สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 71.2 เหยาเหยาเสนอแผนการ (2)
ขณะเล่อเหยาเหยาเห ยา ค่อยๆ รู้สึกตัว เธอรู้สึกเพียงในลำคอปวดแสบปวดร้อน เหมือนหม้อเหล็กถูกเผาจนเป็นสีแดง โดยไม่เติมน้ำลงไป จนดำไหม้ขึ้นมา
เมื่อรู้สึกไม่สบายภายในลำคอ เธอจึงอดไอหนักๆ ออกมาติดกันหลายครั้งไม่ได้ โชคดีที่มีคนประคองเธอขึ้น จากนั้นป้อนน้ำเกลือให้เธออย่างรอบคอบ เล่อเหยาเหยาจึงพลันรู้สึกราวกับเกิดใหม่
กะพริบตางดงามที่หนักเล็กน้อย ร่างกายเธอยังอ่อนแอ แต่สติกลับมาแล้ว
เมื่อมองด้านข้างหลังตนฟื้นขึ้นมา เห็นสีหน้าดีอกดีใจของเสี่ยวมู่จื่อ จึงตะลึงชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มมุมปากพลางเอ่ยขึ้นว่า
“เสี่ยวมู่จื่อ”
“ฮือๆ ดีเหลือเกิน ดียิ่งนัก เสี่ยวเหยาจื่อในที่สุดเจ้าฟื้นแล้ว สวรรค์ ขอบคุณฟ้าดิน เจ้ารู้หรือไม่ เจ้าทำให้ข้าตกใจมากเพียงใด! ฮือๆ”
เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาเรียกชื่อตนเบาๆ ใจที่ร้อนร้นมาตลอดวันของเสี่ยวมู่จื่อจึงสงบลง และอดร้องไห้ออกมาไม่ได้
ว่ากันจริงๆ แล้วอายุสิบหกปี ยังถือว่าเป็นเพียงคนน้อยคนหนึ่ง!
เมื่อเจอเรื่องที่น่าตกใจเช่นนี้ จะอดทนได้เช่นไร!?
ส่วนเล่อเหยาเหยาที่ได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ พร้อมเห็นท่าทางร้องไห้ของเขาอีกครั้ง อดแสบจมูกขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาค่อยๆ พร่ามัวขึ้นมา
พอนึกถึงตนเองเกือบจบชีวิต ได้ยินเสียงร้องตะโกนอย่างเสียใจอยู่ด้านนอกของเสี่ยวมู่จื่อ ในใจเธอซาบซึ้งอย่างยิ่ง เพราะถึงอย่างไรที่นี่มีเพียงเสี่ยวมู่จื่อที่เป็นห่วงเธอที่สุด
“เสี่ยวมู่จื่อ ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรเห็นหรือไม่? เจ้าอย่าร้องไห้อีกเลย”
สิ่งที่ทำให้เล่อเหยาเหาปวดใจที่สุดคือ การเห็นน้ำตาของเสี่ยวมู่จื่อ อันที่จริงแม้ร่างนี้จะไล่เลี่ยกับเสี่ยวมู่จื่อ แต่ความจริงอายุเธอมากกว่าเสี่ยวมู่จื่อ ดังนั้นจึงปฎิบัติกับเสี่ยวมู่จื่อดังเพื่อนน้องชาย
หลังปลอบใจเสี่ยวมู่จื่อเสร็จ เล่อเหยาเหยาจึงนึกถึงปัญหาสำคัญขึ้นมาได้ นั่นคือผู้ใดช่วยเธอออกมา!?
ก่อนหมดสติ เธอจำได้ว่าเปลวไฟรุนแรงมาก ห้องครัวพร้อมถล่มลงมาทุกเมื่อ เวลานั้นสถานการณ์ฉับพลันอย่างมาก กระทั่งเธอเวลานั้นต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้เธอกลับยังมีชีวิตอยู่ เป็นเรื่องที่เชื่อเหลือเสียจริง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาอดสงสัยขึ้นในใจไม่ได้ จนต้องเอ่ยถามออกมา
“เสี่ยวมู่จื่อ ผู้ใดช่วยข้าออกมา?”
