สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 38 ทานอาหารเช้า + ตอนที่ 39 ความจู้จี้ของพญายม (1)
- Home
- สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!
- ตอนที่ 38 ทานอาหารเช้า + ตอนที่ 39 ความจู้จี้ของพญายม (1)
ตอนที่ 38 ทานอาหารเช้า
แต่ทว่า นี้ไม่ควรโทษเธอ! เข็มขัดเส้นนี้ล้วนไม่มีสิ่งใดเลย เธอจะรู้ว่าใช้อย่างไรได้ที่ไหนกัน
ขณะที่บ่นในใจ เล่อเหยาเหยายังก้มศีรษะลง สองมือขยำที่ชายเสื้อไม่หยุด ก่อนจะเอ่ยอย่างขลาดกลัวออกมา
“คือ คือว่าบ่าว ทำไม่ได้ขอรับ”
เล่อเหยาเหยาพูดความจริง อีกทั้งตอนนี้เธอไม่กล้ามองหน้าชายหนุ่มจริงๆ ในใจรู้สึกหวาดหวั่น กลัวจะทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจ แล้วเสียง ‘ฉับๆ’ ดังขึ้นศีรษะของเธอและร่างกายแยกออกจากกัน
อันที่จริงเสี่ยวมู่จื่อเคยพูดไว้ว่า ครั้งก่อนมีขันทีใหม่ที่เพิ่งเข้ามา เพราะทำถ้วยชาแตก จึงถูกพญายมตรงหน้านี้สังหารตาย ตอนนี้เธอไม่เพียงฉีกทำลายเสื้อผ้าของเขา หากยังกลัดเข็มขัดผิด ไม่รู้ว่าเขาจะลงโทษเธอเช่นไร
ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยายิ่งกังวลในใจ
อันที่จริงเธอกลัวตาย
ขณะที่เล่อเหยาเหยาวิตกกังวลในใจกลัวถูกลงโทษ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เพียงยืนมองเธออย่างเย็นชา
ความจริงเมื่อครู่เขารู้สึกโมโหจริง เพราะเหล่าท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่เช่นเขา มีปมรูปผีเสื้ออยู่ที่ช่วงเอว ดูดีเช่นนั้นหรือ!?
ทว่าเมื่อเขาเห็นขันทีน้อยตรงหน้า มองยังเขาด้วยสีหน้าท่าทางที่หวาดหวั่นใจและขลาดกลัว ในใจเขาจึงอดที่จะอ่อนลงไม่ได้
ความคิดที่จะเอ่ยตะคอกออกไป ล้วนหยุดลงอยู่ในอก
เพราะขันทีน้อยตรงหน้า ทำให้เขารู้สึกคล้ายกระต่ายตัวน้อยที่ตื่นตกใจได้ง่าย ทั้งน่ารักและทำให้ผู้คนสงสารเห็นใจ
โดยเฉพาะเมื่อเธอใช้ดวงตากลมโตที่เหงาหงอยไร้เดียงสาแอบมองการเคลื่อนไหวของเขา แม้ตอนนี้เขาจะมีความเดือดดาลอย่างมาก ยังมลายจางหายไปอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายเหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงถอนใจออกมาเบาๆ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจนใจ
“เจ้าทำไม่ได้ เมื่อครู่ไยมิถามข้า?”
“เออ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาเพียงกัดริมฝีปากล่างเบาๆ จากนั้นแอบมองใบหน้าหล่อเหลาด้านบนนั้นครู่หนึ่ง จึงเห็นภายในดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความจนใจ จึงทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกตะลึงบางส่วน
อันที่จริงเมื่อครู่เธอทำเรื่องผิดพลาดมากมายขนาดนั้น เพราะเหตุใดชายผู้นี้ถึงไม่ลงโทษเธอ ทว่าบนใบหน้ากลับมีเพียงความจำใจ
เขาเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนจะแตกต่างจากพญายมในข่าวลือบางส่วน
ขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังสงสัยในใจ พลันเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ครั้งนี้ถ้าจะไม่ถือสา วันนี้ข้าจะคาดเอง เจ้าดูให้ดี ครั้งต่อไปห้ามทำผิดอีก”
“ขอรับ”
เล่อเหยาเหยาขานรับเสียงเบา ส่วนทางด้านเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเริ่มคาดเข็มขัดให้ตนเอง
อีกทั้งในตอนนี้เล่อเหยาเหยาจึงสังเกตเห็นว่ามือของชายหนุ่มนั้นงดงามอย่างมาก
นิ้วทั้งสิบเรียวยาว ข้อกระดูกเด่นชัด แม้กระทั่งเล็บมือล้วนตัดแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คล้ายศิลปกรรมที่วางอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สวยงามอย่างยิ่ง
ท่าทางของชายหนุ่มดูมีสง่างามอย่างมาก ผ่านไปไม่นานเขาจึงรัดเข็มขัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
“เห็นชัดแล้วใช่หรือไม่?”
