สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 83.2 ทับกลับ (2) (รีไรท์)
เช้าวันต่อมา เล่อเหยาเหยาตื่นนอนแต่เช้า จึงรีบสวมใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว หลังจัดเตรียมอุปกรณ์ล้างหน้าเสร็จแล้วก็เดินไปยังห้องของพญายม
หลังเคาะประตูเป็นสัญญานให้คนด้านในรับรู้ เธอหยิบอ่างล้างหน้าเดินเข้าไป
พญายมตื่นนอนแล้ว เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยา ดวงตาก็เป็นประกายวาบขึ้นมา
ส่วนเล่อเหยาเหยาหลังโค้งกายเคารพต่อพญายม ก็เดินเข้าไปช่วยพญายมสวมใส่เสื้อผ้าอย่างคล่องแคล่ว
เรื่องที่ง่ายดาย สามารถทำให้ชำนาญได้ง่าย ตอนนี้เล่อเหยาเหยาปรนนิบัติคล่องแคล่วมากขึ้นแล้ว
ขณะที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พญายม ดวงตางดงามคู่นั้นอดลอบมองพญายมทันทีไม่ได้
เห็นเพียงพญายมวันนี้ อารมณ์เคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะยังแก้ไขคดีควักหัวใจไม่ได้ บนใบหน้าหล่อเหลานั้นจึงคล้ายถูกเมฆดำทะมึนปกคลุม ระหว่างคิ้วเย็นชาอย่างยิ่ง
ดวงตาเย็นชาแคบยาวคู่นั้น ดูเหม่อลอย คล้ายกำลังคิดบางสิ่ง
อีกทั้งริมฝีปากบางน่ามองนั้น เวลานี้กำลังเม้มแน่นเป็นเส้นตรง แสดงความเย็นชาไม่แยแสของเจ้าของออกมา
แม้จะเป็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยากลับพบว่าไม่ว่าเวลาใดพญายมล้วนน่ามองยิ่งนัก
บนร่างกายของเขา คล้ายมีกลิ่นอายสูงส่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ยังมีลูกตางดงามจับใจ มีเสน่ห์น่าหลงใหล
ไม่ว่าจะมองเช่นไร ล้วนไม่เพียงพอ
และเขาในวันนี้ บนร่างกายสวมชุดผ้าไหมสีขาวเรียบง่าย บนเอวผูกด้วยผ้าสีทอง เข้ากับมวยผมในกวนหยกขาวมันแพะชั้นดี คิ้วกระบี่ที่โค้งงอ นัยน์ตาเย็นชาดุจน้ำลึก คุกคามไร้น้ำใจ!
ชายหนุ่มเช่นนี้ ไม่ว่าเมื่อใดที่ใด ล้วนน่ามองอย่างไร้ช่องโหว่ ทำให้เล่อเหยาเหยาแอบมองตลอดเวลา
อดอุทานในใจไม่ได้
แม้คนผู้นี้จะมีจิตใจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ต้องพูดว่าหน้าตายอดเยี่ยมสบายตาเสียจริง
หากนิสัยของเขาสามารถดีกว่านี้เล็กน้อย ใกล้ชิดกับผู้อื่นมากขึ้นอีกนิด เช่นนั้นคงจะดีไม่ใช่น้อย
ขณะที่เล่อเหยาเหยาอุทานอยู่ในใจ ทางด้านพญายมนั้นคล้ายรับรู้ถึงการแอบมองตลอดเวลาของเล่อเหยาเหยา แต่ว่าสีหน้ายังนิ่งเงียบเช่นเดิม เพียงแต่การแอบมองครั้งสุดท้ายของเล่อเหยาเหยา เขาอดกวาดสายตาไปมองดวงตางดงามที่แอบมองของเล่อเหยาเหยาไม่ได้
ทันใดนั้น ดวงตางดงามสบเข้ากับดวงตาเย็นชา ดวงตาสองคู่ผสานกัน เล่อเหยาเหยาอดตกตะลึงในใจไม่ได้ ก่อนหัวใจพลันเต้นเร็วขึ้นมาอย่างตื่นเต้นไม่หยุด
ศีรษะเล็กก้มต่ำลงอย่างรวดเร็ว ในใจอึดอัด
ตนนิสัยไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ ตอนนี้ดีจริงถูกเขาเห็นเข้าแล้ว
เล่อเหยาเหยาขัดเขิน จนสองแก้มร้อนผ่าว แม้เธอไม่ได้ส่องกระจก ก็รู้ดีว่าใบหน้าตนต้องแดงเหมือนลูกมะเขือเทศแน่นอน
ดังนั้นเธอจึงได้เอาแต่ก้มหน้า ดวงตามองเพียงปลายเท้าของตน ไม่กล้าเงยขึ้นมองหน้าพญายมอีกครั้ง
แม้จะเป็นเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาก็ยังรู้สึกเช่นเดิมว่า มีสายตาอันร้อนแรง กำลังจ้องมองมาที่ตน จนร่างกายเธอแทบพรุนเป็นรู
สำหรับเรื่องนี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี แต่เธอกลับไม่รู้ว่าสีหน้าตนเวลานี้ คล้ายกับเด็กน้อยที่ทำผิดแล้วกลัวผู้ใหญ่ลงโทษ ทั้งน่ารักและทำให้คนสงสารเห็นใจ
อีกทั้งสิ่งที่เธอยิ่งไม่รู้เลยคือ สายตาเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่มองเธออ่อนโยนอยู่หลายส่วน มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ แสดงถึงความเบิกบานใจอย่างชัดเจน
กระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ตัว เหตุใดเมื่อเห็นขันทีน้อยตรงหน้าแอบมองตนตลอดเวลา จึงทำให้เขารู้สึกเบิกบานใจ
หากเป็นเมื่อก่อน เขาต้องรู้สึกไม่พอใจอย่างมากแน่ แต่ตอนนี้เมื่อเปลี่ยนเป็นคนตรงหน้านี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับรู้สึกว่า ที่จริงแล้วความรู้สึกเช่นนี้ไม่เลวเลย เพราะทำให้เขารู้สึกเบิกบานใจ
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เผยอริมฝีบางเล็กน้อย พลางมองศีรษะเล็กที่สูงเพียงหน้าอกของตน ก่อนเอ่ยถามเสียงเบาว่า
“เป็นอันใด หน้าข้าสกปรกหรือ”
“เอ่อ”
เมื่อไม่รู้ว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะเอ่ยพูดออกมาเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาจึงมีสีหน้ามึนงง แก้มแดงก่ำยิ่งขึ้น
หลังขวยเขินไปชั่วครู่ เล่อเหยาเหยาเงยหน้าเอ่ยขึ้นมาว่า
“ไม่ ไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เช่นนั้นกระต่ายน้อยจ้องข้าด้วยเหตุใด”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋มีน้ำเสียงคล้ายสงสัย แต่ความจริงทราบดีว่าใบหน้าตนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ และก็ทราบถึงเหตุผล แต่ขณะเดียวกันเขาก็ภาคภูมิใจ และอดใจหยอกล้อขันทีน้อยตรงหน้านี้เล็กน้อยไม่ได้
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่เห็นขันทีน้อยนี้ถูกเขาหยอกล้อจนหน้าแดงก่ำ ขวยเขินไม่หยุด ทำให้เขารู้สึกเบิกบานใจอย่างยิ่ง
เพราะพักนี้ รอบตัวเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ก่อนหน้านี้เกิดภัยพิบัติที่ซีเจียง เหอหนาน ตอนนี้เกิดเรื่องควักหัวใจขึ้นมาอีก ทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องที่ใหญ่หลวง
โดยเฉพาะเรื่องควักหัวใจครั้งนี้ ได้ทำให้ผู้คนด้านนอกแตกตื่นกันแล้ว เหล่าราษฎรจึงหวั่นวิตกไม่หยุด
โดยเฉพาะครอบครัวของหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน น่ากังวลที่สุด
กระทั่งต้องเฝ้ายามลูกสาวของตน เพราะกลัวลูกสาวของตนจะเป็นคนที่ถูกทำร้ายรายต่อไป
บางแห่งเริ่มเล่าลือกันขึ้นว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของปีศาจ
สำหรับเรื่องที่คนด้านนอกเล่าลือกัน เหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้สึกว่าเรื่องนี้หากไม่รีบจัดการแก้ไข สถานการณ์ยิ่งจะเลวร้ายลงแน่
ดังนั้นหลายวันมานี้ เขาจึงวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ตลอดเวลา ในใจรู้สึกกดดันอย่างมาก
แต่ไม่ว่าในใจจะมีความกดดันมากเพียงใด เมื่อเห็นขันทีน้อยตรงหน้าความกดดันจะลดลงไปไม่น้อย และทำให้เขาค่อยๆ ผ่อนคลายลงเช่นกัน
สำหรับเรื่องนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เองก็รู้สึกแปลกใจ
บนตัวขันทีน้อยนี้มีเสน่ห์อันใดกันแน่ เพราะเรื่องนี้เขาจึงอยากจะสำรวจตัวขันทีน้อยนี้เสียจริง
เล่อเหยาเหยาไม่รู้ความคิดในใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เพียงได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงตะลึงงันอย่างไม่รู้ควรตอบเช่นไร
ทันใดนั้นหน้าประตูก็มีคนรีบร้อนเดินเข้ามา ทำให้เล่อเหยาเหยาหลุดพ้นจากสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในเวลานี้ทันที ขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังถอนหายใจ คิดไม่ถึง คนที่เข้ามากลับทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋และเล่อเหยาเหยาตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
“ท่านอ๋องไม่ดีแล้ว ทางทิศตะวันออกของเมืองเกิดเรื่องควักหัวใจขึ้น อีกทั้งยังมีหญิงสาวเสียชีวิตไปอีกสิบคนพ่ะย่ะค่ะ!”
