สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 67.4 เลือดกำเดาไหล (4)
…
เมื่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋มาถึงด้านนอกห้องพักของเล่อเหยาเหยา อดขมวดคิ้วงดงามไม่ได้
อันที่จริงนี้เป็นครั้งแรกที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋มาที่พักของบ่าวรับใช้ และเป็นครั้งแรกที่รู้ว่าเดิมทีที่พักของบ่าวรับใช้เรียบง่ายเช่นนี้
นี้เป็นแถวบ้านชั้นเดียวขนาดเล็ก ด้านหน้ามีลานบ้าน ด้านบนมีชั้นวาง น่าจะใช้ตากเสื้อผ้า
ด้านข้างชั้นวาง มีบ่อน้ำ ด้านหน้าบ้านขั้นเดียวเหล่านั้น มีแสงเทียนเลือนลางสาดส่องออกมา เห็นชัดว่าเวลานี้มีคนอยู่ด้านใน
ทว่าบางห้องกลับมืดมิด ในนั้นมีห้องที่มืดมืดห้องหนึ่ง ประตูลายสลักเรียบง่ายนั้นถูกเปิดออกจากด้านนอก
สาบลมเย็นจึงพัดเข้าไปไม่หยุด จนประตูไม้ลายสลักบานนั้นเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ทำให้คนที่เห็นกังวลว่าประตูไม้บานนั้นจะตกลงมาเมื่อใด และห้องนั้นเป็นห้องที่เล่อเหยาเหยาพักอยู่เวลานี้
“เสี่ยวเหยาจื่ออยู่ที่นี่หรือ!?”
เมื่อเห็นห้องที่เรียบง่าย ทางเข้ามีขนาดเล็ก และประตูไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดไม่หยุดอย่างไม่มั่นคง เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่อยากเชื่อ
เสี่ยวมู่จื่อเมื่อได้ยินคำถามของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ รีบร้อนเอ่ยตอบทันที
“ขอรับ เสี่ยวเหยาจื่ออยู่ด้านใน”
แม้จู่ๆ เหลิ่งจวิ้นอวี๋มาถึงที่พักของเสี่ยวเหยาจื่อ ทว่าเสี่ยวมู่จื่อประหลาดอย่างยิ่ง
แต่ใจอันสงบของเขาเวลานี้ถูกเรื่องของเสี่ยวเหยาเหยาจื่อทำให้สับสนวุ่นวาย จึงไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น
ขณะที่พาเหลิ่งจวิ้นอวี๋มาถึงหน้าประตูห้องของเสี่ยวเหยาจื่อ เห็นด้านในมืดมิดพลันเดินเข้าไปทันที แล้วหยิบตะเกียงน้ำมันขึ้นมาจุดไฟ เพื่อให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นสภาพภายในได้อย่างชัดเจน
ห้องพักขนาดเล็กดูแคบๆ ไม่กี่ตางรางเมตร แต่ภายในกลับตกแต่งด้วยเตียงไม้ พร้อมโต๊ะและเก้าอี้ไม้อันเรียบง่าย ปลายเตียงยังวางตู้เสื้อผ้าเล็กๆ ไว้อีกหนึ่งตู้
เมื่อครู่เพราะเสี่ยวมู่จื่อร้อนใจไปขอร้องหัวหน้าขันทีลี่ ดังนั้นจึงหลังประคองเล่อเหยาเหยาไปที่เตียงก็รีบร้อนวิ่งออกไป
กลับกลายเป็นว่าไม่รู้เสี่ยวมู่จื่อใส่ใจน้อยเกินไปหรือไร เล่อเหยาเหยาจึงตกจากเตียงลงมาอยู่ที่พื้น
เสี่ยวมู่จื่อที่ติดตะเกียงน้ำมัน พอเห็นพลันร้อง “ฮ้า” ขึ้นมา เตรียมหมุตัวไปอุ้มเล่อเหยาเหยากลับไปที่เตียง คาดไม่ถึงว่าจะมีคนที่เร็วกว่าอุ้มเล่อเหยาเหยาที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้ว
