สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 65.2 ลงโทษหนัก (จำต้องมอง) (2)
เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาอย่างยิ่งก้าวออกมาจากประตูใหญ่ของวังอ๋อง ทุกคนที่ส่งเสียงดังโวบวายพลันเงียบกริบลงทันที
เพียงเห็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อสีขาวแวววาว ด้านนอกสวมเสื้อคลุมผ้าไหมบางเบา ด้านบนเสื้อคลุมผ้าไหมปักลวดลายก้อนเมฆด้วยดิ้นสีเงิน
ท่วงท่าการเดินของชายหนุ่มสง่างาม ราวล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆ อาภรณ์ปลิวไหว เส้มผมดำขลับปลิวสะบัด ราวกับเขาเป็นเทพเซียนที่เหาะเหินลงมาท่ามกลางสายลม
แต่เมื่อเขาใกล้เข้ามา ทุกคนจึงรู้สึกได้ถึงบุคลิกอันสูงศักดิ์ พร้อมกับไอเยือกเย็นอันน่าเกรงขามที่ออกมาจากตัวเขา
สายตาอันเย็นชา สงบลึกล้ำ ราวบ่อน้ำพันปีที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ทำให้คนไม่คาดเดาสิ่งที่เขาคิดไม่ได้
ความรู้สึกที่ไม่อาจคาดเดาเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออกและกดดัน
นอกจากนี้กลิ่นอายอันโหดเหี้ยมที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เป็นสิ่งที่คนผ่านเข่นฆ่ามาหนาวนานถึงจะมี
สองมือไขว้อยู่ด้านหลัง ก้าวย่างอย่างสง่างามออกมาจากประตูช้าๆ ก่อนที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋จะค่อยๆ กวาดสายตาเย็นชา
เวลานั้นคนที่อยู่ประตูด้านนอกรู้สึกเพียงลมอันเยือกเย็นผัดผ่านใบหน้าพวกเขาไป ราวกับลมหนาวในเดือนสิบสอง ทำให้พวกเขาสั่นเทาอย่างหนัก
เอ้อ…
หนาวเกินไปแล้ว…
ทว่าเอ่ยได้ว่าเพียงสายตา ทำให้พวกเขาหนาวสั่นไปทั้งตัว เช่นนั้นน้ำเสียงแหบแห้งเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ต่อมา จึงเหมือนลากพวกเขาทุกคนเข้าไปในถ้ำน้ำแข็งที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึงอย่างแท้จริง
“พวกเจ้ามาหาเรื่องถึงวังของข้าเลยหรือ?”
น้ำเสียงเหนื่อหน่ายของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ บางเบาทว่าชัดเจน ราวสายลมพัดผ่านยอดไม้ แต่เมื่อทุกคนได้ฟังกลับราวเสียงฟ้าร้อง
“ไม่ ไม่ใช่ขอรับ”
“ไม่มีเรื่องเช่นนี้ขอรับ”
ได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ทุกคนตกใจจนหน้าซีดขาว จิตใจว้าวุ่น
อันที่จริงหากพวกเขามาหาเรื่องที่วังอ๋อง แม้พวกเขาจะมีความกล้าหาญเต็มร้อยล้วนไม่กล้า!
โดยเฉพาะแม้น้ำเสียงของชายหนุ่มจะทรงพลังเหนื่อยหน่าย แต่กลับรู้สึกกดดันยิ่งนัก
คล้ายก้อนหินใหญ่กดทับลงมาที่ศีรษะของทุกคนอย่างรุนแรง
กระทั่งซื่อเฉิงที่เดิมทีโมโหอย่างมาก ตอนนี้คล้ายกับสุนัขไร้ที่พึ่ง สีหน้าราวทำอะไรไม่ถูก
อันที่จริงไม่ว่าสัตว์หรือคน ยามเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าตน ย่อมเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ
ดังเช่นตอนนี้ แม้เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยออกมาเพียงเบาๆ ทว่ากำราบทุกคนอยู่หมัด
ทุกคนที่มองสายตาของเขา ล้วนปิดบังความหวาดกลัวเอาไว้ไม่มิด
เล่อเหยาเหยาที่ตามเหลิ่งจวิ้นอวี๋ออกมา เมื่อเห็นภาพตรงหน้าอดถอนใจไม่ได้
นี่คือพลังอำนาจใช่หรือไม่!?
