สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 87.2 องค์ชายหึง (2) (รีไรท์)
เรื่องซีเจียง เหอหนานครั้งก่อน ทุกคนต่างยุ่งจนวุ่นวายกลัดกลุ้ม พวกเขาก็เช่นกัน
ครั้งนั้น พวกเขาและท่านอ๋องต่างไม่ได้นอนถึงสามวันสามคืน โดยเฉพาะท่าทางกลัดกลุ้มของท่านอ๋องเกี่ยวกับเรื่องนั้น พวกเขาจึงปวดใจ
ดังนั้น หลังจากเรื่องอุทกภัยและภัยแล้งที่ซีเจียงและเหอหนานครั้งก่อนถูกเล่อเหยาเหยาช่วยวางแผนแก้ไขปัญหาลงได้ พวกเขาเริ่มมองเล่อเหยาเหยาเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะท่าทีหลายวันมานี้ของท่านอ๋องที่ปฏิบัติต่อขันทีน้อยนี้ พวกเขาไม่ได้ตาบอด จึงต้องมองออกเป็นธรรมดา
แต่แม้ขันทีน้อยนี้จะค่อยๆ ได้รับความสำคัญจากท่านอ๋อง ในใจของเหม่ยและซิงกลับไม่อิจฉาริษยาเลยสักนิด
เพราะแม้ในนามจะภายใต้การนำของท่านอ๋อง แต่ทุกคนต่างร่วมเป็นร่วมตายกันมานานหลายปี จึงเคารพและห่วงใยท่านอ๋อง
อีกทั้งก่อนหน้านี้พวกเขาก็รู้สึกว่าท่านอ๋องสันโดษเกินไป เห็นชัดว่ามีอำนาจ ฐานะและทรัพย์สมบัติมากมาย แต่เขากลับไม่รู้จักยิ้มแย้ม คล้ายเดิมทีไม่รู้ว่าสิ่งใดคือความรู้สึก
แม้สำหรับคำว่าความรู้สึกนี้ พวกเขาจะเข้าใจไม่มาก
แต่สถานะของพวกเขากับท่านอ๋องไม่เหมือนกัน
พวกเขาเป็นองครักษ์ลับ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึก ต้องมีเพียงใจที่ซื่อสัตย์ต่อท่านอ๋องเท่านั้น
แต่พวกเขากลับหวังให้ท่านอ๋องได้รับความสุข ใช้ชีวิตเช่นคนปกติทั่วไป!
ตอนนี้ เพราะขันทีน้อยตรงหน้านี้ ท่านอ๋องจึงเริ่มมีความเป็นมนุษย์อย่างช้าๆ
อีกทั้งยังรู้จักยิ้มแย้ม
ดังนั้น เหม่ยและซิงจึงรู้สึกดีใจแทนท่านอ๋อง
สำหรับเล่อเหยาเหยา แตกต่างออกไปเล็กน้อย
เล่อเหยาเหยาไม่รู้ความคิดของเหม่ยและซิง หลังได้ยินคำพูดของซิง เพียงเม้มปากยิ้ม ก่อนเอ่ยว่า
“พี่ใหญ่ซิง ท่านอ๋องอยู่ด้านในหรือไม่!”
“อืม อยู่ข้างใน!”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาเหมือนนกกระจอกน้อยแสนดีใจตัวหนึ่ง บินพุ่งเข้าไป
เห็นใบหน้าเล็กยิ้มแย้มดุจบุปผา ทำให้ซิงและเหม่ยที่เห็นมีใบหน้าอ่อนโยนลง
“ฮ่าๆ เป็นขันทีน้อยที่น่าสนใจจริงๆ !”