แต่ตอนที่คนผู้นั้นอุ้มเล่อเหยาเหยาขึ้นมา กลับไม่ได้วางเธอลงบนเตียง หากยังใช้กวาดตาไปรอบด้านอย่างรังเกียจ ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยกับเสี่ยวมู่จื่อที่ยืนตะลึงอ้าปากค้างอยู่ด้านข้าง
“เจ้าคอยอยู่ที่นี่ รอหัวหน้าขันทีลี่และหมอหลวงเฉิง จากนั้นให้พวกเขาไปที่เรือนหย่าเฟิง”
เอ่ยจบ ไม่รอให้เสี่ยวมู่จื่อได้สติ เหลิ่งจวิ้นอวี๋อุ้มเล่อเหยาเหยาจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
ทิ้งเสี่ยวมู่จื่อยืนอ้าปากค้างอยู่ที่เดิม ผ่านไปนานก็ไม่ได้สติ
…
ขณะที่เสี่ยวมู่จื่อหวาดหวั่น เล่อเหยาเหยาที่เวลานี้กำลังหมดสติจึงไม่อาจรับรู้
ตอนนี้แม้เธอจะหมดสติ แต่กลับไม่ได้มีความรู้สึก
เมื่อครู่เธอรู้สึกเพียงหนาวเหน็บอย่างยิ่ง ราวตกอยู่ภายในถ้ำน้ำแข็งพันปี หนาวจนเลือดของเธอคล้ายแข็งตัว
เธอร้องตะโกน ทว่าเสียดายไม่มีผู้ใดได้ยิน
เธอคล้ายอยู่ในที่ไร้ผู้คน ที่นั่นทั้งหนาวเหน็บและเงียบเหงา
ทำให้เธอไม่สบายใจ เลื่อนลอยไร้จุดหมาย
ขณะที่เธอไร้ที่พึ่ง ร่างกายอันหนาวเหน็ยพลันถูกความอบอุ่นโอบกอดเอาไว้แน่น
ความรู้สึกอบอุ่นนั้นคล้ายแสงแดดในเดือนสาม อบอุ่นสบาย ขจัดความหนาวเหน็บบนตัวเธอไป
ร่างกายราวล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ สบายยิ่งนัก
สวรรค์ หรือเธออยู่บนสวรรค์แล้ว!?
ความรู้สึกนี้ช่างสบายมากจริงๆ สบายจนเธออยากถอนหายใจ
ร่างกายของตนเอง รับรู้ถึงที่มาของความอบอุ่นนั้นจึงขยับไปชิดมากขึ้น
แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่รู้เลยว่า ตนเองตกอยู่ในอ้อมกอดของผู้ใดกันแน่ หากเธอรู้ละก็ ให้ตายก็ไม่กล้าหมดสติไปอย่างสบายอกสบายใจเช่นนี้อีกครั้งแน่
จากนั้นเมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาคล้ายแมวน้อยเกียจคร้านออดอ้อนคลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของตน คิ้วงามที่ขมวดแน่นของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ค่อยๆ คลายลงบางส่วน
ฝีเท้าไม่หยุดลง แต่สายตานั้นกลับอดมองไปที่คนที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างช้าๆ ไม่ได้
ร่างกายบอบบาง ใบหน้าเล็กรูปไข่ จมูกเล็ก ริมฝีปากเล็ก
เขาช่างตัวเล็กยิ่งนัก
แต่กลับไม่ใช่เล็กจากการขาดสารอาหาร
เพราะผิวของเขาชุ่มฉ่ำยิ่งนัก แม้เวลานี้แก้มสองข้างเขาจะแดงก่ำเพราะไข้ขึ้นสูง ราวแอปเปิ้ลที่สุกงอมลูกหนึ่ง ทำให้คนที่เห็นอดที่จะกัดเบาๆ ไม่ได้
ยังมีมือเล็กของเขาที่จับปกเสื้อตนไว้อยางแน่นหนา เล็กขาวสะอาด สิบนิ้วเรียวยาว ราวหน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งแตกหน่อ งดงามยิ่งนัก
ทำให้คนที่เห็นอยากลูบคลำ พลิกเล่นไปมา
ทว่าน้ำหนักที่เบาเกินไปของคนในอ้อมกอด ทำให้เหล่งจวิ้นอวี๋ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง
เหตุใดถึงเบาเช่นนี้!? ราวกับลูกขนนกที่ไร้น้ำหนัก หรือปกติกินไม่ดี!?
