลึงงัน
ทันใดนั้น มองสีหน้าเย็นชาของชายหนุ่ม คล้ายขบคิดบางอย่าง ทว่าไม่นานซินเอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ ด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า
“ฮ่า ๆ ไม่ว่าท่านเป็นเช่นไร แต่สำหรับข้าท่านเป็นคนดี!”
เสียงซินเอ๋อร์เปี่ยมด้วยความจริงใจและหนักแน่น และสายตาที่มองชายหนุ่มเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า
เหลิ่งเม่ยเฉินได้ยิน อดสั่นไหวในใจไม่ได้
เพราะคำพูดเช่นนี้ เขาเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
และคำพูดนี้ คือคำพูดของหญิงสาวตรงหน้านี้!
เมื่อเห็นหญิงสาวเชื่อมั่นในตนเช่นนี้ ใจของเหลิ่งเม่ยเฉินสั่นไหวทันที
ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจทะลักขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว
สำหรับหญิงสาวตรงหน้านี้ เพื่อความเชื่อมั่นของเธอ ไม่ว่าวันหน้าต้องพบเจอสิ่งใด แม้ต้องสละชีวิตของตนเพื่อเธอ เขาต่างรู้สึกคุ้มค่า!
…
เพราะตัดสินใจปักหลักที่ตำบลไป๋เหอ ดังนั้นตลอดวันนี้ซินเอ๋อร์และเหลิ่งเม่ยเฉิน ต่างไปแอบหาข้อมูลทั่วสารทิศว่ามีเรือนละแวกใดประกาศขาย
สุดท้ายยามบ่าย ในที่สุดพบกับเรือนที่ไม่เลวแห่งหนึ่ง
เจ้าของเรือนนี้ คือสามีภรรยาแก่ชราคู่หนึ่ง เพราะบุตรชายค้าขายในเมืองหลวงจนร่ำรวย ดังนั้นจึงจะรับตัวพวกเขาไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย
ดังนั้น เรือนแห่งนี้จึงขายในราคาไม่สูงมากนัก ซินเอ๋อร์หลังจากเห็นเรือนรู้สึกว่าไม่เลว จึงตัดสินใจซื้อเรือนหลังนี้
เห็นเพียงเรือนแห่งนี้ มีสามห้องนอนหนึ่งห้องโถง หนึ่งห้องครัว ด้านหน้าเรือนยังมีลานขนาดใหญ่ ภายในลานปลูกต้นดอกกุ้ยฮวาไว้ต้นหนึ่ง
ลำต้นสง่างาม ใบเขียวขจี กิ่งก้านเขียวชอุ่ม เขียวสวยตลอดทั้งปี หอมฟุ้งรื่นรมย์!
ใต้ต้นไม้ยังมีโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง พร้อมเก้าอี้หลายตัว
ฤดูร้อนนั่งรับลมใต้ต้นไม้ คือที่สุดแห่งความสบาย
และด้านหน้าเรือนนี้ คือแม่น้ำสายเล็กๆ สายหนึ่ง ปกติที่นี่ยังสามารถตกปลาได้อีกด้วย จึงถือว่าไม่เลวทีเดียว
ซินเอ๋อร์ชื่นชอบที่นี่อย่างมาก หลังซื้อเรือนนี้รีบทิ้งสิ่งของที่ผู้อื่นเคยใช้งานทั้งหมดไป
แน่นอนว่าตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ ดังนั้นเหลิ่งเม่ยเฉินจึงไม่ให้เธอลงมือทำงานหนักพวกนี้
ดังนั้น เหลิ่งเม่ยเฉินจึงยืนกรานให้ซินเอ๋อร์นั่งลง จากนั้นตนไปเก็บกวาดข้าวของที่ไม่ต้องการพวกนั้น
หลังยุ่งอยู่สักพัก เมื่อเห็นฟ้าใกล้มืดแล้ว ทั้งสองจึงไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่ตลาดและทานอาหาร
หลังจัดการเรื่องนี้ ฟ้าค่อยๆ มืดลง
ส่วนพวกซินเอ๋อร์ ซื้อข้าวของที่จำเป็นได้กว่าเจ็ดแปดส่วน
ทว่าเงินที่ใช้ซื้อข้าวของ ส่วนใหญ่คือเหลิ่งเม่ยเฉินเป็นคนจ่าย
ขณะนั้นซินเอ๋อร์ปฏิเสธ ชายผู้นี้เพราะดูแลเธอ จึงปักหลักอยู่ที่นี่ เหตุใดจะให้เขาต้องมาออกเงินด้วย
ทว่าเหลิ่งเม่ยเฉินกลับยืนกรานหนักแน่น
เพราะเขาคิดว่าตนเป็นบุรุษ จะใช้เงินของสตรีได้เช่นไร!
