สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 90.3 ระบำอันงดงาม (3) (รีไรท์)
เมื่อสามารถนั่งเรือท่องเที่ยวตลอดวัน ดังนั้นผู้เข้าแข่งขัน คืนนี้จึงเข้าพักในสถานที่ที่กำหนดไว้ รอให้พวกเธอพักผ่อนอย่างเต็มที่ พรุ่งนี้ไปท่องเที่ยวที่ทะเลสาบอย่างปลอดโปร่ง
สำหรับรางวัลในปีนี้ ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงและอิจฉา น่าเสียดายปีนี้หญิงสาวที่เข้าร่วมการแข่งขันมีจำนวนน้อย
ถึงอย่างไรไม่ว่ารางวัลจะมากมายเพียงใด แต่ก็ไม่เทียบเท่ากับชีวิตของตน!
เล่อเหยาเหยาทราบดี ที่เรียกว่าการท่องเที่ยวชมทะเลสาบนั้น ความจริงเป็นข้ออ้างอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หญิงสาวเหล่านี้มารวมตัวอยู่ด้วยกัน เพื่อให้พวกลัทธินอกรีตโยนตนเองเข้ามาในร่างแห
เวลานี้เป็นยามซื่อ[1] ด้านหน้าเวทีเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มารอชมการแสดงความสามารถด้านศิลปะที่จะเริ่มต้นขึ้น
เล่อเหยาเหยาเดินมาที่จุดรวมตัวของผู้คนแล้ว จึงทำการจับฉลาก จากนั้นรอขึ้นทำการแสดงของตนบนเวทีตามลำดับที่ได้รับ
เพราะคนที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ มีจำนวนน้อยเพียงสี่สิบคน ไม่นาน หลังจากทุกคนจับฉลากเสร็จเรียบร้อย เล่อเหยาเหยาจับฉลากได้ลำดับที่สิบแปด ส่วนหนานกงจวิ้นซีกลับได้ลำดับก่อนหน้าเล่อหยาเหยาคือ ลำดับที่สิบเจ็ด
เมื่อเห็นเลขลำดับในมือของตน หนานกงจวิ้นซียิ้มมุมปาก ใบหน้าดูยโสโอหัง ก่อนเอ่ยยิ้มกับเล่อเหยาเหยาว่า
“ฮ่า พวกเราช่างมีวาสนานัก! ขนาดลำดับยังไล่เลี่ยกัน เพียงข้าได้ลำดับก่อนเจ้า รอให้ข้าแสดงจบ เจ้าอย่าตกใจจนยอมแพ้ก่อนเสียละ!”
รู้ว่าคำพูดนี้เป็นการโจมตีของหนานกงจวิ้นซี แต่คนที่ยังไม่แพ้ย่อมมีโอกาส ยังไม่ได้เริ่มแข่งขันเลย!
ผู้ชนะในครั้งนี้ สุดท้ายแล้วหลังจบการแข่งขันถึงจะรู้ผล!
นอกจากนี้เล่อเหยาเหยารู้ดีว่าหนานกงจวิ้นซีตั้งใจพูดเช่นนี้ เพียงคิดอยากให้เธอโมโห
แต่เขายิ่งอยากให้เธอโมโห เธอจะยิ่งเบิกบานใจให้เขาเห็น!
ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าน่าหมั่นไส้ของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาจึงยิ้มมุมปาก สีหน้าดูผ่อนคลาย ยิ้มอย่างอบอุ่นดุจลมในฤดูใบไม้ผลิ อันสดใสงดงาม
“ฮ่าๆๆ องค์ชายเจ็ด บ่าวยอมรับได้ทุกอย่าง แต่กลับไม่รู้จักคำว่าแพ้!”
“โอ้ เจ้าช่างคารมคมคายยิ่งนัก ตอนนี้ยังปากแข็ง ได้! ข้าจะให้เจ้ายอมแพ้แต่โดยดีให้ได้!”
เมื่อเผชิญกับใบหน้ายิ้มแย้มดุจบุปผา และสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของเล่อเหยาเหยา อดพูดไม่ได้ว่าช่างดึงดูดสายตายิ่งนัก
และปลุกความสนใจของหนานกงจวิ้นซีขึ้นมา
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าอีกสักครู่ต้องใช้ความสามารถที่มีทั้งหมด ทำให้ขันทีน้อยนี้ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้ได้
เมื่อเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เพียงเลิกคิ้วอย่างมั่นใจตอกกลับเขาประโยคหนึ่งว่า
“เช่นนั้นเราต้องดูที่ความสามารถกัน!”