“อะไรนะ! สิบคนเลยหรือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของคนที่เข้ามารายงาน เล่อเหยาเหยาตกตะลึงจนอ้าปากค้าง อดร้องอย่างตกใจไม่ได้
ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งขรึม เมื่อมองดูก็รู้ชัดว่าเขาเวลานี้ทั้งกังวลและโกรธเคืองในใจ
เล่อเหยาเหยายังไม่ทันเอ่ยออกไป ก็พบว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้เดินนำออกไปจากห้องอย่างรีบร้อนแล้ว ไม่กินแม้กระทั่งอาหารเช้า
เวลานี้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น ผู้ใดจะมีอารมณ์กินอาหารกัน!
…
สำหรับเรื่องควักหัวใจด้านนอก ตอนนี้ทุกคนในวังอ๋องเริ่มลือกันอย่างครึกโครม
เวลาอาหารเที่ยง ในโรงอาหารหัวข้อที่ทุกคนให้ความสนใจ จะเป็นเรื่องใดไม่ได้นอกจากเรื่องเรื่องควักหัวใจในครั้งนี้
“เจ้ารู้หรือไม่ วันนี้ตอนเช้าที่เมืองทางตะวันออกมีเรื่องหญิงสาวสิบคนถูกควักหัวใจเกิดขึ้น อีกทั้งหญิงสาวเหล่านั้นทุกคนยังถูกสูบเลือดจากตัวไปจนหมด”
“สวรรค์! สยดสยองยิ่งนัก นี่เป็นฝีมือผู้ใดกันแน่ เพียงคืนเดียวถึงสามารถควักหัวใจออกมาและสูบเลือดจนไม่เหลือสักหยดจากหญิงสาวพวกนั้นได้ อีกทั้งว่ากันว่าครอบครัวของคนตาย ตอนเกิดเรื่องล้วนไม่ได้ยินเสียงผิดปกติใดๆ เลย เพียงแต่เช้าวันต่อมาพบว่าลูกสาวของตนตายอยู่ในห้องแล้ว สวรรค์ เป็นผู้ใดที่ทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้กันแน่! ”
“ข้าว่า เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างที่เราคิดแน่!”
“ไม่ใช่อย่างที่เราคิด เช่นนั้นเป็นฝีมือผู้ใด!”
“โง่นัก ไม่ใช่คน แต่เป็นพวกปีศาจน่ะสิ”
“สวรรค์ เจ้าอย่าพูดอีกเลย น่ากลัวยิ่งนัก โชคดีที่ข้าไม่ใช่สตรี!”
“ฮึ เจ้าไม่ใช่สตรีแน่ อีกทั้งไม่ใช่บุรุษด้วย!”