…
เมื่อเล่อเหยาเหยาเข้ามาในห้องหนังสือ เวลานั้นเหลิ่งจวิ้นอวี๋กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ในมือถือหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่ง อ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ
ส่วนหนานกงจวิ้นซีด้านข้างกลับมองไปรอบๆ ห้องหนังสืออย่างเบื่อหน่าย คล้ายมองหาหนังสือ หรือเพื่อฆ่าเวลา
เพราะเขารู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของตน เมื่ออ่านหนังสือจะจดจ่ออยู่กับมัน ผู้อื่นก็ไม่รบกวนเขาอีก
ประจวบเหมาะเวลานี้ เห็นเล่อเหยาเหยาพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าดีใจ หนานกงจวิ้นซีที่เดิมทีเบื่อหน่ายพลันเหมือนฉีดเลือดไก่ ใบหน้าหล่อเหลาที่เบื่อหน่ายเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น
ดวงตาดุจดอกท้อน่ามองคู่นั้นสาดประกายวาววับออกมา
สำหรับความผิดปกติของตน กระทั่งตัวเขาเองล้วนไม่รู้สึกตัว
เล่อเหยาเหยาก็ไม่สังเกตเห็นจุดนี้ เพราะหลังจากที่พุ่งเข้ามาในห้องหนังสือ จิตใจทั้งหมดตกไปอยู่ที่พญายมที่กำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ
เห็นเพียงเวลานี้เป็นเวลาเที่ยง ด้านนอกหมื่นลี้ไร้เมฆ แสงอาทิตย์ส่องสว่าง
สายลมพัดผ่าน นำพาไอร้อนเข้ามา หน้าร้อนได้มาถึงแล้ว
เห็นเพียงชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีน้ำเงินครามบางเบา ระหว่างเอวเพียงคาดเข็มขัดเรียบง่ายเส้นหนึ่ง
ผมยาวดุจน้ำตก ถูกมัดด้วยแถบรัดผมสีน้ำเงินคราม
พญายมวันนี้ แต่งตัวดูสบายเล็กน้อย ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ทุกท่วงท่าของเขายังคงแผ่งความสง่าและสูงศักดิ์ที่มีอยู่ติดกายมาตั้งแต่เกิดออกมา ทำให้น่าหลงใหล
โดยเฉพาะเวลานี้ ชายหนุ่มก้มหน้าลง จดจ่อสมาธิอยู่กับการอ่านหนังสือ
ความจริงจังเช่นนี้ ช่างน่าหลงใหล!
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาสั่นไหวในใจ คล้ายมีกระแสไฟฟ้าสายหนึ่งฟาดเข้าที่ตัวเธอ
อุทานในใจ ที่แท้ท่าทางการอ่านหนังสือของพญายม ก็น่าหลงใหลเช่นนี้
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดอยู่ในใจ กลับไม่รู้ตัวเลยว่าหลังจากตนเข้ามา ก็มีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองบนตัวเธอตลอดเวลา
เห็นเล่อเหยาเหยาพอเข้ามา สายตาก็จ้องเขม็งไปที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ กระพริบตาชั่วครู่ คล้ายภายในแววตาของ ‘เขา’ทั้งหมดมีเพียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋ สำหรับความรู้สึกถูกมองข้ามเช่นนี้ ทำให้หนานกงจวิ้นซีรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
หรือเสน่ห์ของเขาเทียบกับศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้!
คงมิใช่หรอก!
ที่จริงเขาคิดว่ารูปลักษณ์ของตนไม่เลว! เวลาเดินบนถนน จะมีสตรีผู้ใดไม่ตกหลุมรักเขา!
อีกทั้งศิษย์พี่ใหญ่ ใบหน้าก็เย็นชาราวภูเขาน้ำแข็ง คล้ายหากมองนานไปจะถูกแช่แข็งได้ ไม่รู้ว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้มีสายตาเช่นไร จึงชมชอบภูเขาน้ำแข็งนี้ ไม่ชมชอบพระอาทิตย์สดใสเช่นเขา
หนานกงจวิ้นซีบ่นในใจไม่หยุด กลับไม่รู้ตัวว่าเวลานี้ตนคล้ายเด็กน้อยที่โดนแย่งลูกอม ทว่าอยากลิ้มรสยิ่งนัก
หลังเห็นเล่อเหยาเหยาเข้ามา เพียงมองศิษย์พี่ใหญ่อย่างโง่เขลา ท่าทางน่าจะครึ่งวันกว่าจะได้สติ ทำให้ในที่สุดหนานกงจวิ้นซีทนไม่ได้ เอ่ยปากขึ้นอย่างโมโหว่า
“เจ้าบ่าวผู้นี้ เจ้ารู้จักกฎระเบียบหรือไม่! เข้ามาแล้วยังไม่รีบคารวะพวกเราอีก !คงไม่คิดว่าอุบายตนครั้งนี้สำเร็จ จึงลืมสถานะของตนหรอกนะ!”
