สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 73.2 รางวัลของพญายม (2)
เล่อเหยาเหยาไม่รู้พญายมคิดสิ่งใดอยู่ เธอรู้เพียงความหวังของตนมลายหายไป
เดิมทีคิดว่าความสำเร็จครั้งนี้ เธอต้องได้รางวัลใหญ่แน่นอน
ใช่!พญายมให้ซุปรังนกวันละถ้วยเป็นรางวัล ความจริงก็ถือว่ามากมายทีเดียว
เพราะถึงอย่างไร คือซุปรังนก!
แม้ก่อนหน้านี้อยู่บ้านเธอจะดื่มมาไม่น้อย แต่ในสมัยนี้ ขันทีตัวเล็กๆ เช่นเธอเวลานี้ ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงมัน!
แต่เธอขอหักเป็นเงินได้หรือไม่!?
ในใจเล่อเหยาเหยาสับสน บนใบหน้ากลับดูตื่นตะลึง ทั้งกลัวทั้งเกรง แสดงภาพลักษณ์ของขันทีออกมาอย่างถึงอกถึงใจ
“คือท่านอ๋องช่วยเปลี่ยน…”
“หืม? กระต่ายน้อยมีความคิดเห็นหรือ!? หรือว่าไม่พอใจกับรางวัลที่ข้ามอบให้!?”
เล่อเหยาเหยายังเอ่ยไม่จบ ทันใดนั้นพญายมตรงหน้าที่มีท่าทีอ่อนโยน พลันสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น กลับไปเย็นชาราวน้ำค้างแข็งดั่งตอนแรกที่พบกับเล่อเหยาเหยา
นอกจากนี้ดวงตาเย็นชาแคบยาวนิ่งสงบ ความเย็นชาในนัยน์ตาเปล่งประกายออกมาไม่หยุด เข้ากับค่ำคืนที่มืดมิดนั้น มองแล้วราวกับสัตว์ร้ายกระหายเลือดที่จ้องจนคนหนังศีรษะชาวาบ สั่นเทิ้มไปทั่วร่าง
ต้มตุ๋น!
ใครว่าผู้หญิงเปลี่ยนสีหน้าเร็วกว่าพลิกหนังสือกัน!?
การเปลี่ยนสีหน้าของพญายมนี้ รวดเร็วราวกับจรวด!
เห็นชัดว่าเมื่อครู่ยังปลอดโปร่งไร้เมฆ ทว่าเพียงชั่วพริบตาปกคลุมด้วยเมฆ ทั้งยังฟ้าร้องฟ้าแลบขึ้นมา!?
นี่ นี่ นี่มันหลอกลวงกันเกินไปแล้ว!
ฮือๆ
เงินของฉัน…
แม้เล่อเหยาเหยาจะร้องไห้ฟูมฟายในใจ ใบหน้าราวน้ำตานองหน้า แต่ต่อหน้าพญายมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เธอจะกล้าเอ่ยว่า ‘ไม่’ได้เช่นไร!?
เธอไม่ใช่ไม่อยากมีชีวิตอยู่!
ดังนั้นแม้ในใจเล่อเหยาเหยาจะอยากตายเพราะรู้สึกไม่เป็นธรรม แต่เธอยังกลั้นความไม่พอใจในใจเอาไว้ ก่อนคิดว่าแม้จะเสียแตงโมไป ทว่าอย่างน้อยก็เก็บกล้วยได้
คิดทบทวนไปมา ในใจเล่อเหยาเหยาสงบลงอย่างมาก ดังนั้นจึงเงยใบหน้าเล็กที่ดูซาบซึ้งยิ่งนักมองใบหน้าเอาแน่เอานอนไม่ได้ของพญายม ก่อนเอ่ยปากอย่างเอาใจขึ้นว่า
“ไม่ๆ ขอรับ บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงขอบคุณท่านอ๋องมากขอรับ ที่เป็นห่วงสุขภาพของบ่าว บ่าวซาบซึ้งยิ่งนัก เสื่อมใสในตัวท่านอ๋อง ราวกับแม้น้ำ…” ที่ดีที่สุดคือสามารถพัดพาเธอจากไป
ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยาที่เห็นชัดว่าในใจไม่ยินยอม ทว่าปากกลับเอ่ยอย่างประจบประแจง ปากไม่ตรงกับใจชัดๆ
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พญายมมองแล้วกลับชื่นชอบและสบายใจอย่างยิ่ง
อันที่จริง บางครั้งเห็นแผนการร้ายในวังหลวงมามากมาย เล่อเหยาเหยในสายตาเขา เหมือนกระต่ายน้อยพลันปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงหมาป่า ที่หาได้ยากยิ่งและล้ำค่า!