เธอต้องขอบคุณเขาอย่างดีถึงจะถูกต้อง!
แน่นอนว่า เธอคิดว่าอาจเป็นเสี่ยวมู่จื่อ
แต่พอเห็นร่างเล็กผอมของเสี่ยวมู่จื่อ เขาวิ่งเข้าไปคงตายสถานเดียว ดังนั้นต้องไม่ใช่เขาแน่นอน
แต่ในวังอ๋อง นอกจากเสี่ยวมู่จื่อ จะยังมีผู้ใด ไม่สนชีวิตตนเอง พุ่งเข้าไปในกองเพลิง ช่วยเธอออกมา
ขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังสงสัย เสี่ยวมู่จื่อหลังได้ยินคำถามของเธอ พลันได้สติ
ความไร้เดียงสาเล็กน้อยบนใบหน้าเล็กนั้น ปกปิดความเลื่อมใสและตื่นเต้นเอาไว้ไม่ได้ ก่อนพูดน้ำไหลน้ำดับว่า
“พูดถึงเรื่องนี้ เสี่ยวเหยาจื่อเจ้าต้องขอบคุณท่านอ๋อง ชีวิตของเจ้าท่านอ๋องเป็นคนช่วยกลับมา เจ้าไม่รู้ว่าตอนนั้นห้องครัวไฟไหม้รุนแรงยิ่งนัก ทุกคนพูดว่าเจ้าต้องตายเป็นแน่ ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไป ต่อมาท่านอ๋องปรากฏตัวขึ้น เจ้าไม่รู้ตอนนั้นท่านอ๋องร้อนใจมาก พอมาถึงประตูห้องครัว รีบถามว่าเจ้าอยู่ที่ใด พอรู้ว่าเจ้าติดอยู่ในห้องครัว แย่งถังน้ำจากบ่าวรับใช้ ราดน้ำให้ตัวเปียก จากนั้นเข้าไปในกองเพลิงช่วยเจ้าออกมา! เจ้าไม่รู้หากตอนนั้นท่านอ๋องออกมาช้างเพียงนิดเดียว ตัวเขาเองต้องถูกไฟคลอกตายเช่นกัน”
เสี่ยวมู่จื่อเอ่ยเล่าเหตุการณ์ตอนนั้น บนใบหน้าเล็กนั้นยามเอ่ยถึงท่านอ๋อง ไม่หลงเหลือความหวาดกลัวในตอนแรก มีเพียงความเลื่อมใสที่เพิ่มพูนขึ้น
อันที่จริงท่านอ๋องที่เป็นห่วงบ่าวรับใช้เช่นนี้ จะเป็นพญายมที่เย็นชาไร้ปราณีในข่าวลือได้อย่างไร!?
ตรงข้ามกับเสี่ยวมู่จื่อที่ตื่นเต้นเลื่อมใส แววตาเป็นประกาย เล่อเหยาเหยาหลังได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ กลับมีใบหน้าตกตะลึงชั่วขณะ
ดวงตางดงามเบิกกว้าง ปรากฎความประหลาดใจขึ้นมา
“เป็นเขา เป็นเขา…”
แต่เพราะเหตุใด?