จากคำพูดไม่พอใจของหนานกงจวิ้นซี ไม่เพียงทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ชำเลืองมองเล็กน้อย กระทั่งเล่อเหยาเหยาที่สติหลุดลอยก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา
เมื่อมองตามน้ำเสียงไม่พอใจนั้นไป เล่อเหยาเหยาสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย ดวงตาปรากฏความตกใจแวบขึ้นมา
เพราะเวลานี้เธอเพิ่งรู้ว่า เดิมทีในห้องหนังสือยังมีคนอื่นอยู่ด้วย!
เมื่อเห็นใบหน้าเบื่อหน่ายของหนานกงจวิ้นซี ทำให้เล่อเหยาเหยายื่นนิ้วกลางขึ้นมาในใจ!
บิดามันเถอะ!
สถานะ สถานะ!
ถูกต้อง เธอตอนนี้เป็นเพียงขันทีน้อยผู้หนึ่ง! เทียบกับพวกเขาที่สถานะสูงศักดิ์ไม่ได้ แต่องค์ชายเช่นเขามีสิ่งใดที่พิเศษกัน! เขาเพียงแต่โชคดีได้เกิดมาในราชวงศ์ หากทิ้งสถานะนี้ไป เขาแทบไม่มีสิ่งใดติดตัว!
อีกทั้งตอนนี้เขาเพียงมาเป็นแขกที่วังของผู้อื่น กลับน่าเบื่อกว่าเจ้าของวังเสียอีก พญายมยังไม่พูดสิ่งใดเลย! เขาโมโหอันใดกัน! ประหลาดคนจริง!
ความไม่พอใจต่อหนานกงจวิ้นซีของเล่อเหยาเหยา เวลานี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แอบบ่นในใจไม่หยุด
แต่ตอนนี้เธออาศัยชายคาบ้านของผู้อื่น จึงต้องก้มหัวลง ใครให้เธอตอนนี้เป็นขันที!
ขณะคิดในใจ ใบหน้าเล่อเหยาเหยาพลันปรากฏทั้งความกลัวและความเกรงออกมา ก้มหน้าหลบตา งอตัวลง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าสำนึกผิดและหวาดเกรง
“บ่าวคารวะท่านอ๋อง คารวะองค์ชายเจ็ด เมื่อครู่บ่าวไม่ได้ลืมสถานะของตน และเห็นว่าท่านอ๋องกำลังอ่านหนังสือ จึงไม่กล้ารบกวนท่านอ๋อง ท่านอ๋องโปรดให้อภัยบ่าวด้วย”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ น้ำเสียงแม้จะต่ำต้อย แต่กลับเบี่ยงประเด็นหาเหตุผลที่ตนเสียมารยาทเมื่อครู่ออกไป
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นท่าทางไร้ศักดิ์ศรีของเล่อเหยาเหยา โดยก้มศีรษะลงต่ำ คล้ายหวาดกลัวเล็กน้อย เมื่อเห็นเช่นนั้น คิ้วงามนั้นอดขมวดเล็กน้อยไม่ได้ ก่อนพลันกวาดดวงตาเย็นชามองไปที่หนานกงจวิ้นซีแวบหนึ่ง
แม้ในสายตาจะไม่มีการตำหนิใดๆ แต่กลับทำให้หนานกงจวิ้นซีรู้สึกผิดหวังในใจอย่างมาก
ศิษย์พี่ใหญ่โทษเขาหรือ! แค่บ่าวรับใช้คนเดียว ศิษย์พี่ใหญ่ใส่ใจมากเช่นนี้เชียวหรือ!
หนานกงจวิ้นซีไม่พอใจในใจ ริมฝีปากแดงน่ามองนั้นอดยื่นออกมาเล็กน้อยไม่ได้ ท่าทางทั้งหมดนั้นคล้ายเด็กน้อยชอบชิงดีชิงเด่นผู้หนึ่ง
ไม่แปลก แม้เขาจะมีสถานะสูงส่ง แต่ปีนี้หนานกงจวิ้นซีก็มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี เป็นผู้ใหญ่เพียงครึ่งหนึ่ง!