อีกอย่างภารกิจที่รับหลายปีมานี้มีไม่น้อย เขาใช้เงินไม่มาก และในบัญชีมีเงินจำนวนมากเพียงใด เขาเองก็ไม่เคยคิดคำนวณ เพราะรู้เพียงเงินพวกนั้น เพียงพอให้พวกเขาใช้ไปอีกหลายชา าติ
แน่นอนว่าเรื่องนี้ เหลิ่งเม่ยเฉินไม่ได้เอ่ยกับซินเอ๋อร์
และเขาคิดว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมีเงินทองมากมาย
คิดเพียงวันที่สงบสุขในตอนนี้ เหมาะสมกับเขายิ่งนัก
ที่ผ่านมาความจริงเขาไม่รู้ว่าตน นอกจากสังหารผู้คนไม่หยุดแล้ว ยังสามารถใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้ได้
การที่ทุกวันใช้ชีวิตอย่างสงบเฉกเช่นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปในตอนนี้ ทำให้ใจของเขาค่อยๆ สงบลง
และเขาหวังอย่างยิ่งว่าวันเวลาเช่นนี้ จะสามารถดำเนินไปตลอดชีวิต คงจะดีไม่น้อย
…
วันเวลาอันสงบสุขผ่านพ้นอย่างช้าๆ
เรือนแห่งนี้ หลังผ่านการตกแต่งในแต่ละวันของซินเอ๋อร์ เปลี่ยนไปสง่างามและอบอุ่นขึ้นมา
แม้ซินเอ๋อร์จะพกเงินติดตัวมาบางส่วน แต่ก่อนหน้านี้เธอคิดเพียงจะไม่ตบแต่งกับผู้ใด อาศัยความมัธยัสถ์ของตน เพียงพอให้ใช้ไปตลอดชีวิต
ทว่าตอนนี้กลับแตกต่างออกไป เพราะเธอตั้งครรภ์ ดังนั้นไม่ว่าเช่นไรเธอต้องหางานทำ เพื่อที่จะได้เลี้ยงดูบุตรของตน
เธอไม่กลัวว่าตนต้องลำบาก แต่เธอไม่ต้องการให้บุตรลำบากเช่นเดียวกับตน
ดังนั้น เธอจึงซื้อพวกผ้าแพรผ้าต่วนกลับมา คิดปักพวกผ้าเช็ดหน้า ถุงหอมนำออกไปขาย
ความจริง เหลิ่งเม่ยเฉินกลัวเธอจะเหน็ดเหนื่อย จึงเอ่ยว่าตนมีเงินเพียงพอที่จะเลี้ยงดูพวกเธอสองแม่ลูกไปชั่วชีวิต
แต่ซินเอ๋อร์กลับกล่าวยิ้มๆ ว่านี่คืองานเบา และเธอหากในแต่ละวันไม่ทำงาน จะรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง!
เหลิ่งเม่ยเฉินได้ยิน จึงตามใจเธอ
และทุกวันเหลิ่งเม่ยเฉินจะตกปลาจากแม่น้ำด้านหน้าเรือนกลับมา
เพราะซินเอ๋อร์ชอบทานซุปปลา ดังนั้นทุกวันเหลิ่งเม่ยเฉินจึงตั้งใจตกปลาในแม่น้ำกลับมา
บางครั้งที่ตกปลาไม่ได้ เขาจะลงไปจับปลาในแม่น้ำ
ทุกครั้งที่เห็นเหลิ่งเม่ยเฉินจับปลา ซินเอ๋อร์ต่างเดินเข้าไปชมอย่างตื่นเต้น
เพราะเหลิ่งเม่ยเฉินมีวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา เมื่อขว้างไม้ไผ่ในมือลงไปในแม่น้ำ พร้อมใช้กำลังภายในเพียงเล็กน้อย ฟาดไม้ไผ่ลงบนผิวน้ำ ทันใดนั้นน้ำแตกกระจาย จากนั้นปลาตัวใหญ่หลาย ตัวที่เขาเล็งไว้จะลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ
เหลิ่งเม่ยเฉินเห็นเช่นนั้น พลันเดินเข้าไปอย่างว่องไวราวลมกรด หนึ่งมือหนึ่งตัว ปลาตกอยู่ในมือเขา
ซินเอ๋อร์มักรู้สึกว่าการใช้วรยุทธ์จับปลาเช่นนี้ของเหลิ่งเม่ยเฉิน ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