เธอไม่รู้มาก่อนว่า ตำแหน่งของตนเองในใจพญายมนั้นสำคัญอย่างยิ่ง
อันที่จริงเธอเป็นเพียงบ่าวรับใช้เล็กๆ เท่านั้น! สำหรับเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยายังเจียมตัวเป็นอย่างดี
แต่พอนึกถึงในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ พญายมกลับพุ่งเข้าไปในกองเพลิงเพื่อช่วยชีวิตเธอ มันทำให้ประหลาดใจอย่างมาก
ตอนนี้เธอไม่เข้าใจพญายมจริงๆ
อาจพูดได้ว่า ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้เธอไม่เคยมองเขาออกเลย…
…
หลังเล่อเหยาเหยาได้สติ เพราะอาการบาดเจ็บที่เท้า เธอจึงต้องอยู่ภายในห้องตลอดเวลา
และสิ่งที่เธอต้องทำประจำวัน ก็มีเสี่ยวมู่จื่อช่วยเหลือ
แต่หลายวันมานี้ เห็นชัดว่าเธออยู่ในหอหย่าเฟิง ทว่ากลับไม่เห็นพญายมแม้แต่แวบเดียว และเขาไม่เคยมาดูอาการเธอเลย
แต่ความจริงเธอเป็นเพียงขันทีเล็กๆ คนหนึ่ง พญายมเสี่ยงอันตรายช่วยเหลือเธอ ถือเป็นของขวัญจากสวรรค์แล้ว
ทว่าความจริงเล่อเหยาเหยาอยากพบพญายม เพราะเธอติดหนี้ชีวิตเขา แม้ตอนนี้เธอเป็นเพียงขันที ไม่มีสิ่งใดตอบแทนเขาได้ แต่อย่างน้อยเธออยากเอ่ยขอบคุณเขาด้วยตนเองสักครั้ง
เมื่อรู้ความคิดในใจเล่อเหยาเหยา เสี่ยวมู่จื่อทำได้เพียงเล่าเรื่องราวในช่วงนี้ของพญายมออกมา
“เสี่ยวเหยาเหยา ที่จริงท่านอ๋องเป็นห่วงเจ้ามาก ไม่งั้นเจ้าที่เป็นเพียงบ่าวรับใช้ หลังเข้ามาที่หอหย่าเฟิงไม่ได้ปรนนิบัติอันใดท่านอ๋องเลย แต่ท่านอ๋องกลับไม่ไล่เจ้าไป ทั้งยังเป็นห่วงเจ้าเช่นนี้ เจ้าไม่รู้บ่าวรับใช้ในวังมากเพียงใดที่อิจฉาเจ้า นอกจากนี้หลายวันนี้ข้าเองเจอท่านอ๋องเพียงครั้งเดียว ทว่าดูจากสีหน้าของท่านอ๋องคล้ายจะไม่ดีเท่าไหร่ และข้าได้ยินคนอื่นพูดกันว่าทางซีเจียงเกิดภัยแล้งมาหลายเดือนแล้ว ทุอย่างล้วนแห้งเหี่ยวตาย ชาวบ้านอดยาก หลังกินท่อนไม้เปลือกไม้จนหมดสิ้น เริ่มกินเนื้อคนแล้ว เจ้าไม่รู้ว่าน่ากลัวเพียงใด แต่ทางหนานเหอกลับฝนตกหนักทุกวัน มากว่าหนึ่งเดือน ไม่รู้วันใดจะหยุดลง ไม่เพียงชาวบ้านจมน้ำตาย หนานเหอยังมีชาวบ้านไม่น้อยที่ถูกน้ำท่วมพัดหายไป พวกเขาทำได้เพียงระเห่เร่ร่อน ระหกระเหินจากบ้านเกิด น่าสงสารยิ่งนัก พักนี้ท่านอ๋องเพราะเรื่องพวกนี้ จึงวุ่นวายไม่หยุด เฮ้อ หวังว่าท่านอ๋องของพวกเราจะหาวิธีแก้ปัญหาได้ในเร็ววัน”
เมื่อได้ยินคำพูดเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาจึงขมวดคิ้ว
ก่อนหน้านี้เธออ่านหนังสือมาไม่น้อย น้ำท่วมภัยแล้งในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นบ่อยที่สุด โดยเฉพาะยามนี้เป็นช่วงฤดูร้อน แต่เป็นตอนที่น้ำท่วมมากที่สุด
นอกจากนี้จากภัยแล้งที่ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติ จนเป็นภัยทางสังคมจะเห็นได้ว่า หากผู้ปกครองคิดกลยุทธ์ในการจัดการไม่ได้ ไม่เพียงกระทบต่อเศรษฐกิจและประชากรจะลดลง หนักที่สุดยังก่อให้ความวุ่นวายในสังคม ร้ายแรงจนกระทั่งสูญเสียประเทศได้
ดังนั้นไม่ว่ายุคสมัยใด ฮ่องเต้ในทุกสมัยล้วนให้ความสำคัญกับอุทกภัยและภัยแล้งอย่างยิ่ง
…………………………………….