สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 46 ปรนนิบัติท่านอ๋องขึ้นรถม้า + ตอนที่ 47 อับอายอีกครั้ง
- Home
- สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!
- ตอนที่ 46 ปรนนิบัติท่านอ๋องขึ้นรถม้า + ตอนที่ 47 อับอายอีกครั้ง
ตอนที่ 46 ปรนนิบัติท่านอ๋องขึ้นรถม้า
เล่อเหยาเหยาเดินตามหลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เมื่อถึงหน้าประตูใหญ่ของตำหนักอ๋องพลันถูกรถม้าคันที่จอดอยู่หน้าประตูดึงดูดเอาไว้
เพียงเห็นคนม้าคันนี้ ทั้งสี่มุมฝังด้วยเม็ดทับทิมสีแดงเม็ดใหญ่สี่เม็ด ด้านนอกสร้างจากไม้พะยูงสีดำชั้นดี หน้าต่างประดับด้วยพู่สีทองระย้า พลิ้วไสวตามสายลม ภายใต้แสงอาทิตย์อันเรืองรองรถม้าจึงเป็นประกายระยิบระยับ งดงามหรูหราอย่างยิ่ง!
ไม่น่าแปลกใจที่คนอื่นล้วนพูดว่าการเกิดในราชวงศ์เป็นบุญวาสนาจากชาติปางก่อน เพียงรถม้าก็สร้างอย่างหรูหรามีเกียรติ ไม่ว่าจะไปที่ใด ล้วนเป็นที่อิจฉาของผู้อื่น!
ยังมีม้าพันธุ์ดีที่ใช้ลากรถม้าที่แม้เธอจะไม่รู้เรื่องม้า แต่ก็รู้จากลักษณะภายนอกของม้าตัวนั้น
มันมีขาแข็งแรง ดวงตาสุกใส จึงรู้ว่าต้องเป็นม้าชั้นดีกว่าม้าที่คนธรรมดาใช้งานกันอย่างแน่นอน!
แม้สมัยโบราณจะไม่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน ทว่าหากนำรถม้าอันหรูหราคันนี้ส่งไปที่ยุคปัจจุบัน จะต้องอยู่ในระดับเดียวกับแลมโบกินี่แน่นอน!
ขณะที่เล่อเหยาเหยาตะลึงในใจ พลางกวาดสายตามองเหล่าองครักษ์ที่มีดาบเหน็บไว้ที่เอวด้านหลังของรถม้าอีกครั้ง
เห็นเพียงองครักษ์ทุกคนสวมหมวกและเสื้อเกราะที่ทั้งหนาทั้งหนัก ดาบเหน็บที่เอว สีหน้าสุขุมน่าเกรงขาม และมีดวงตาที่เยือกเย็น เหมือนกับเจ้านายของพวกเขา!
ขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังคิดใจ ถูกคนผลักอย่างรุนแรงเข้าที่ไหล่โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้เธอพลันได้สติหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นใบหน้าบอกใบ้ที่ดุดันของหัวหน้าขันทีลี่
“ยืนโง่อะไรอยู่อีก ยังไม่รีบมาปรนนิบัติขึ้นรถม้าอีก!”
“หา! ปรนนิบัติอย่างไรขอรับ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าขันทีลี่ เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ขึ้นรถม้าก็ขึ้นรถม้าไปสิ ยังต้องให้ปรนนิบัติสิ่งใดอีก?
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาที่ได้ยินคำพูดของตนแล้ว ยังมีท่าทางโง่งม สีหน้าหัวหน้าขันทีลี่มืดครึ้มยิ่งขึ้น
“บ่าวรับใช้ผู้นี้ช่างโง่เขลาเสียจริง! รถม้าสูงขนาดนั้น เจ้าจะให้ท่านอ๋องขึ้นไปเช่นไร เจ้าต้องหมอบลง เพื่อให้ท่านอ๋องเหยียบขึ้นไปสิ!”