มองเห็นซื่อเฉิงที่ถูกตนทำร้ายจนกลายเป็นหัวหมูอยู่ตรงหน้า ในใจเล่อเหยาเหยาพลันดีอกดีใจ
เมื่อมองสีหน้าที่หวาดกลัวของซื่อเฉิงนั้นอีกครั้ง เขามันคนชั่วสารเลว! เล่อเหยาเหยายิ่งมองยิ่งดูถูก
หมูอ้วนตัวใหญ่นี้ไม่หยุด
แต่กลับพลันนึกได้ว่าอันที่จริง ตอนที่ตนเผชิญหน้ากับพญายม ในใจตนล้วนหวาดกลัวไม่น้อยกว่าคนอื่น
ขณะที่เล่อเหยาเหยาคิดในใจ ทางด้านซื่อเฉิงคิดว่าตนเองไร้ความสามารถต่อหน้าบ่าวรับใช้ในบ้านเช่นนี้ จึงต้องการกู้หน้าคืนมา
ดังนั้นแม้ในใจจะหวาดกลัวอย่างมาก แต่ยังฝืนทำหน้าสงบนิ่ง ทว่าหากไม่มองขาที่สั่นไม่หยุดของเขาคู่นั้น
“คือ ลุ่ย…รุ่ยอ๋อง วันนี้ กะ…กระหม่อมถูกคนทำร้ายที่โรงเตี๊ยมรื่นรมย์ และคนที่ทำร้ายกระหม่อม เป็นคนของวังท่านอ๋อง ท่านอ๋องจะจัดการเรื่องนี้ให้กระหม่อมเช่นไหร่!?”
เดิมทีซื่อเฉิงลุกลี้ลุกลนอย่างหวาดกลัว ทว่าหลังเอ่ยจบอาจคิดว่าตนบริสุทธิ์ทางวังรุ่ยอ๋องต้องขอโทษเขา พูดไปแล้วเขาจึงไม่ลุกลี้ลุกลนเช่นเมื่อครู่
เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เขายืนอยู่ฝั่งของเหตุผล หากพูดกันแล้วทุกคนล้วนต้องชดใช้ให้เขาไม่ใช่หรือ!?
ดังนั้นเวาลานี้คุณชายซื่อเฉิงจึงยืดตัวตรงขึ้น เอ่ยพูดอย่างไม่ตะกุกตะกัก
แต่ซื่อเฉิงกลับไม่รู้ว่าท่าทางของตนในสายตาของคนอื่น เป็นเพียงการพูดเหยียดหยามใครบางคนเท่านั้น
“อ๋อ ที่แท้คุณชายซื่อถูกคนทำร้ายนี่เอง”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเชื่องช้า ทว่าช่างเข้ากับใบหน้าที่เข้าใจทันทีนั้น มองอย่างไรก็ล้วนขัดหูขัดตา
อันที่จริงสีหน้าเช่นนี้ของเขา แสดงถึงการดูถูกเหยียดหยามอย่างเปิดเผยในสายตาของซื่อเฉิง ทันใดนั้นเห็นเพียงสีหน้าซื่อเฉิงเปลี่ยนไป
หากคนที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่พญายม เกรงว่าคุณชายซื่อคงเข้าไปทำร้ายคนที่มองตนอย่างเหยียดหยามด้วยความโมโหไปแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่คนผู้นี้คือพญายม แม้เขาจะใช้สีหน้าและน้ำเสียงเหยียดหยามตนเช่นไร ซื่อเฉิงย่อมไม่กล้าเข้าไปทำร้ายพญายมตรงหน้าอย่างกินดีหมีหัวใจเสือแน่นอน
เพราะถึงอย่างไรเรื่องฝีมือดุดันโหดเหี้ยมและเกียรติประวัติอันป่าเถื่อนของพญายม ทั่วแคว้นเทียนหยวนทุกคนล้วนทราบดี แค่ไม่กี่วันก่อนมีนักฆ่าลอบเข้ามาในวังของรุ่ยอ๋อง ก็ไม่รู้คนด้านอกทราบได้อย่างไร
ว่ากันว่าวันนั้นพวกคนที่เล็ดรอดจากเขาเหลียงชาน คิดเพ้อฝันเข้าไปในวังฮ่องแก้แค้นให้เหล่าโจรบนเขาเหลียงชานที่เสียชีวิตไป สุดท้ายถูกพญายมจัดการด้วยมือเปล่า โดยไม่่มีเหลือสักคนเดียว และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ วิธีการเสียชีวิตนั้นยังไม่ซ้ำกันอีกด้วย หากไม่ใช่แขนขาดเท้าขาดก็ศีรษะขาด หัวใจลำไส้ถูกควักออกมา
จึงเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองยิ่งนัก
ดังนั้นแม้ในใจซื่อเฉิงจะโมโหอย่างมาก ทว่าก็ไม่กล้าผลีผลาม
แต่นี้เกี่ยวพันถึงหน้าตาของตน ดังนั้นซื่อเฉิงจึงฝืนใจ ใบหน้าราวสุกรดูขัดเขิน ก่อนจะเอ่ยแก้ตัวให้ขึ้น
“คือ คือเพราะตอนที่กระหม่อมไปสุขา ถูกคนสองนั้นใช้กระสอบคลุมที่ศีรษะ เลยตั้งรับไม่ทัน จึงถูกทำร้ายเข้า”
เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย ซื่อเฉิงคล้ายรู้สึกว่าเรื่องที่ตนถูกทำร้ายไม่น่าจะเสียเกียรติ เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ถูกทำร้ายจนไม่เหลือหน้าตาแล้ว จึงรู้สึกโมโหขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงรีบเอ่ยปากอีกครั้งทันที
“ขอท่านอ๋องมอบตัวบ่าวรับใช้สองคนที่ทำร้ายกระหม่อมออกมาเถอะ!”
