สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 342 จำซินเอ๋อร์ได้
เพราะเหลิ่งอวี้เซวียนบาดเจ็บสาหัส แม้ต้องกลับเมืองหลวง ยังต้องให้บาดแผลของเขาหายดีก่อนจึงจะออกเดินทางได้
ดังนั้น ช่วงนี้เหลิ่งอวี้เซวียนจึงพักอยู่ในเรือนที่ซินเอ๋อร์เพิ่งซื้อไว้
โชคดีที่เรือนแห่งนี้มีทั้งหมดสามห้อง ตอนนี้เหลิ่งอวี้เซวียนพักอยู่ในห้องของซินเอ๋อร์ และซินเอ๋อร์ปัดกวาดอีกห้อง ก่อนจะพักอยู่ที่นั้น
ช่วงนี้ซินเอ๋อร์เพราะกลัวเหลิ่งอวี้เซวียนจะรับรู้ถึงบางอย่าง ดังนั้นจึงกลายเป็นเป็นใบ้
เมื่ออยู่ต่อหน้าเหลิ่งอวี้เซวียน เธอจะไม่พูดแม้แต่คำเดียว เหลิ่งเม่ยเฉินเป็นเจ้าบ้านที่พูดน้อย หากให้เขาพูดมาก คงยากกว่าปีนขึ้นฟ้า
ช่วงที่เหลิ่งอวี้เซวียนพักอยู่ที่นี่ จึงจำต้องพูดน้อยไปด้วย
ทว่าซินเอ๋อร์พบว่า เขาชอบยืนอยูริมหน้าต่างคนเดียวยิ่งนัก
ดวงตาของเขา มองไม่เห็นชัด และลูกตาดำไม่สามารถจับจ้องสิ่งใด
ทว่าหูของเขากลับว่องไวอย่างยิ่ง เพียงมีคนเดินเข้ามา เขาจะหันมองได้อย่างแม่นยำ
ทุกครั้งที่สบดวงตาลึกล้ำคู่นั้นของเขา ซินเอ๋อร์มักตกใจ และกังวลหวาดกลัว คล้ายเหลิ่งอวี้เซวียนไม่ได้ตาบอด และเขากำลังมองเห็นเธอ
ดังนั้น ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าเหลิ่งอวี้เซวียน ซินเอ๋อร์จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ความจริง เธอกลัวเหลิ่งอวี้เซวียนจะรับรู้ถึงบางอย่างและรู้ตัวตนของเธอ ดังนั้นเธอจึงควรซ่อนตัวอยู่ให้ไกล ไม่ไปพบเขา
แต่เธอกลับทำใจไม่ได้
เพราะเหลิ่งอวี้เซวียนมองไม่เห็น เธอจึงสามารถปรากฎตัวต่อหน้าเขาได้อย่างกล้าหาญ และมองดูเขา
สวรรค์รู้ว่าช่วงที่ผ่านมา หลังจากเขามา สำหรับเธอทรมานราวตายทั้งเป็นเพียงใด
ตอนนี้เหลิ่งอวี้เซวียนอยู่ในช่วงพักรักษาตัว เธอจึงมีเวลาช่วงสั้นๆ สามารถอยู่ข้างกายเขาได้
พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถหยุดเวลาไว้เช่นนี้ได้ตลอดกาล
ให้เธอได้อยู่ข้างกายเซวียนอีกครั้ง
สำหรับความในใจของซินเอ๋อร์ เหลิ่งเม่ยเฉินต่างมองเห็นอย่างทะลุปุโปร่ง
ดังนั้น แม้จะไม่พอใจ แต่ส่วนใหญ่เขายังเลือกจากไป เพื่อให้ซินเอ๋อร์และเหลิ่งอวี้เซวียนอยู่ด้วยกันเพียงลำพังสองคน
ส่วนใหญ่ซินเอ๋อร์จะทำหน้าที่เช็ดถูโต๊ะ ปัดกวาด ก่อนจะมาอยู่ข้างกายเหลิ่งอวี้เซวียน และหลังเห็นชายหนุ่ม จะไม่ละสายตาไปจากเขา
เช็ดโต๊ะตัวเดียว ใช้เวลากว่าครึ่งวัน
สำหรับความผิดปกติของซินเอ๋อร์ ชายหนุ่มคล้ายไม่รับรู้
เขามักชอบยืนอยู่ริมหน้าต่าง ท่าทางทอดสายตามองออกไปไกล คล้ายมองทะลุหน้าต่างออกไปเห็นบางคน
เมื่อเห็นเขานิ่งเฉยไม่ขยับ ร่างกายนั้นยังคงสูงใหญ่เพรียวบาง ทว่าไม่รู้เหตุใด เมื่อเห็นท่าทางยืนอยู่ริมหน้าต่างเพียงลำพังของเหลิ่งอวี้เซวียน จึงทำให้รู้สึกห่อเหี่ยว โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาขนาดนี้
ทุกครั้งที่เห็นท่าทางนั้นของเขา ซินเอ๋อร์ต่างปวดใจ
หากเป็นไปได้ เธอหวังอย่างยิ่งว่าจะสามารถเดินเข้าไป สวมกอดเขาทางด้านหลัง
เอ่ยกับเขาว่าเซวียน ข้าอยู่ที่นี่ ข้าคือซินเอ๋อร์ ข้าอยู่ข้างกายท่านตลอดไป
ทว่าเป็นไปไม่ได้!