หลังจากรัดเข็มขัดเสร็จ และจัดระเบียบเสื้อผ้าบนร่างกายให้เรียบร้อยอีกครั้งแล้ว เขาจึงเอ่ยปากถามเล่อเหยาเหยา
“ขอรับ บ่าวเห็นแล้ว”
เล่อเหยาเหยาขานรับเสียงเบา แล้วจึงพบว่าตนนั้นช่างโง่เขลา เข็มขัดเส้นนั้นง่ายดายอย่างมาก เพียงรัดเบาๆ ก็เรียบร้อยแล้ว แต่ตนเองกลับทำไม่ได้
ขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังเสียใจอยู่นั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงเหล่ตามองเธอเล็กน้อย ก่อนที่จะหมุนตัวออกจากห้องไป เล่อเหยาเหยาเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงเดินตามเขาออกไป
เพียงเลี้ยวจากห้องที่จากมา ก็จะเป็นห้องโถงของเรือนหย่าเฟิง
ห้องโถงของเรือนหย่าเฟิงได้ตกแต่งอย่างหรูหรา
พื้นด้านล่างเป็นอิฐสีเขียวคราม แวววาวกระทบสายตา ด้านบนปูด้วยพรมที่ถักทอเป็นรูปกลุ่มมังกรและคทาหยูอี้
ม่านผ้าไหมที่บางเบาบนหน้าต่างทั้งสองด้าน บนโต๊ะไม้มะเกลือลายสลักริมหน้าต่าง มีแจกันและเครื่องหยกหลากหลายประเภทที่มีค่าสูงถูกเช็ดถูอย่างสะอาดสะอ้านวางอยู่ เมื่อแสงแดดสาดส่องเข้ามา กลายเป็นแสงแวววาวที่แสนกลมกลืน
และตรงกลางบนโต๊ะไม้มะเกลือลายสลักทรงกลมขนาดใหญ่ ได้มีอาหารเช้าที่หน้าตาน่าทานกว่าสิบอย่างวางอยู่
เช่น โจ๊กรังนก หูฉลาม ปอเปี๊ยะทอด อาหารประเภทเกี๊ยวและของหวานหลากหลายชนิดที่ทำขึ้นมาอย่างประณีต
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 39 ความจู้จี้ของพญายม (1)
อาหารที่หลากหลายทำให้คนที่เห็นจ้องตาไม่กระพริบ และยังทำให้เล่อเหยาเหยาที่มองน้ำลายไหล
อันที่จริงตื่นนอนตั้งแต่เช้าเธอยังไม่ได้กินสิ่งใดเลย! ตอนนี้ท้องของเธอกำลังว่างเปล่าราวเมืองร้าง เมื่อเห็นอาหารที่น่าทานมากมายตรงหน้า จึงส่งผลให้พยาธิในท้องเธอตื่นขึ้นมา
ทว่าเล่อเหยาเหยาไม่กล้าเปิดเผยความคิดภายในใจของตนออกมามากเกินไป เพราะถึงอย่างไรด้านข้างโต๊ะไม้ทรงกลมนั้น ยังมีคนที่ยืนนิ่งราวรูปปั้นอยู่!
