สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1342 รวดเร็วปานนี้
ตอนที่ 1342 รวดเร็วปานนี้
หวงอาหรงเดาว่าท่านย่าจงใจแต่งตัวนางเพื่อพานางมาให้คนอื่นเชยชม นางต้องเตรียมวางแผนรับมือล่วงหน้า มิเช่นนั้นนางคงต้องถูกหมั้นหมายกับผู้ใดไม่รู้แน่นอน
ต่งเหล่าไท่จวินเห็นหวงอาหรงเชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทีภาคภูมิใจจึงหัวเราะออกมาอย่างคุมไม่อยู่ นางยิ่งรู้สึกถูกใจสาวน้อยคนนี้มากขึ้นทุกที
“ท่านแม่เห็นเรื่องน่าสนใจอันใดกันเจ้าคะ”
ต่งซื่อโบกพัดกลมในมือเบาๆ พลางขยับเข้าไปใกล้ต่งเหล่าไท่จวิน จากนั้นเอ่ยถามเสียงเบา
ต่งเหล่าไท่จวินใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะพลางชี้ให้ต่งซื่อดูหวงอาหรง
ย่าของหวงอาหรงเห็นการกระทำของต่งเหล่าไท่จวินเช่นเดียวกัน นางมองตามสายตาของต่งเหล่าไท่จวิน จากนั้นสีหน้าซีดเผือดลงทันที หวงอาหรงที่ยืนอยู่กับคุณหนูสามตระกูลเจินกำลังฝึกท่ายืนม้าอยู่ตรงนั้นอย่างเปิดเผย คุณหนูสามตระกูลเจินทำตามนางเช่นเดียวกัน…
เหตุใดจึงปล่อยให้เด็กเลอะเลือนสองคนนี้อยู่ด้วยกันได้นะ ใบหน้าของย่าของหวงอาหรงซีดเผือดจนแทบเป็นลมไปเสียตรงนั้น
ไม่นานต่งเหล่าไท่จวินจึงเรียกหวงอาหรงมาพบเพื่อสนทนาด้วยเล็กน้อย นางรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้น่ารักไร้เดียงสามากจึงถอดกำไลในข้อมือของตัวเองออกไปสวมที่ข้อมือของหวงอาหรง
“ดูสิ พอกำไลนี้อยู่บนข้อมือของเด็กสาวก็ดูเปล่งประกายขึ้นมาทันที!”
หวงอาหรงไม่เข้าใจความหมายของต่งเหล่าไท่จวิน นางเข้าใจว่าต่งเหล่าไท่จวินมอบกำไลให้นางเพื่อขอบคุณที่ท่านย่าของนางไปตรวจชีพจรให้ นางปฏิเสธอยู่หลายครั้ง เมื่อเห็นต่งเหล่าไท่จวินยืนกรานที่จะให้นางจึงยอมรับมายิ้มๆ
มองส่งหวงอาหรงเดินจากไป ต่งเหล่าไท่จวินจึงหันไปกล่าวกับต่งซื่อ
“เป็นเด็กใสซื่อจริงๆ”
เมื่อชมดอกไม้กันนานพอสมควรแล้วหลี่ซื่อจึงสั่งให้คนนำน้ำบ๊วยเย็นและขนมหลากหลายชนิดที่ทำจากดอกไม้ไปให้เหล่าขุนนางและครอบครัวของพวกเขา เมื่อทานของว่างเสร็จก็ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี ทุกคนถูกเชิญกลับเข้าไปในตำหนักผิ่นเซียง
อากาศช่วงเดือนห้าเริ่มร้อนแล้ว หลี่ซื่อสั่งให้คนวางกระถางน้ำแข็งสามขาทรงสัตว์มงคลขนาดเท่าครึ่งตัวคนไว้ตามเสาแต่ละต้นในตำหนักอย่างรอบคอบ เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ของตัวเองจะได้ไม่รู้สึกร้อน
เซียวหรงเหยี่ยนสวมชุดสีฟ้าอ่อนผูกผ้าคาดเอวสีเขียวนั่งเอนกายพิงพำนักของเก้าอี้อยู่บนที่นั่งถัดจากที่นั่งของไป๋ชิงเหยียนด้วยท่าทีสบายๆ จนสตรีสูงศักดิ์บางกลุ่มใช้พัดกลมปิดหน้าพลางวิจารณ์เสียงเบาหวิว
ไม่นานขันทีจึงตะโกนขึ้นว่าไป๋ชิงเหยียนมาถึงแล้ว
ทุกคนตำหนักรีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพทันที เซียวหรงเหยี่ยนและขุนนางของต้าเยี่ยนลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน
ไป๋ชิงเหยียนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายซับซ้อนและหรูหราสำหรับใช้ในราชสำนักเป็นชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน หญิงสาวผูกผ้าคาดเอวหยกสีขาวซึ่งเย็บขึ้นอย่างประณีตไว้ที่เอวยิ่งทำให้ร่างของนางดูสูงโปร่งและผอมเพรียวมากยิ่งขึ้น
หญิงสาวปักปิ่นปักผมหยกสีขาวลายห่านป่าไว้บนศีรษะเพียงเล่มเดียว นางสวมกำไลหยกมรกตชั้นดีไว้ที่ข้อมือเรียวเล็กของตัวเอง เนื้อของหยกสะท้อนสีแดงออกมาเล็กน้อย แม้กำไลหยกคู่นี้จะไม่ค่อยเข้ากับชุดที่ไป๋ชิงเหยียนสวมใส่ในวันนี้สักเท่าใดนัก ทว่า หากไม่สังเกตดีๆ ก็คงไม่มีผู้ใดสนใจกำไลที่ข้อมือของนางแน่นอน
เหล่าขุนนางเห็นจักรพรรดินีของตัวเองสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนจึงพากันมองไปทางผู้สำเร็จราชการแห่งต้าเยี่ยนที่สวมชุดสีเดียวกัน พวกเขาได้แต่คิดในใจว่าหากผู้สำเร็จราชการรู้ขอบเขตก็ควรหาข้ออ้างออกไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายของตัวเองเป็นสีอื่นเสีย
ทว่า เซียวหรงเหยี่ยนซึ่งสวมหน้ากากปิดบังใบหน้ากลับทำเพียงยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นปิ่นปักผมห่านป่าน กำไลข้อมือหยกมรกตหรือเครื่องแต่งกายสีเดียวกับเขาของไป๋ชิงเหยียนล้วนทำให้เซียวหรงเหยี่ยนอ่อนยวบไปทั้งใจ ตอนนี้เขามีความสุขมาก
ไป๋ชิงเหยียนนั่งลงบนที่นั่งของตัวเองยิ้มๆ จากนั้นบอกให้ทุกคนลุกขึ้นยืนได้ หญิงสาวพยายามควบคุมสายตาไม่ให้มองไปทางเซียวหรงเหยี่ยน
ต่งซื่อมอบดอกไม้ให้สตรีตระกูลสูงศักดิ์คนละดอกก่อนที่ไป๋ชิงเหยียนจะเดินทางมาที่ตำหนัก ตอนนี้สตรีบางคนทัดดอกไม้พระราชทานไว้บนศีรษะของตัวเองแล้ว
บุรุษที่อยากแย่งตำแหน่งภัสดาไปจากเซียวหรงเหยี่ยนจงใจแต่งกายเลียนแบบเซียวหรงเหยี่ยนตอนเขายังมีชีวิตอยู่ ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางพวกเขาแวบเดียวก็เดาจุดประสงค์ของพวกเขาออกในทันที หญิงสาวได้แต่ก้มหน้ายิ้มๆ ไม่เอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าชายหนุ่มตัวจริงที่นั่งสวมหน้ากากอยู่ข้างๆ นางเห็นแล้วจะรู้สึกเช่นไร
เมื่อไป๋ชิงเหยียนมาถึงเสียงกลองจึงดังขึ้นทันที นางรำสวมชุดเกราะของทหารต้าโจวถือดาบไม้และโล่ไม้เดินกรีดกรายเข้ามาในตำหนัก
เมื่อเสียงกลองดังขึ้นทุกคนจึงเริ่มตื่นเต้นขึ้นทันที
ในวังไม่ได้มีงานเลี้ยงเลยตั้งแต่ไป๋ชิงเหยียนขึ้นครองบัลลังก์ บรรดานางรำจึงไม่ได้แสดงความสามารถของตัวเองสักครั้ง
วันนี้วังหลวงจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้ขึ้น เหล่านางรำอยากเอาใจไป๋ชิงเหยียนจึงเลือกร่ายรำด้วยบทเพลง ‘กองทัพไป๋ออกศึก’
เมื่อนางรำเดินเข้ามาในตำหนักเรียบร้อย เสียงผีผาที่บรรเลงอย่างแผ่วเบาเมื่อครู่จึงเริ่มดังขึ้นกว่าเดิม เหล่านางรำชักดาบออกมาอย่างพร้อมเพรียงและฮึกเหิมราวกับกำลังจะไปทำศึกในสนามรบจริงๆ