เธอจากมาอย่างยากลำบาก เพราะไม่ต้องการทำร้ายเซวียน
รอให้บาดแผลของเซวียนหายดี พวกเธอจะพาเขากลับไปรักษาดวงตาที่เมืองหลวง ถึงเวลานั้นเธอต้องบอกลาเซวียน
เพียงคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์เศร้าใจ และน้ำตานั้นค่อยๆ ไหลรินลงมาอาบแก้ม
แม้รู้ว่าชายหนุ่มมองไม่เห็น แต่ซินเอ๋อร์ยังเช็ดน้ำตาบนแก้มออกอย่างรวดเร็ว
อาจเพราะรับรู้ว่ามีคนอยู่ด้านหลัง เหลิ่งอวี้เซวียนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง โดยไม่พูดจานั้น กลับพลันเอ่ยขึ้นว่า
“พี่สะใภ้เหลิ่งและพี่เหลิ่งรักใคร่กันยิ่งนัก ช่างน่าอิจฉาจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซินเอ๋อร์อดตะลึงไม่ได้ แต่กลับไม่พูดออกมา
เหลิ่งอวี้เซวียนก็ไม่คิดว่าเธอจะพูดได้ จึงคล้ายเอ่ยพูดกับเธอ และคล้ายพูดกับตนเองเท่านั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“พี่เหลิ่งคงรักท่านมาก ดังเช่นข้าในอดีตที่รักหญิงสาวผู้หนึ่งมากเช่นกัน นางงดงาม ราวกับเทพธิดาที่ไม่ยุ่งเรื่องทางโลก ทว่าสิ่งที่ดึงดูดข้า ไม่ใช่เพียงความงดงามของนาง แต่เป็นเพราะพวกเราเคยรู้จักกันมานานมากแล้ว ตอนนั้นข้าอายุห้าขวบ นางเพิ่งอายุสามสี่ขวบ ตัวเล็ก ใบหน้าเรียวเนียนนุ่ม เสียงอ้อแอ้ น่ารักอย่างยิ่ง ตอนนั้นข้าเล่นสนุกเพลินจึงพลัดหลงกับบ่าวรับใช้ที่วัง ข้าไม่รู้จะกลับวังเช่นไร จึงนั่งร้องไห้อยู่ที่ซอกชายคาแห่งหนึ่ง และหิวอย่างมาก ต่อมามีเด็กสาวคล้ายเทพธิดาน้อยผู้นี้ ปรากฎตัวขึ้นด้านหน้าข้า นางมอบน้ำตาลปั้นให้ข้าทาน และยังแบ่งหมั่นโถวเย็นชืดที่มีเพียงลูกเดียวของนางให้แก่ข้า หมั่นโถวลูกนั้น เป็นหมั่นโถวที่เย็นและแข็งที่สุดที่ข้าเคยทานมา ทว่าตอนนั้นข้ากลับทานอย่างดีใจ ต่อมาพวกเราสองคนไปจับกบที่เขาด้านหลัง จากนั้นนำกบพวกนั้นเสียบไม้ย่างทานกัน รสชาตินั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก และคือสิ่งที่อร่อยที่สุดตั้งแต่ข้าเคยทานมา ต่อมาไม่ว่าข้าจะจ่ายเงินซื้อกบย่างทานมากเพียงใด ต่างไม่ได้รสชาติเช่นนั้น เด็กสาวผู้นั้นถูกครอบครัวรับตัวไป ข้าจึงไม่รู้ว่านางไปที่ใด และไม่รู้ว่าจะได้เจอนางอีกครั้งหรือไม่ แต่ในใจข้า สำหรับนาง ข้าไม่เคยลืมเลือน มักคิดเสมอว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่ ตามหานางพบแน่นอน ถึงเวลานั้นหากนางยังไม่ออกเรือน และข้ายังไม่ออกเรือน เช่นนั้นข้าจะแต่งนางเป็นภรรยา”