เห็นเพียงหัวหน้าขันทีลี่ยืนรออยู่ที่นี่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋เดินเข้ามา ก็รีบเรียกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลสีหน้านอบน้อม
“ท่านอ๋องเมื่อคืนหลับสบายหรือไม่ขอรับ”
“อืม ก็ดี”
เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าขันทีลี่ เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงพยักหน้าเบาๆ พลันสะบัดชายเสื้อ ก่อนจะนั่งลงแล้วหยิบชามและตะเกียบขึ้นมากินอาหารเช้า
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น จึงยืนอยู่ด้านข้างออกไปห่างๆ
อันที่จริงตอนนี้เขาล้วนกำลังกินอาหาร ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแล้ว พร้อมทั้งเธอตอนนี้รู้สึกหิวมาก กลัวว่าถ้าเดินเข้าไปใกล้ เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารที่ส่งกลิ่นเย้ายวน จนอดทำเรื่องที่น่าอับอายออกมาไม่ได้
ดังนั้นเมื่อเล่อเหยาเหยายืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ พลันรู้สึกเบื่อหน่าย สายตาจึงสอดส่องไปมาทั่วทุกแห่งตั้งแต่ทิศตะวันออกจนถึงทิศตะวันตก พิจารณาสภาพแวดล้อมรอบด้านทั้งสี่ทิศ
จนกระทั่ง ‘ปัง’ ที่กึกก้องดังขึ้น จนทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกเย็นยะเยือกในใจ จิตใจที่ลอยปลิวไปพลันได้กลับคืนมา จากนั้นจึงมองไปที่ต้นเสียงนั้น
เห็นเพียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋วางตะเกียบและชามลง ด้วยสีหน้าไร้ความตื่นตระหนกกังวล ทำให้คนที่มองไม่อาจล่วงรู้ความคิดของเขา
ทว่าเมื่อยังอาหารตรงหน้าเขาอีกครั้ง กลับชิมไปเล็กน้อยเพียงคำเดียว ไม่ได้กินเข้าไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น หัวหน้าขันทีลี่ที่อยู่ด้านข้างพลันเดินเข้าไป เอ่ยถามอย่างใส่ใจว่า
“ท่านอ๋อง อาหารวันนี้ไม่ถูกปากหรือขอรับ?”
“อืม”
เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าขันทีลี่ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงใช้มือจับผ้าเช็ดหน้าสวยงามเช็ดที่มุมปาก พร้อมกับขานรับเสียงเบา
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา แล้วมองยังอาหารตรงหน้าบนโต๊ะที่ชิมเพียงคำเดียว เล่อเหยาเหยาแทบกระโดดเข้าไปด่าทอคนเข้าแล้ว
ชายผู้นี้ช่างสิ้นเปลืองเสียจริง!
เขาเพียงคนเดียว กลับทำอาหารเช้าออกมา กว่าสิบอย่าง อีกทั้งวัตถุดิบของอาหารทุกจานล้วนชั้นดีราคาสูง รังนกหูฉลามอะไรพวกนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ค่าอาหารมื้อนี้สามารถกินอยู่ได้หลายเดือนแน่นอน
แต่เขากลับไม่แตะอาหารพวกนี้เลยสักนิด เพียงพูดว่าไม่ถูกปาก ไม่รู้ว่ากระเพาะอาหารของเขาทำจากอะไร
ขณะที่เล่อเหยาเหยาวิพากษ์วิจารณ์/นินทาอยู่ในใจ สายตาเพ่งมองยังอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น
ถ้าตอนนี้นำอาหารบนโต๊ะมาให้เธอกินจะดีขนาดไหนกัน
ขณะที่กำลังคิด จึงได้ยินเสียงของหัวหน้าขันทีลี่ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“งั้นท่านอ๋องอยากกินอะไรขอรับ บ่าวจะได้รีบไปสั่งการลงไป”
“อืม กินอะไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าขันทีลี่ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง ส่วนอีกมือที่เรียวยาววางพาดลงบนโต๊ะ พร้อมเคาะตีเป็นจังหวะเบาๆ คล้ายกำลังใช้ความคิดอยู่
หลังเงียบอยู่นาน จึงได้ยินเขาเอ่ยปากว่า
“วันนี้ข้าอยากกินพวกอาหารรสเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ”
“ได้ขอรับ บ่าวจะรีบไปจัดการ!”
หัวหน้าขันทีลี่โค้งตัวลงหลังเอ่ยจบ ก่อนจะหมุนกายจากไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานประตูด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าที่รีบร้อนดังเข้ามา
นอกจากเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามา ยังมีกลิ่นเปรี้ยวเผ็ดที่ทำให้คนน้ำลายไหลหิวจนท้องร้องขึ้นมา
มันคือปลาไนต้มผักดองเสฉวน!
เมื่อได้กลิ่นหอมนั้น แม้เล่อเหยาเหยาไม่ได้เห็น ก็ทราบดีว่าเป็นอาหารชนิดใด
ว่ากันจริงๆ แล้วตั้งแต่เล็กจนโตเธอชื่นชอบที่สุดคือสิ่งที่ทั้งเปรี้ยวทั้งเผ็ด กินร้อยรอบก็ไม่เบื่อ
…………………………………………………………………..