ซื่อเฉิงเอ่ยจบ หันหน้ามองยังพญายม อีกทั้งไม่เชื่อว่าเขาพูดเช่นนี้แล้ว เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยังจะยังไม่ปล่อยตัวคนออกมา
แต่ครั้งนี้ซื่อเฉิงคิดผิด หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ต้องหวาดกลัวบิดาของเขาที่เป็นถึงรองเสนาบดีกรมพิธีการ จนต้องรีบน้ำบ่าวรับใช้ในบ้านออกมาอย่างแน่นอน ทั้งยังเอ่ยขอโทษขอโพย
แต่หากเป็นวังของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ กลับต้องเกรงอกเกรงใจ
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่มองซื่อเฉิงแม้หางตา เพียงหรี่ตาลง แล้วเอ่ยถามเบาๆ กับหัวหน้าขันทีลี่ที่อยู่ด้านข้าง
“หัวหน้าขันทีลี่ วันนี้บ่าวคนใดออกจากวังไปบ้างหรือ?”
“เรียนท่านอ๋อง วันนี้ไม่มีผู้ใดออกจากวังเลยขอรับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หัวหน้าขันทีลี่กระพริบตาทันที
อันที่จริงจะพูดเช่นไร เขาสามารถนั่งตำแหน่งหัวหน้าพ่อบ้านในวังอ๋องได้ ความคิดความอ่านต้องรอบคอบกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว โดยเฉพาะเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋เติบโตขึ้นมาตั้งแต่เด็ก ความคิดในใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร?
อาศัยเพียงสายตาที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ชำเลืองมาที่ตนเมื่อครู่ ในใจหัวหน้าขันทีลี่คาดเดาได้ทันที พลันใช้สีหน้าและสายตาที่นอบน้อมเอ่ยออกไป
ความเป็นจริงคือเขาสองคนล้วนปั้นน้ำเป็นตัว
ว่ากันจริงๆ แล้ววังรุ่ยอ๋องขนาดใหญ่เช่นนี้ บ่าวรับใช้องครักษ์รวมกันกว่าหนึ่งพันคน บ่าวรับใช้ที่เข้าออกวังในแต่วันจึงนับไม่ถ้วน จะไม่มีผู้ใดออกจากวังได้เช่นไร!?
ดังนั้นหัวหน้าขันทีลี่เอ่ยเช่นนี้ คนตาดีแค่มองก็รู้ว่าเขาโกหก
หากเปลี่ยนคนอื่นที่ฉลาดกว่านี้สักนิด คงรู้ดีว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋และหัวหน้าขันทีลี่กำลังปกป้องอะไรอยู่ และไม่คิดนำคนออกมา
อีกทั้งเขาเป็นถึงท่านอ๋องสง่างามแห่งแคว้นเทียนหยวน คนเดียวมีบ่าวรับใช้กว่าพันคน แม้จะเป็นฮ่องเต้บางครั้งยังต้องฟังเขา ทั่วแคว้นเทียนหยวนมีผู้ใดกล้าทำอะไรเขา!?
แต่จู่ๆ กลับมีชายอ้วนที่โง่เขลา ไม่ยอมรับว่าตนคือคนโง่ที่มองไม่ออกถึงสิ่งที่แฝงอยู่ภายใน เดินเข้ามาตะโกนดังสั่นกับหัวหน้าขันทีลี่
“สุนัขรับใช้เช่นเจ้า แก่จนเลอะเลือนแล้วใช่หรือไม่? จะไม่มีผู้ใดออกไปได้อย่างไร? เจ้าอย่าโกหกข้าดีกว่า อีกอย่างป้ายนี้เป็นของวังรุ่ยอ๋องพวกเจ้า เจ้าอย่ามาเล่นลูกไม้กับข้า!”
ซื่อเฉิงตะโกนเสียงดังขึ้น แม้หลี่คุ่ยที่อยู่ด้านข้างจะยับยั้งเช่นไร ก็สายเกินแก้ไปแล้ว
…………………………………………………