…
ในที่สุดการแข่งขันที่ทุกคนรอคอยก็เริ่มต้นขึ้น
แม้ปีนี้จะมีผู้คนเข้าร่วมงานจำนวนไม่น้อย แต่การแสดงปีนี้กลับไม่ยิ่งใหญ่เช่นที่ผ่านมา ไม่สามารถใช้คำว่าครื้นเครงมาอธิบายได้
เพราะในผู้เข้าแข่งขันสี่สิบคน มีเพียงสิบคนที่เป็นผู้หญิงแท้ รวมถึงเล่อเหยาเหยา สรุปมีหญิงสาวเพียงสิบเอ็ดคนเท่านั้น
แน่นอนว่าเรื่องจริงที่เธอเป็นผู้หญิงนั้น ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
นอกจากหญิงสาวสิบคนนั้นจะมีความสามารถด้านศิลปะ ที่แม้จะธรรมดาทั่วไป แต่ยังสามารถทนดูจนผ่านไปได้
กลับกันเมื่อดูเหล่าขันทีที่แต่งกายเป็นหญิง เพราะต่างมีฐานะทางครอบครัวยากจน ต้องทำงานหนักตั้งแต่เด็ก จะมีความสามารถด้านศิลปะได้อย่างไร
ดังนั้นบนเวที เหล่าขันทีจึงแสดงท่าทีอันน่าอับอายออกมา
แม้จะไม่ถูกคนสงสัยว่าคือขันที แต่ความสามารถที่ดูเงอะงะของพวกเขา กลับทำให้ผู้ชมด้านล่างเพียงส่งเสียงโห่ร้อง หรือเสียงหัวเราะออกมาเท่านั้น
หลังจากที่ทุกคนได้ชมการแสดงของสิบอันดับแรกผ่านไป ต่างรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดน่าชม บางคนจึงค่อยๆ จากไป ไม่คิดเสียเวลาดูการแสดงเหล่านี้ต่อไป
กระทั่งหญิงงามรูปร่างสูงโปร่งปรากฎกายขึ้น ทันใดนั้นทุกคนต่างสูดหายใจอย่างตกตะลึงพร้อมกัน
เห็นเพียงหญิงสาวผู้นี้ รูปร่างสูงโปร่ง น่าจะสูงอย่างน้อยหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร
แม้รูปร่าง ‘เธอ’ จะดูสูงเกินไป ถือว่าเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่
แต่กลับไม่ส่งผลต่อความงามของ ‘เธอ’ แม้แต่นิดเดียว
เห็นเพียง ‘เธอ’ สวมกระโปรงแพรสีขาว เมื่อลมพัดผ่านไป ชายผ้าปลิวไสว ชายกระโปรงพลิกตลบ ทว่ากลับทำให้ ‘เธอ’ ยิ่งดูน่าหลงใหลและสง่างามอย่างไม่รู้จบ
ผมยาวดำขลับดุจสาหร่ายทะเล มวยขึ้นรั้งไว้อย่างง่ายดายสง่างาม ตรงกลางปักด้วยปิ่นไข่มุก ทำให้ ‘เธอ’ ดูสง่างามยิ่งขึ้น
ยังมีใบหน้าที่ดูโดดเด่นนั้นของ ‘เธอ’ ราวกับกำลังวาดดอกเหมยฮัวที่ได้รับความนิยมลงไป
ดวงตาดอกท้อที่แคบยาวน่ามองคู่นั้น ถูกวาดขอบตาให้ดูยาวขึ้น ขนตาวาดให้โค้งขึ้นเล็กน้อย ทำให้ ‘เธอ’ ดูงดงามชวนตะลึงมากยิ่งขึ้นจนไร้คำนิยาม
โดยเฉพาะเมื่อ ‘เขา’ หันมามอง งดงามจนอกสั่นขวัญแขวน ชวนหลงใหล!
ด้านล่างจมูกโด่งอันสง่างามนั้น คือริมฝีปากสีแดงสดที่เปี่ยมด้วยความเย้ายวน!
นี่คือใบหน้าที่โดดเด่น ตราตรึงใจผู้ที่ได้เห็น
แม้จะไม่ได้งามล่มเมือง แต่งดงามแปลกตาไม่เป็นสองรองผู้ใด!
เพียงแต่ขณะที่ทุกคนตกตะลึงกับหญิงงามตรงหน้า กลับไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าความจริงหญิงงามผู้นี้คือบุรุษ ไม่ใช่สตรี
หลังจากหนานกงจวิ้นซียืนอยู่บนเวที จนได้รับสายตาตกตะลึงจากทุกคน อาจเพราะชินชากับการถูกผู้อื่นมองด้วยสายตาแปลกประหลาดอยู่แล้ว เวลานี้จึงไม่รู้สึกอันใด
หลังสงบสติอารมณ์ลง ก็ล้วงขลุ่ยหยกที่จัดเตรียมไว้ออกมาจากชายเสื้อ
ถูกต้อง การแข่งขันครั้งนี้เขาคิดแสดงการเป่าขลุ่ย!
อันที่จริงตั้งแต่เด็กจนโต การเป่าขลุ่ยคือสิ่งที่เขาชำนาญที่สุด!