ทว่าเหลิ่งเม่ยเฉินรู้ว่าซินเอ๋อร์เบื่อหน่าย ดังนั้นทุกครั้งจึงมักเล่นสนุกอยู่ในน้ำ ตั้งใจแสร้งทำท่าทางหล่อเหลา เพื่อให้ซินเอ๋อร์ดีใจ
เพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่ไพเราะที่สุดบนโลกนี้คือ เสียงหัวเราะดังกระดิ่งเงินนั้นของซินเอ๋อร์
สวยงามที่สุดคือใบหน้าเล็กยิ้มแย้มราวบุปผานั้นของซินเอ๋อร์
ชั่วชีวิตนี้ พวกเขาสองคนใช้ชีวิตเช่นนี้ตลอดไป ช่างไม่เลวจริงๆ
และวันนี้เป็นดังเช่นทุกวัน อากาศร้อนอบอ้าว เมื่อคิดตกปลาจึงตกไม่ได้
ดังนั้น เหลิ่งเม่ยเฉินจึงคิดกระโดดลงไปในแม่น้ำอีกครั้ง เพื่อจับปลาด้วยตนเอง
ซินเอ๋อร์ที่ปักผ้าจนเหนื่อยล้า จึงเดินออกมาชมความคึกคัก
ทว่าขณะเหลิ่งเม่ยเฉินเพิ่งจับปลาได้ จู่ๆ บนแม่น้ำที่ไหลเอื่อยกลับมีบางสิ่งค่อยๆ ลอยขึ้นมา มองเห็นคล้ายกับคนผู้หนึ่ง
ซินเอ๋อร์เพียงเห็น พลันห่อปากร้องตกใจออกมา
“อา พี่เหลิ่ง นั่นคือคนหรือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดซินเอ๋อร์ เหลิ่งเม่ยเฉินโยนปลาในมือขึ้นบนฝั่ง พลันขยับปลายเท้า จากนั้นร่างกายพุ่งทะยานไปบนผิวน้ำ
ก่อนมือใหญ่จะลากคนที่ลอยอยู่ในน้ำขึ้นมา
ทว่าเมื่อเหลิ่งเม่ยเฉินนำคนผู้นั้นวางบนฝั่ง และเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างชัดเจน พลันขมวดคิ้วทันที
ทันใดนั้น ดวงตาแคบยาวคู่นั้นเงยขึ้นอย่างรวดเร็ว และมองไปยังซินเอ๋อร์ที่กำลังพุ่งมาทางด้านนี้
ชายหนุ่มมีแววตาสับสน แต่ซินเอ๋อร์เวลานี้สนใจคนบนฝั่งนั้นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่รับรู้ถึงแววตาผิดปกติของเหลิ่งเม่ยเฉิน
และเมื่อซินเอ๋อร์เดินเข้ามาเห็นหน้าตาของคนบนฝั่งผู้นั้น ร่างกายพลันดุจถูกฟ้าผ่า ตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
ใบหน้างดงามนั้นพลันซีดขาวไร้สีเลือด ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ปากเล็กอ้าค้าง
มองชายหนุ่มบนฝั่งอย่างไม่เชื่อสายตาและตกใจ
เห็นเพียงชายผู้นี้เปียกชื้นไปทั่วร่าง และบนกายมีบาดแผลจำนวนมาก ใบหน้าหล่อเหลาเด็ดเดี่ยวนั้น ซีดเซียวไร้สีเลือด ดวงตาปิดสนิท ดูท่าทางคล้ายกับคนตาย
ทว่าหลังซินเอ๋อร์เห็นใบหน้าแสนคุ้นเคยของชายหนุ่มชัดเจน หัวใจคล้ายเจ็บปวดราวกับถูกลูกธนูพุ่งทะลุผ่านไป!
ลำคอคล้ายถูกอุดด้วยบางสิ่ง จนพูดไม่ออก
ส่วนเท้าคล้ายมีรากงอกฝังอยู่บนพื้น ไม่กล้าเดินหน้าเข้าไป
เอ่ยพึมพำในใจไม่หยุด
ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ความจริง นี่ไม่ใช่เซวียน ไม่ใช่เซวียน
เหตุใดเซวียนจึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!
เธอกำลังฝัน มันคือความฝัน!