มิน่าถึงเจ็บปวดง่ายดายเช่นนี้ ต่อไปต้องบำรุงถึงจะใช้ได้
ขณะที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดในใจ เขาอุ้มเล่อเหยาเหยาเข้ามาในเรือนหย่าเฟิงของตนแล้ว
ห้องในตำหนักหน่าเฟิงมีมากมาย แต่คนที่พักกลับไม่มาก
นอกจากห้องพักองครักษ์ลับอย่างเหม่ย เยว่ ซิง เฉินแล้ว ห้องที่เหลือล้วนว่างเปล่า
แต่พวกเหม่ย เยว่ ซิง เฉินไม่ได้พักอยู่ที่นี่ยาวนาน หนึ่งปีเวลาส่วนใหญ่พวกเขาล้วนออกไปจัดการเรื่องราวให้กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋
มีเพียงเยว่ที่คอยอารักขาอยู่ข้างกายเขาตลอดปี
นอกนากนั้นเพราะเขาเป็นรักความสะอาด ภายในเรือนหย่าเฟิง เวลาที่เขาอยู่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามา ดังนั้นเวลานี้ภายในเรือนหย่าเฟิงเงียบสงบอย่างยิ่ง จึงมีเพียงฝนที่กำลังตกหนักพร่ำๆ ด้านนอก
เหลิ่งจวิ้นอวี๋อุ้มเล่อเหยาเหยาตรงเข้าไปในห้องของตน
เพราะด้านนอกห้องของเขา ยังมีห้องเล็กอยู่อีกห้อง
ตำหนักนี้ก่อสร้างขึ้นหลังจากเขาได้ประดับยศอ๋องแล้วย้ายเข้ามา
ด้านนอกห้องของเหล่าตระกูลใหญ่ทุกหลัง จะออกแบบให้มีห้องเล็กหนึ่งห้อง เพื่อให้บ่าวรับใช้ข้างกายอยู่อาศัย
และภายในตำหนักของเขาล้วนว่างมาโดยตลอด
อันที่จริงภายในวังอ๋อง นอกจากหัวหน้าขันทีลี่และเหล่าองครักษ์ไม่กี่คนของเขา บ่าวรับใช้คนอื่นที่เห็นเขา ราวกับเห็นพญายมเข้าอย่างไรอย่างนั้น
แม้เขาจะรู้ข่าวลือที่คนภายนอกเอ่ยถึงตนเอง แต่เขาไม่อยากให้มีเรื่องมีคนถูกเขาทำให้ตกใจจนตายตอนเที่ยงคืนแพร่ออกไปอีก
แต่เวลานี้ เขากลับอยากเก็บขันทีน้อยในอ้อมกอดไว้ข้างกายตน
เพราะขันทีน้อยผู้นี้ จนถึงตอนนี้ทำให้เขาไม่รู้สึกรังเกียจ อาจจะชื่นชอบด้วยซ้ำไป
แต่ความชื่นชอบที่มีต่อเขา อาจเป็นเพียงเขาน่าสนใจเท่านั้น!
ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้แน่!
เหลิ่งจวิ้นอวี้ย้ำในใจกับตนเองเช่นนี้
แต่เขากลับไม่รู้ตัวเลยว่า สายตาเย็นชาที่ตนมองยังขันทีน้อยบนเตียง จะอบอุ่นเช่นนี้
จนกระทั่งเสียงฝีเท้าสวบสาบดังขึ้นมาจากด้านนอก เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงดึงสติกลับมา
“ท่านอ๋อง หมอหลวงมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าขันทีลี่เอ่ยรายงานเบาๆ อยู่ด้านนอกตามหน้าที่
“อืม ให้หมอหลวงเฉิงเข้ามา!”
เมื่อได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋ถอยหลังออกมายืนอยู่ที่หน้าต่าง มือสองข้างไพล่อยู่ด้านหลัง สายตาที่มองยังเล่อเหยาเหยาเปลี่ยนไปมองภาพฝนตกด้านนอก
หลังเขาเอ่ยจบ เสียง ‘แอ๊ด’ ดังขึ้นประตูไม้ลายสลักที่เดิมทีปิดไว้ถูกคนเปิดเข้ามาจากด้านนอก
ตามมาด้วยสายลมหนาวระลอกหนึ่ง หัวหน้าขันทีลี่พาหมอหลวงเฉิงเข้ามาด้านในห้อง
…………………………………………………………………..