เมื่อไป๋ชิงเหยียนซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงเห็นการร่ายรำที่พร้อมเพรียงและสอดประสานของเหล่านางรำจึงนึกถึงเนื้อเพลงนี้ขึ้นมาทันที…
สาวงามอยู่บนเรือกลางทะเลสาบ ได้ยลเพียงเสียงผีผาไร้ซึ่งเงาของสาวงาม
สุราและความงดงามของป่าไผ่ผสมผสาน เสียงบรรเลงดังกระหึ่มขึ้นทันตา
เสียงทุ้มหนักแน่นดังสะเทือนภูผา เสียงเบาทำสายธาราแทบขาดตอน
นิ้วมือบรรเลงอย่างคล่องแคล่ว ราวกับได้ยินเสียงโลหะอาวุธดังกระทบกันข้างใบหู
บทเพลงพลุ่นพล่านสู่สรวงสวรรค์ ท่านแม่ทัพทำลายด่านชิงชีซานแตกแล้ว
หากไป๋ชิงเหยียนจำไม่ผิดอิ๋นไป๋อีผู้แต่งเนื้อเพลงนี้ขึ้นมาติดระดับสองในการสอบหน้าท้องพระโรงครั้งนี้เช่นเดียวกัน
บทเพลง ‘กองทัพไป๋ออกศึก’ โด่งดังในเมืองหลวงของต้าโจวนานแล้ว คณะเต้นรำหลายที่ใช้บทเพลงนี้เป็นเพลงประกอบการแสดงของพวกเขา เหล่าคุณชายได้ยินบทเพลงนี้บ่อยแล้วจึงไม่ได้ตื่นเต้นหรือรู้สึกเลือดร้อนเหมือนช่วงแรก ทว่า บรรดาสตรีที่ถูกผู้ใหญ่รั้งให้อยู่แต่ในจวนกลับรู้สึกตื่นเต้นและแปลกใหม่มาก
โดยเฉพาะบรรดาสตรีของตระกูลแม่ทัพต่างหยัดกายตรง ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว พวกนางอยากชักดาบออกไปสู้รบกับศัตรูตั้งแต่ตอนนี้
“บทเพลง ‘กองทัพไป๋ออกศึก’ เป็นบทเพลงที่ดีจริงๆ อย่างที่คิดไว้จริงๆ”
เซียวหรงเหยี่ยนมองดูนางรำที่สวมชุดเกราะสีเงินยืนอยู่ตรงกลางนางรำคนอื่นๆ กำลังตวัดเพลงดาบราวกับเคยออกรบในสนามรบจริงอย่างไม่ค่อยพอใจสักเท่าใดนัก สตรีผู้นี้ยังห่างไกลจากไป๋ชิงเหยียนหลายขุม
“ได้ยินว่าเมื่อวานการเจรจาระหว่างสองแคว้นไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าใดนัก”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปกล่าวกับเซียวหรงเหยี่ยนยิ้มๆ
“ได้ยินว่าเสนาบดีกรมการคลังของแคว้นต้าเยี่ยนได้รับบาดเจ็บที่ข้อมืออย่างนั้นหรือ”
เซียวหรงเหยี่ยนกล่าวอย่างไม่ได้หงุดหงิดแม้แต่น้อย
“ฝ่าบาท ตอนนี้สองแคว้นกำลังเจรจาต่อรองกันอยู่ แต่ไรมาการเจรจามักมีปากเสียงกันเป็นเรื่องธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า เมื่อวานไป๋ชิงเหยียนได้รับรายงานเรื่องนี้ไม่ขาดสาย ฟ่านอวี้กานผู้นี้เป็นคนเก่งอย่างหาตัวจับได้ยากจริงๆ เขายั่วโมโหจนเสนาบดีกรมการคลังของต้าเยี่ยนแทบสบถด่าออกมาอย่างไม่ไว้หน้า เสนาบดีกรมการคลังตบโต๊ะลุกขึ้นยืนด้วยความโมโหจนได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือ ได้ยินว่าตอนนั้นเขาเจ็บจนหน้าซีดเผือด ทว่า ฟ่านอวี้กานกลับไม่ยอมลงให้แม้แต่น้อย เขาตบโต๊ะพลางหัวเราะด้วยความสะใจ ทั้งยังจงใจกล่าวยั่วโมโหต่ออีกว่า
“สวรรค์มีตา กรรมตามสนองรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ! ว้าว…ช่างเร็วจริงๆ!”