และเวลานี้ เมื่อนึกถึงว่าต่อไปกระต่ายน้อยจะอยู่ในวังอ๋องอย่างสงบเชื่อฟัง อารมณ์พญายมจึงดีขึ้นอย่างยิ่ง
ใบหน้างดงามที่เคร่งขรึม ราวถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง เมฆหนาที่ปกคลุมพลันสลายไป กลับมาสดใสอีกครั้ง
เล่อเหยาเหยาที่น้ำตาตกในอดชื่นชมความเก่งกาจไม่ได้!
รู้สึกว่าพญายมจะเคยฝึกทักษะการเปลี่ยนหน้าในงิ้วเฉสวนมาก่อน!? อีกอย่างอาจฝึกจนเปลวไฟในเตากลายเป็นสีเขียวสดใส [1]จนผู้อื่นรู้สึกเทียบไม่ได้!
ขณะเล่อเหยาเหยาถอนใจ พญายมกลับเหนื่อยล้าเล็กน้อย
อันที่จริงหลายวันมานี้เพราะเรื่องยุ่งยากใจทางซีเจียงและหนานเหอ เขานอนไม่หลับมาสามวันสามคืนแล้ว
พร้อมทั้งเมื่อเย็นเขายังดื่มเหล้าไปไม่น้อย เวลานี้จึงเหลือเพียงกำลังเฮือกสุดท้าย ทำให้เขาคิดเพียงอยากล้มตัวลงนอน
ทว่านึกได้ว่าเท้าเล่อเหยาเหยายังบาดเจ็บ ดังนั้นจึงสั่งให้เพียงเสี่ยวมู่จื่อไปปรนนิบัติเขา
เล่อเหยาเหยาหลังขอบพระทัย ก็กลับไปที่ห้องของตนเพียงลำพัง
หลังอาบน้ำอย่างง่ายๆ เสร็จ นั่งลงบนเตียงทายาบนเท้าของตน
ยังไม่ต้องพูดถึง เธอไม่รู้ว่ายานี้คือสิ่งใด ตอนเช้าเท้าเธอยังเจ็บจนเดินไม่ได้ชัดๆ ทว่าผ่านไปเพียงครึ่งวัน รอยบวมบนเท้าเธอหายไป เหลือเพียงรอยแดงจางๆ ไม่เจ็บปวด และสามารถเดินได้ด้วยตนเอง
เมื่อเห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาอดดีใจไม่ได้
หลังทายาเสร็จ นอนลงบนเตียงอย่างมีความสุข ผ่านไปไม่นานหลับสนิทไป
เดิมทีคิดว่า เธอจะหลับสนิทตลอดคืนถึงเช้า คิดไม่ถึงว่าเที่ยงคืนเสียงฟ้าผ่า ‘เปรี้ยง’จะดังขึ้นมาทำลายฝันดีของเล่อเหยาเหยา
เล่อเหยาเหยาตกใจตื่นขึ้น ก่อนจะลุกมานั่งบนเตียง หันหน้ามองยังหน้าต่างลายสลักที่เปิดอ้านั้น
มองออกจากหน้าต่างลายสลักไป เห็นเพียงท้องฟ้ายามค่ำคืนที่แจ่มใสก่อนเข้านอนเมื่อครู่ เวลานี้ปกคลุมด้วยเมฆสีดำไปทั่วท้องฟ้า จนไร้แสงสว่าง
ยังมีสายฟ้าที่ตัดผ่านขอบฟ้าลงมาไม่หยุด ราวกับคิดแยกท้องฟ้าออกเป็นสองส่วน มองแล้วน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
เมื่อดูจากสภาพแล้ว กลัวว่าอีกไม่นานคงเกิดพายุฝนอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่