นิสัยใจคอดื้อรั้นไปบ้าง เอาแน่เอานอนไม่ได้เป็นเรื่องปกติ
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เข้าใจนิสัยของศิษย์น้องผู้นี้อย่างดี รู้ว่านิสัยของหนานกงจวิ้นซีไม่ได้เลวร้าย แต่กลับเหมือนเป็นศัตรู
คู่แค้นกับเล่อเหยาเหยามาแต่ชาติที่แล้ว ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน สองคนนี้จะทะเลาะกันทุกครั้ง
เห็นมามาก จึงเคยชินเป็นธรรมดา
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋หลุบตาลง จากนั้นเอ่ยปากขึ้นโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาอีก
“หาข้ามีเรื่องใดหรือ”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นชาของพญายม แต่กลับไม่ได้ตำหนิ เล่อเหยาเหยาโล่งใจ และนึกถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ในครั้งนี้ขึ้นมา ดังนั้น รีบเงยใบหน้าเล็กที่แดงก่ำเพราะวิ่งมาที่นี่ขึ้น ก่อนมองเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างดีใจพลางเอ่ยว่า
“ท่านอ๋อง การแข่งขันแสดงความสามารถด้านศิลปะครั้งนี้ แม้จะเป็นเรื่องสมมติ แต่ภายในมีหญิงสาวกว่าสิบคนเข้าร่วม ไม่รู้ว่าหากการแข่งขันครั้งนี้แสดงได้ยอดเยี่ยม จะได้รับรางวัลหรือไม่!”
“รางวัลหรือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ใบหน้าหล่อเหลาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ตะลึงเล็กน้อย จึงเงยใบหน้าเย็นชาเย่อหยิ่งทว่าหล่อเหลาไม่เหมือนใครนั้นขึ้น ก่อนมองไปยังเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านหน้า
เห็นเพียงเวลานี้เล่อเหยาเหยาหลังเอ่ยจบ ดวงตางดงามกลมโตคู่นั้นจ้องเขม็งมาที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ เพราะกลัวจะพลาดสีหน้าบนใบหน้าของเขาไป
อีกทั้ง นั่นคือคนประเภทที่ในใจมีสิ่งใด จะปรากฏออกมาบนใบหน้า ดังนั้นเมื่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋ลืมตาขึ้น เห็นใบหน้าเล็กของเล่อเหยาเหยาเต็มไปด้วยความดีอกดีใจและคาดหวัง พลันรู้ถึงความหมายนั้นของเล่อเหยาเหยาทันที
เดิมทีเขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลย ความจริงการแข่งขันแสดงความสามารถด้านศิลปะนี้คือเรื่องสมมติ และอาจเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นได้
แต่ตอนนี้ เมื่อสายตาของตนสบเข้ากับสายตาคาดหวังของคนตัวเล็กตรงหน้า ในใจเขาอดอ่อนโยนลงไม่ได้
สีหน้าก็อ่อนโยนลงหลายส่วน
เพราะสายตาขันทีน้อยนี้ดูคาดหวังเกินไป ดูปรารถนาเกินไป ทำให้คนอดตัดใจที่จะปฏิเสธออกไปไม่ได้
ดังนั้นหลังจากเงียบอยู่นาน เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเอ่ยปากขึ้น
“ข้าเป็นพวกตระหนี่เช่นนั้นหรือ!”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาตะลึงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมายที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋พูดทันที
ฮ่าๆ เขาพูดเช่นนี้ แสดงว่าการแข่งขันความสามารถด้านศิลปะครั้งนี้ มีรางวัลเช่นนั้นหรือ!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกคล้ายเก็บภูเขาเงินภูเขาทองได้ ยิ้มที่มุมปากออกมาอย่างสดใสมีความสุข
ดวงตากลมโต คิ้วโค้งงอ ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว รอยยิ้มนั้น ดูบริสุทธิ์จริงใจ เจิดจ้า สดใส งดงามอะไรเช่นนี้
คล้ายสายลมในฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น พัดเข้ามาในใจคนอย่างช้าๆ ทำให้คนนึกถึงช่วงกลางของฤดูใบไม้ผลิ
เห็นเช่นนั้น ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดเชิดริมฝีปากเป็นกระจับขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ ยกยิ้มจางๆ ออกมา
สายตาเย็นชามองไปยังเล่อเหยาเหยา ค่อยๆ อ่อนโยนมากขึ้น
เมื่อเห็นทั้งสองคนตรงหน้ายิ้มสบตากัน หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างยิ่งหงุดหงิดใจยิ่งขึ้น
…………………………………………………………………………..