ชายหนุ่มเอ่ยพึมพำขึ้น
ซินเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา หลังได้ยินคำพูดนี้อดเบิกตากว้างไม่ได้ ภายในสมองพรั่งพรูภาพอันเลือนลางขึ้นมา
ตอนเด็ก เธอคล้ายเคยพบพี่ชายคนหนึ่ง พี่ชายผู้นั้นพลัดหลงกับครอบครัว จากนั้นพักค้างแรมอยู่ที่เรือนของเธอหนึ่งคืน เวลานั้นเธอไม่มีสหายอื่น จึงเล่นสนุกกับพี่ชายผู้นั้นอย่างเบิกบานใจ
ทว่าวันถัดมา ครอบครัวของพี่ชายตามหาเขาพบ และต่อมาเธอจากไปพร้อมมารดาของเธอ
ความทรงจำในวัยเด็กนี้ ความจริงเธอลืมเลือนไปแล้ว ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม เรื่องนี้กลับทะลักขึ้นมาในสมองของเธอ
นึกย้อนไปถึงขณะที่เธอเพิ่งรู้จักกับชายผู้นี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเอาใจใส่รอบคอบ และยังเอ่ยว่าพวกเขาความจริงรู้จักกันมาก่อน
ขณะนั้นเธอไม่เข้าใจว่าเขาหมายความเช่นไร เพราะชายที่โดดเด่นเช่นเขานี้ หากเธอรู้จักมาก่อน เหตุใดจึงลืมเลือน!
ก่อนหน้านี้ เธอไม่เข้าใจคำพูดของชายผู้นี้มาตลอด ทว่าตอนนี้ในที่สุดเธอจึงเข้าใจ
ที่แท้ชายผู้นี้จำเธอได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
และเมื่อครู่เขาพูดสิ่งใด!
หากนางยังไม่ออกเรือน และข้ายังไม่ออกเรือน เช่นนั้นข้าจะแต่งนางเป็นภรรยา!
พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์สั่นไหวในใจอย่างรุนแรง
ที่แท้เซวียนรู้สึกเช่นนั้นกับเธอตั้งแต่แรก
เซวียนเขา ที่แท้รักเธอมาเนิ่นนาน
เมื่อรู้เรื่องนี้ ซินเอ๋อร์สั่นไหวในใจ น้ำตาไหลรินอย่างไม่รู้จบราวกับเขื่อนแตก
สองเท้า คล้ายเคลื่อนไหวด้วยตนเอง ค่อยๆ เดินเข้าไปที่ด้านหลังชายหนุ่ม
ชายหนุ่มกลับคล้ายไม่สนใจ จมอยู่ในความคิดของตนเอง และเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ซินเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่ใด อยู่ที่ใดกันแน่น หรือเจ้าไม่รู้ว่าข้ารักเจ้าเพียงใด เหตุใดจึงใจดำ เหตุใดจึงทิ้งข้าไป เพราะเหตุใด หากไม่มีเจ้า ข้ายอมตาย!”