เล่อเหยาเหยาคิดในใจ พลางลงจากเตียง คิดจะปิดหน้าต่างให้แน่นหนา คิดไม่ถึง เธอเพิ่งลงจากเตียงหูพลันได้ยินน้ำเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ ขึ้นมา
ตอนแรก เล่อเหยาเหยาคิดว่าตนฟังผิดไป
เพราะที่นี่คือตำหนักหย่าเฟิง มีเพียงชายหนุ่มที่น่ากลัวกว่าปีศาจและองครักษ์ลับสองคนพักอยู่เท่านั้น ชายหนุ่มเช่นพวกเขาสามคน จะร้องไห้ได้เช่นไร!
ดังนั้น เธอต้องหูฝาดเป็นแน่!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาส่ายหน้าไปมา ปิดหน้าต่างลง คิดจะกลับไปนอนต่ออีกครั้ง
กลับกลายเป็นว่า ขณะที่เธอเพิ่งนอนลง คิดจะหลับไป เสียงสะอึกสะอื้นนั้นดังขึ้นอีกครั้ง กลางดึกที่เงียบสงบเช่นนี้ ชัดเจนอย่างยิ่ง!
ครั้งนี้ เล่อเหยาเหยาสงบใจลองฟัง จนอดตกใจอย่างอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้!
สวรรค์!
มีคนกำลังร้องไห้อยู่จริง!
และเสียงร้องไห้นั่นยังอยู่ไม่ไกลจากที่นี่!
แต่คนที่พักอยู่ติดกับเธอคือพญายม ตีเธอให้ตายเธอไม่เชื่อเด็ดขาดว่า พญายมจะร้องไห้!
แต่หากไม่ใช่พญายม นั่นคงไม่ใช่…
ผี!?
พอนึกถึงคำนี้ เล่อเหยาเหยาพลันขนพองสยองเกล้าขึ้นมา
อันที่จริงเวลาเที่ยงคืน ด้านนอกมีเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบ บรรยากาศเช่นนี้ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ สิ่งลี้ลับพวกนั้นจะมีชีวิตชีวาที่สุด
ยิ่งคิด ภายในหัวของเล่อเหยาเหยาปรากฏภาพหนังสยองขวัญที่เคยดูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ซาดาโกะ และผีร้ายอะไรพวกนั้น…
ยิ่งคิดเล่อเหยาเหยายิ่งหวาดกลัว
โดยเฉพาะเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้น อยู่ไม่ไกลจากเธอ ไม่รู้พวกนั้นจะเข้ามาหรือไม่ สวรรค์ ไม่เอา ฮือๆ เธอกลัว พ่อจ๋า! ช่วยด้วย…
ชัดเจนว่าเวลานี้ พ่อเธอคงไม่ปรากฎตัวออกมาอย่างวีระบุรุษช่วยหญิงงามแน่
……………………………………………………………………….
[1] เปลวไฟในเตากลายเป็นสีเขียวสดใส หมายถึง การบรรลุถึงจุดสมบูรณ์ มาจากเรื่องเล่าของเต๋าแห่งการปรุงยาในสมัยโบราณของจีน ซึ่งมักจะคิดว่าเมื่อเปลวไฟที่อยู่ในเตาตอนปรุงยาได้กลายเป็นสีเขียว สดใส ก็มักจะเป็นช่วงที่ปรุงได้สําเร็จโดยสมบูรณ์