ซินเอ๋อร์คิดในใจไม่หยุด แม้จะส่ายศีรษะดุจระลอกคลื่น แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับคือความจริง
สุดท้ายความโศกเศร้าทะลักขึ้นในใจ และซินเอ๋อร์ร้องอย่างตกใจน่าสงสารออกมา
“เซวียน!”
ซินเอ๋อร์เอ่ยขึ้น พร้อมพลันพุ่งตัวเข้ามา ทันใดนั้นโผเข้าหาชายหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้น
สองมือสั่นเทาไม่หยุดคู่นั้น ประคองใบหน้าชายหนุ่มขึ้น เมื่อรู้สึกถึงผิวที่เย็นเฉียบของชายหนุ่ม และสีหน้าซีดขาวดังหิมะ ไร้ชีพจรของชายหนุ่ม
และเลือดบนกายที่ยังคงไหลซึมออกมาไม่หยุด ภาพนั้นช่างบาดตาและน่าตกใจอย่างยิ่ง
“ไม่…”
ซินเอ๋อร์ตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียง น้ำเสียงที่น่าสังเวชใจนั้น ทำให้คนที่ได้ยินต่างปวดใจ
“เซวียน เหตุใดท่านจึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!”
“ซินเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นก่อนเถิด”
เมื่อเห็นท่าทางเสียใจอย่างหนักของซินเอ๋อร์ เหลิงเม่ยเฉินรีบเอ่ยขึ้น
“เซวียนตายแล้ว ข้าจะใจเย็นได้เช่นไร!”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ น้ำตาของซินเอ๋อร์ไหลอาบเต็มใบหน้า
เหลิ่งเม่ยเฉินเห็นเช่นนั้น เม้มปากอยู่ชั่วขณะ พลันโน้มตัวลงลองยื่นมือแตะที่จมูกของเหลิ่งอวี้เซวียน ทันใดนั้นล้วงยาลูกกลอนออกมาจากอกตน ก่อนป้อนให้กับเหลิ่งอวี้เซวียน
“เขายังไม่ตาย ตอนนี้ข้าจะพาเขากลับไป จากนั้นตามหมอมาดูอาการ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเหลิ่งเม่ยเฉิน ซินเอ๋อร์ที่ร้องไห้จนแทบขาดใจพลันตกตะลึง ทันใดนั้นเอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อว่า
“อะไรนะ เซวียนยังไม่ตาย จริงหรือ!”
“ย่อมคือความจริง พวกเรารีบพาเขากลับไปก่อนค่อยคุยกันทีหลัง!”
เอ่ยจบ เหลิ่งเม่ยเฉินโน้มตัวลงประคองเอวของเหลิ่งอวี้เซวียนขึ้น พลันพุ่งตรงเข้าไปที่เรือน
หลังวางเหลิ่งอวี้เซวียนที่ไม่ได้สติลงบนเตียง เหลิ่งเม่ยเฉินไปตามหมอ
เมื่อกลับมา หมอผู้นั้นที่ถูกเหลิ่งเม่ยเฉินดึงคอเสื้อด้านหลังลากกลับมาเอ่ยขึ้น
“โอ พ่อหนุ่มเบามือหน่อยเถิด ข้าแก่แล้วจึงทนกับการลงมือเช่นนี้ของเจ้าไม่ไหว!”
คนที่ถูกเหลิ่งเม่ยเฉินพาเข้ามาคือ ชายชรามีอายุประมาณ ห้าสิบหกสิบปี และเวลานี้เขากำลังร้องอย่างทรมาน
ทว่าเหลิ่งเม่ยเฉินไม่ปล่อยให้เขาพูดไร้สาระ พลันชี้มือไปที่เหลิ่งอวี้เซวียนที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง ก่อนเอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“เจ้าช่วยเขาได้หรือไม่!”
“ข้าขอดูอาการก่อน”
หลังได้ยินคำพูดของเหลิ่งเม่ยเฉิน หมอผู้นั้นไม่บ่นอีก รีบเข้าไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว เพื่อจับชีพจรของเหลิ่งอวี้เซวียน
เห็นเช่นนั้น ซินเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ใจเต้นระรัว
น้ำตาที่แห้งเหือดบนใบหน้า ไหลรินขึ้นใหม่อีกครั้ง
“ท่านหมอ ขอร้องได้โปรดช่วยชีวิตเขาด้วย ช่วยเขาด้วย เพียงท่านช่วยชีวิตเขา ชีวิตนี้แม้ต้องเป็นม้าเป็นวัวให้ท่าน ข้าก็ยินยอม!”