พอเอ่ยถึงคำสุดท้ายนั้น ชายหนุ่มเศร้าหดหู่ คล้ายไม่นานเขาจะตายลงจริงๆ
ซินเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเห็นเข้าพลันตกใจ ทันใดนั้นร้องอย่างตกใจทันที
“ไม่ เซวียน”
หลังคำพูดของซินเอ๋อร์ ชายหนุ่มที่เศร้าหดหู่ใจ กลับพลันเงียบสงบลง
จากนั้นหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับซินเอ๋อร์
ดวงตาเข้มเบิกกว้าง ก่อนเอ่ยถามขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
“ซินเอ๋อร์ เป็นเจ้าหรือ เป็นเจ้า ข้ารู้ว่าคือเจ้า!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเหลิ่งอวี้เซวียน ซินเอ๋อร์ตกใจอย่างหนัก ก่อนนึกได้ว่าตนตกใจจนควบคุมสติไม่อยู่ จึงถูกเหลิ่งอวี้เซวียนจำน้ำเสียงได้
ทันใดนั้น ซินเอ๋อร์สับสนอย่างหนัก เพราะไม่รู้ควรทำเช่นไร
เวลานี้เมื่อเผชิญคำถามของชายหนุ่ม และการเข้าใกล้เรื่อยๆ ของชายหนุ่ม ซินเอ๋อร์จึงเพียงถอยหลังไป
จนกระทั่งแผ่นหลังเธอชนเข้ากับผนัง ไร้หนทางถอยหนี ซินเอ๋อร์ตกใจ ก่อนคิดโน้มตัวหลบชายหนุ่ม
แต่เธอยังไม่ได้ขยับ ชายหนุ่มคล้ายพยาธิในท้องของเธอ ยื่นมือกอดตัวเธอไว้แน่น
“ฮ่า ๆ ซินเอ๋อร์ เป็นเจ้าจริงๆ เป็นเจ้าจริงๆ ฮ่า ๆ”
“ไม่ ข้าไม่ใช่”
เมื่อได้ยินคำพูดเหลิ่งอวี้เซวียน ซินเอ๋อร์อดบิดตัว พร้อมเอ่ยปฏิเสธไม่ได้
สำหรับคำพูดนี้ของเธอ เหลิ่งอวี้เซวียนกลับเอ่ยอย่างมั่นใจว่า
“เป็นเจ้า ข้ารู้ว่าคือเจ้า เสียงของเจ้า ร่างกายของเจ้า กลิ่นกายของเจ้า ข้าคุ้นเคยและรู้ชัดกว่าเจ้า เช่นนี้แล้วเจ้ายังปฏิเสธอีกหรือ หรือเจ้าไม่รักข้า จึงคิดทิ้งข้าไปเช่นนี้!”
เมื่อเผชิญกับคำพูดคล้ายคำรามของเหลิ่งอวี้เซวียน ซินเอ๋อร์น้ำท่วมปากเมื่อถูกถาม
เพราะสถานะของเธอ ยากที่เปิดเผยออกไปได้
และเธอรู้ดีว่าหากเธอบอกสถานะที่แท้จริงของตน เหลิ่งอวี้เซวียนต้องไม่แยแสแน่นอน
เขารักเธอ!
เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดต้องสงสัย
ถึงเวลานั้น เขาต้องพยายามทุกวิถีทาง ไม่ว่าต้องเผชิญกับโทษประหาร ต้องปกป้องเธอ
ทว่านี่คือสิ่งที่เธอไม่ต้องการที่สุด
เธอรักเซวียน ขณะเดียวกันต้องการให้เขามีชีวิตที่ดี
เธอไม่ต้องการเห็นเขา ต้องบาดเจ็บใดๆ เพราะตนเอง
พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์ทรมานในใจ แต่กลับไม่รู้ควรทำเช่นไร เพียงเอ่ยขึ้นพลางร้องไห้ว่า
“เซวียน ขออภัย ท่านลืมข้าเถิด ข้า ข้าไม่คู่ควรกับท่าน ยังมีหญิงสาวอีกมากมายที่ดีกว่าข้า และเหมาะสมกับท่านมากมายแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดของซินเอ๋อร์ เหลิ่งอวี้เซวียนตาเบิกกว้าง และอดตะคอกซินเอ๋อร์ไม่ได้
“แม้ใต้หล้านี้จะมีหญิงสาวมากมาย แต่ข้าต้องการเพียงเจ้าคนเดียว ซินเอ๋อร์ ความรักที่ข้ามีต่อเจ้า เจ้าไม่รู้สึกถึงมันเลยหรือ!”
“ข้าทราบดี ข้าทราบดี ท่านรักข้า แต่ แต่ว่า…”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ทันใดนั้นซินเอ๋อร์ไม่รู้ควรพูดเช่นไรดี
ทันใดนั้น เหลิ่งอวี้เซวียนกลับเอ่ยคำพูดที่ทำให้ซินเอ๋อร์ตกตะลึงและไม่เชื่อสายตาออกมา
“เจ้าคิดว่าตนคือบุตรสาวของเจ้าลัทธินอกรีต ดังนั้นจึงเลือกทิ้งข้ามาจริงหรือ!”
……………………………………………………………..