“เจ้า…”
สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ในโรงอาหาร เล่อเหยาเหยาที่อยู่มุมด้านในสุด มีสีหน้าไม่ดีเล็กน้อย
ส่วนเสี่ยวมู่จื่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าก็ดูมัวหมองเช่นกัน
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ จะเล็กใหญ่ต่างก็กระทบต่อจิตใจของทุกคน
เสี่ยวมู่จื่อเมื่อเห็นเล่อเหยาเหยายังกินอาหารบนโต๊ะไม่หมด จึงเอ่ยพูดกับเล่อเหยาเหยาอย่างรู้ใจว่า
“เสี่ยวเหยาจื่อ ไม่ต้องคิดมากหรอก กินข้าวก่อนเถอะ! ท่านอ๋องเก่งกาจขนาดนั้น ต้องคิดหาวิธีจัดการเรื่องนี้ได้แน่”
“เฮ้อ พูดเช่นนี้ได้ แต่ยังหาตัวคนร้ายที่ควักหัวใจนั้นไม่เจอเลย แสดงว่าต่อไปต้องมีหญิงสาวถูกสังหารอีก”
แม้เล่อเหยาเหยาจะไม่มีพรสรรค์หรือเก่งกาจ เป็นเพียงสาวน้อยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่เธอก็ทนเห็นหญิงสาวบริสุทธิ์เหล่านั้นถูกสังหารไม่ได้
เพราะหญิงสาวเหล่านั้นอายุไล่เลี่ยกับเธอ อีกทั้งยังไม่ได้สัมผัสกับอนาคตอันสดใสเลย ตอนนี้กลับถูกคนสังหารอย่างโหดร้าย ตายแล้วศพไม่ครบชิ้นส่วน เป็นผู้ใดที่โหดเหี้ยมขนาดนี้กัน!
…
ในใจหดหู่เล็กน้อย เล่อเหยาเหยาจึงฝืนกินข้าวอีกสองคำ หลังจากดื่มซุบรังนก ก็กลับไปยังตำหนักหย่าเฟิง
เพราะกำลังคิดเรื่องควักหัวใจนั้นอยู่ในใจ เธอจึงทำงานอย่างไร้ชีวิตชีวา
เธอหยิบผ้าชุบน้ำก่อนบิดให้แห้ง ก่อนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ ค่อยๆ ขัดเสา
เพราะใจลอย ดังนั้นหลังจากเธอขัดเสาเสร็จ คิดจะลงจากเก้าอี้ คิดไม่ถึงว่าเพียงหมุนตัว ก็เห็นหนานกงจวิ้นซีที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ด้านหลังของตนตั้งแต่เมื่อใด เล่อเหยาเหยาจึงตกใจอย่างมาก ทันใดนั้นเท้าก็เหยียบลงตรงที่ว่าง ร่างกายพลันเสียการทรงตัว โผลงไปที่ชายหนุ่มด้านล่างทันที
ส่วนหนานกงจวิ้นซีที่ยืนอยู่ด้านหลังเล่อเหยาเหยา เดิมทีเขาเพียงคิดยืนอยู่ด้านหลังเล่อเหยาเหยา จากนั้นก็ทำให้เธอสะดุ้งตกใจ ทว่ากลับไม่เป็นอย่างที่คิด เล่อเหยาเหยาหมุนตัวกลับมา อีกทั้งยังตกใจจนโผลงมาที่ตน
ดังนั้น ทั้งสองคนจึงล้มลงบนพื้น แต่แตกต่างกับครั้งก่อน ครั้งนี้เล่อเหยาเหยานอนทับอยู่บนตัวของหนานกงจวิ้นซี
มีคนหนึ่งถูกตนนอนทับอยู่ เล่อเหยาเหยาตกใจ ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจออกมา
เพราะครั้งนี้อย่างน้อยเธอได้ทับบ้าง หลังคิดถึงเรื่องนี้ อดภูมิใจไม่ได้
และเมื่อคิดว่าเมื่อครู่หนานกงจวิ้นซีปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลังของตนอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ต้องมีความคิดที่ไม่ดีเป็นแน่ ตอนนี้ถูกเธอนอนทับแล้ว จะไม่ให้เธอดีใจได้เช่นไร!
ตรงข้ามกับความเบิกบานใจของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีที่ถูกทับอยู่ด้านล่าง รู้สึกเพียงร่างกายหนักเล็กน้อย นี่ถือว่ายังไม่ใช่จุดสำคัญ
เพราะเล่อเหยาเหยารูปร่างเล็ก น้ำหนักตัวจึงเบามาก เมื่อนอนทับอยู่บนตัวจึงไม่มีอันใดเกิดขึ้น
ที่ทำให้หนานกงจวิ้นซียากที่จะรับได้ที่สุดคือ เขารู้สึกเพียงบนหน้าของเขาเปียกชื้น คล้ายมีบางสิ่งคลุมอยู่บนใบหน้าเขา
หลังตกตะลึงไปชั่วขณะ พลันนึกขึ้นมาได้ สีหน้าอดหมองคล้ำลงไม่ได้
น่าตายนัก สิ่งที่คลุมอยู่บนใบหน้าของเขานั้นคือ ผ้าขี้ริ้ว!
………………………………………………………………………