ขณะที่หนานกงจวิ้นซีล้วงขลุ่ยหยกนั้นออกมา เล่อเหยาเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังเวที ก็แอบหลบอยู่ด้านข้างมองดูชายหนุ่มที่ยืนเตรียมเป่าขลุ่ยอยู่บนเวที
แม้จะเกลียดชังชายหนุ่มบนเวที แต่ต้องพูดว่าท่าทางการเป่าขลุ่ยของเขา ช่างสง่างามยิ่งนัก
นอกจากนี้ไม่รู้เพราะแต่งหน้าหรือไม่ เล่อเหยาเหยาจึงพบว่าองค์ชายเจ็ดนี้ ไม่ว่าแต่งกายเป็นบุรุษบุคลิกก็สง่างาม หรือแต่งกายเป็นหญิงงามรูปร่างสูงโปร่ง ต่างก็น่ามองอย่างยิ่ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าการแสดงของเขาจะเป็นเช่นไร
ขณะที่กำลังคิด ก็เห็นหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน ค่อยๆ หยิบขลุ่ยหยกด้ามนั้นขึ้นมาชิดริมฝีปาก ทันใดนั้น เสียงขลุ่ยอันไพเราะก็แว่วเข้าหูของทุกคนอย่างช้าๆ
ดุจไข่มุกร่วงหล่นบนจานหยก[2] ไพเราะน่าฟัง ดุจภูผาสูงสายน้ำไหล [3]ดังกังวานรื่นไหล มีชีวิตชีวา ชวนให้หลงใหล
เมื่อได้ยินเสียงขลุ่ยจากคนบนเวที ทำให้เล่อเหยาเหยาที่กอดอกฟังอย่างสงสัย ตกตะลึงอย่างหนัก
ในสายตาของเธอหนานกงจวิ้นซีตลอดเวลาเป็นเพียงลูกผู้ลากมากดีทำตัวสูงศักดิ์ ไร้ความรู้ความสามารถ
เดิมทีคิดว่าเขานอกจากสถานะสูงส่งนั้นแล้ว จะไร้ความสามารถอย่างอื่น คิดไม่ถึง เขายังจะมีความสามารถอยู่บ้าง!
เสียงขลุ่ยนี้ไพเราะจับใจยิ่งนัก แม้ครั้งก่อนเธอจะเคยฟังเสียงขลุ่ยของพญายมมาแล้ว
แต่ภายในเสียงขลุ่ยของพญายม มักแฝงไปด้วยความโศกเศร้าอย่างไม่ปิดบัง
ส่วนภายในเสียงขลุ่ยของหนานกงจวิ้นซี เต็มไปด้วยความสดใส ความสุข คล้ายกับเสียงน้ำที่ไหลผ่านเข้าไปในใจของผู้ฟัง
เวลานี้จัตุรัสที่เคยวุ่นวายเต็มไปด้วยเสียงผู้คน พลันเงียบสนิทลง ทุกคนต่างนิ่งเงียบฟังเสียงขลุ่ยของหนานกงจวิ้นซีอย่างหลงใหล
จนกระทั่งเสียงขลุ่ยอันไพเราะของหนานกงจวิ้นซีจบลง สะบัดชายเสื้อ ด้วยท่าทีสูงศักดิ์โดยไม่ทิ้งความสง่างาม
ทันใดนั้น จัตุรัสที่เงียบสงบค่อยๆ เกิดเสียงปรบมือดังกังวานขึ้น สุดท้ายทุกคนคล้ายได้สติ เสียงปรบมือดุจอสนีบาติกัมปนาทก้องหูดังไปทั่วจัตุรัส
เมื่อเห็นท่าทีตกตะลึงของทุกคน หนานกงจวิ้นซีเดินลงจากเวทีอย่างสง่างาม ก่อนพลันหยุดตรงหน้าเล่อเหยาเหยา
เลิกคิ้วน่ามองขึ้น ก่อนเอ่ยพลางยิ้มอย่างโอหังให้กับเล่อเหยาเหยาที่สับสนในเสียงขลุ่ยของตน
“เป็นเช่นไร! เสียงขลุยของข้าไพเราะหรือไม่!”
แม้จะเป็นเพียงการแข่งขัน แต่จากแววตาน่าหลงใหลของเล่อเหยาเหยา ยังทำให้หนานกงจวิ้นซีมีความสุข
ความสุขในใจนี้ ไม่รู้เพียงเพราะจะชนะการแข่งขันครั้งนี้อย่างง่ายดาย หรือเพียงอยากสร้างความประทับใจให้กับคนตรงหน้า
ส่วนเล่อเหยาเหยาเมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี จึงรู้ว่าเดิมทีเมื่อครู่ตนเคลิบเคลิ้มไปตามเสียงขลุ่ยของเขาโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้หลังจากได้ยินคำพูดที่เลวร้ายของเขา จึงค่อยๆ พลันได้สติ
[1] ยามซื่อ ช่วงเวลาประมาณ 09.00 น.-11.00 น.
[2] ไข่มุกร่วงหล่นบนจานหยก เปรียบเปรยถึงเสียงดนตรีกระจ่างใสแว่วหวานหู ตรึงใจคนฟัง
[3] ภูเขาสูงสายน้ำไหล เป็นสำนวนเปรียบเปรยถึงความไพเราะของบทเพลง