“หา!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าขันทีลี่ เล่อเหยาเหยาจึงเบิกตากว้างตกตะลึง รู้สึกอัปยศอดสูอย่างมาก
แม้ก่อนหน้านี้เธอจะเคยเห็นผ่านทีวีว่าหากเหล่าเจ้านายขึ้นรถม้า ผู้ใต้บังคับบัญชานั้นต้องหมอบตัวลงหงอแผ่นหลังขึ้น เพื่อให้เจ้านายเหยียบขึ้นไป
แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน ทว่าเธอเป็นคนสมัยใหม่ที่ข้ามเวลามาจากศตวรรษที่ยี่สิบสอง คุ้นเคยกับโลกที่ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเป็นบ่าวรับใช้คอบปรนนิบัติผู้อื่นไม่เป็นธรรมพอแล้ว ตอนนี้ยังต้องหมอบตัวลงให้คนอื่นเหยียบหลังขึ้นรถม้าอีก!
เรื่องประเภทนี้เธอไม่ทำแน่นอน!
เพราะถึงอย่างไรเธอเป็นคน มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี อย่างมากแค่โดนโบยด้วยไม้ ถ้าอยากตัดหัวเธอ เธอก็ยอม!
หลังเธอตายไป อาจสามารถข้ามเวลากลับไปยุคเดิมได้!
ขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังคิดในใจ สีหน้าพลันดื้อรั้นขึ้น ไม่สนสายตาคล้ายต้องการฆ่าคนของหัวหน้าขันทีลี่ที่อยู่ด้านข้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวไม่หวาดหวั่น
ทว่ามือที่ซ่อนในชายเสื้อคู่นั้นกลับกำมัดแน่น
อันที่จริงจะพูดอย่างไร เธอยังกลัวความตายที่สุด
โดยเฉพาะเมื่อเห็นชายหนุ่มสูงศักดิ์นั้นก้าวเข้ามายังรถม้าอันหรูหราคันนั้น เธอจึงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา
หัวหน้าขันทีลี่ด้านข้างเห็นดังนั้นจึงกัดฟันแน่นอย่างโมโห แอบก่นด่าในใจ บ่าวรับใช้สมควรตายผู้นี้! เจ้านายจะต้องขึ้นรถแล้ว เขายังมัวยืนอะไรอยู่ตรงนี้!?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวหน้าขันทีลี่จึงโมโหอย่างมาก จึงผลักที่หลังของเล่อเหยาเหยาให้เดินเข้าไป
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 47 อับอายอีกครั้ง
ขณะนั้นหัวหน้าขันทีลี่เพียงคิดผลักเล่อเหยาเหยาให้ไปปรนนิบัติท่านอ๋องขึ้นรถม้า ทว่าเพราะก่อนหน้านี้โมโหที่ขันทีน้อยนี้ไม่รู้ความ ดังนั้นจึงพลั้งมือออกแรงผลักหนักเกินไป
เล่อเหยาเหยาคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าขันทีลี่จะผลักเธอและโมโหรุนแรงเช่นนี้
ร่างกายอันบอบบางของเธอตอนนี้ จะทนแรงผลักจากหัวหน้าขันทีลี่ได้อย่างไร ดังนั้นเธอที่ถูกหัวหน้าขันทีลี่ผลักโดยไม่ทันตั้งตัว จึงกรีดร้อง ‘อา’ ออกมาพร้อมพุ่งตัวไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอ
เมื่อเสียงกรีดร้องของเธอดังขึ้น เหล่าองครักษ์บนม้าตัวใหญ่ที่เห็น เห็นเข้าจึงเหินตัวมาแตะเธอออกไป
อันที่จริงพวกเราได้รับฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก มีจุดประสงค์อย่างเดียวคือปกป้องคุ้มครองท่านอ๋องจากอันตราย ไม่ว่าผู้ใดหากคิดทำร้ายท่านอ๋อง พวกเขาล้วนต้องเข้าสกัดกั้น
ดังนั้นทันทีที่เห็นเล่อเหยาเหยาสูญเสียการทรงตัวพุ่งมาที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ พวกเขาจึงยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้
ทว่าเมื่อพวกเขากำลังจะเหินตัวเข้ามาที่เล่อเหยาเหยา ทางเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวด้านหลัง เพียงขมวดคิ้วส่งสัญญานออกไป เหล่าองครักษ์ต่างข้องใจ แต่ยังทำตามคำสั่งของเจ้านายโดยไม่บุ่มบ่ามเข้าไป
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เมื่อเห็นเงาร่างสีน้ำเงินของขันทีน้อยกำลังพุ่งมาที่ตน คิดว่าตนมีความสามารถมและพลังมากพอที่จะเบี่ยงตัวหนีได้
ทว่าเขายังไม่ทันตั้งตัว ร่างกายเหมือนเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง ปักหลักอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง อ้าแขนออกเล็กน้อยรับตัวขันทีน้อยเอาไว้
ทางด้านเล่อเหยาเหยาหลังถูกหัวหน้าขันทีลี่ผลักได้เตรียมใจว่าต้องหน้าทิ่มลงพื้นเป็นแน่ กลับกลายเป็นว่าความเจ็บปวดนั้นยังไม่มาถึง ตนกลับล้มบนลงสิ่งที่หนานุ่มเสียก่อน
แม้จะไม่เจ็บปวดและสิ่งของที่หนานุ่มนั้นยังยืดหยุ่นอย่างมาก ทว่าเล่อเหยาเหยาที่เมื่อครู่ตกใจอย่างหนัก ที่เรียกสติกลับมาไม่ได้ สมองจึงยังมึนงงเช่นเดิม
รู้สึกเพียงตนคล้ายถูกสิ่งที่อบอุ่นโอบกอดเอาไว้อย่างแน่นหนา พร้อมกับได้กลิ่นอำพันทะเลอันแสนคุ้นเคยที่หอมอย่างยิ่ง คล้ายเคยดมจากที่ใดมาก่อน
ขณะที่เล่อเหยาเหยาสงสัยในใจจมูกพลางสูดกลิ่น ด้วยท่าทางที่คล้ายกับลูกสุนัขแสนน่ารัก
จนในที่สุดเธอจึงนึกได้ว่ากลิ่นอำพันทะเลแสนคุ้นเคยนี้ส่งกลิ่นออกมาจากที่ใด น้ำเสียงที่แหบแห้งอ่อนโยนดังขึ้นมา
“เจ้าดมพอหรือยัง?!”
“เออ”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงแหบแห้งแสนคุ้นเคย เล่อเหยาเหยาพลันคล้ายโดนฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
ทันใดนั้นใบหน้าเล็กราวเป็นเครื่องจักรกลค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เมื่อดวงตางดงามสบเข้ากับดวงตาเย็นชาคู่นั้น เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงหนังศีรษะชาวาบ ใบหน้าสดใสพลันรู้สึกอยากตายขึ้นมา
สวรรค์! เธอเสียทั้งหน้าเสียทั้งบ้านมารดาหมดแล้ว!
ภายใต้การจับจ้องของทุกคน เธอกำลังกอดชายหนุ่มที่เหมือนภูเขาน้ำแข็งนี้อยู่ และเมื่อครู่ยังเหมือนลูกสุนัขที่ดมกลิ่นไปทั่วร่างกายของเขา
เมื่อคิดดูแล้ว เล่อเหยาเหยาอยากตายจริงๆ!
แม้ในใจเล่อเหยาเหยารู้สึกหงุดหงิดตัวเอง ทว่าหลังสังเกตพบว่าตนยังตกอยู่ในอ้อมกอดของผู้อื่น ร่างกายพลันคล้ายติดสปริงเด้งตัวออกจากร่างของชายหนุ่ม
สายตาที่ขวยเขินนั้นมองไปรอบๆ อีกครั้งจึงเห็นทุกคนยังคงอ้าปากค้าง ชัดเจนว่าล้วนตกตะลึงกับการกระทำเมื่อครู่ของตน
…………………………………………………………………..