สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1365 เขียนชีวประวัติ
ตอนที่ 1365 เขียนชีวประวัติ
“ใต้เท้าหลิ่ว ข้าเคยบอกหลายรอบแล้วว่าระหว่างจักรพรรดิและขุนนางของต้าโจวไม่จำเป็นต้องมากพิธีเช่นนี้! ทานต่อเถิด” ไป๋ชิงเหยียนบอกเรื่องที่ทูตของเทียนเฟิ่งจะเดินทางมายังต้าโจวให้หลิ่วหรูซื่อรับรู้ระหว่างรับประทานอาหาร หลิ่วหรูซื่อคิดว่าไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง ในเมื่อแคว้นเทียนเฟิ่งอยากมาเจรจาสงบศึกก็ให้พวกเขาเดินทางมาคุยอย่างเปิดเผย เสนอเงื่อนไขอย่างชัดเจนดีกว่าต้าโจวต้องคอยระวังเทียนเฟิ่งอยู่ตลอดเวลา
เมื่อหลิ่วหรูซื่อจากไป ไป๋ชิงเหยียนให้ชุนเถาเก็บอาหารให้เรียบร้อยและตามเฉิงซ่านหรูมาพบนาง
ไป๋ชิงเหยียนสั่งให้คนแยกอาวุธและเสื้อเกราะของช้างศึกของเทียนเฟิ่งออกเป็นชิ้นๆ และส่งไปให้เฉิงซ่านหรูหลังทำสงครามกับแคว้นเทียนเฟิ่งจบเพื่อให้เขาตรวจสอบว่าอาวุธและเกราะช้างของเทียนเฟิ่งทำจากผงหมึกดำที่ไร้เรียมทานที่ไป๋จิ่นถงนำกลับมาให้นางหรือไม่
ไป๋ชิงเหยียนคิดว่าตอนนั้นแคว้นเทียนเฟิ่งไม่ได้เชื่อใจไป๋จิ่นถงเต็มร้อย พวกเขาไม่น่าจะปล่อยให้จิ่นถงนำผงหมึกดำที่ใช้ในกองทัพของเทียนเฟิ่งออกมาจากเทียนเฟิ่งอย่างง่ายดาย ดังนั้นไป๋ชิงเหยียนจึงอยากให้เฉิงซ่านหรูช่วยวิเคราะห์อาวุธและเสื้อเกราะช้างของเทียนเฟิ่งกับผงหมึกดำที่ไป๋จิ่นถงเอากลับมาอย่างละเอียด
ทว่า เฉิงซ่านหรูยังมาไม่ถึง ท่านปรมาจารย์ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงของไป๋ชิงเหยียนกลับมาเสียก่อน
ไป๋ชิงเหยียนรีบวางพู่กันในมือลงและออกไปต้อนรับปรมาจารย์ผู้เฒ่าที่หน้าวังหลวงด้วยตัวเอง ผู้ที่มาพร้อมกับปรมาจารย์ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงคือปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิง
ได้ยินว่าปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงพักอยู่ที่จวนไม้ไผ่ของปรมาจารย์ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงมาโดยตลอด สองผู้เฒ่าแลกเปลี่ยนความรู้ หากมีเวลาก็นั่งเล่นหมากล้อมด้วยกัน ปรมาจารย์ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงเล่าเรื่องของตระกูลไป๋ให้ปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงฟัง ตอนนี้ปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงยุ่งอยู่กับการเขียนชีวประวัติให้ตระกูลไป๋ ประเด็นสำคัญคือสิ่งต่างๆ ที่ไป๋ชิงเหยียนทำล้วนเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การบันทึกลงในชีวประวัติทั้งสิ้น
ไป๋ชิงเหยียนเชิญปรมาจารย์ผู้เฒ่าทั้งสองไปยังตำหนักใหญ่ หญิงสาวไม่ได้นั่งบนบัลลังก์ ทว่า นั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามปรมาจารย์ทั้งสองแทน
เว่ยจงนำชาเข้ามาให้ปรมาจารย์ทั้งสอง จากนั้นถอยออกไป เขาสั่งให้ชุนเถาอยู่ปรนนิบัติคนทั้งสามด้านใน ส่วนตนเองนำของว่างและน้ำไปให้คนบังคับรถม้าและบ่าวรับใช้ของปรมาจารย์ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงและปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงด้วยตัวเอง
เมื่อรู้ว่าปรมาจารย์ผู้เฒ่าทั้งสองมาเพราะเรื่องการเดิมพันด้วยแคว้นไป๋ชิงเหยียนจึงไม่ได้เอ่ยขัดบทสนทนา หญิงสาวฟังปรมาจารย์ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงกล่าวจนจบจากนั้นจึงอธิบายความคิดของตัวเองให้ปรมาจารย์ผู้เฒ่าฟัง
ปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงจ้องหน้าไป๋ชิงเหยียนนิ่ง เขาฟังออกว่าไป๋ชิงเหยียนมีความมั่นใจและเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้ว คำกล่าวของนางดูไม่เหมือนข้ออ้างที่จงใจกล่าวออกมาเพื่อให้ปรมาจารย์ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงสบายใจเท่านั้น ทว่า นางรักและห่วงใยชาวบ้านและทหารทั่วใต้หล้าจริงๆ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่า ปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงก็ยังเอ่ยถามไป๋ชิงเหยียนอยู่ดี “ฝ่าบาททรงไม่กลัวว่าต้าโจวจะพ่ายแพ้และต้องสูญเสียแผ่นดินให้ผู้อื่นหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะกลายเป็นเพียงขุนนางธรรมดาของแคว้นต้าเยี่ยน กระทั่งหากจักรพรรดิและผู้สำเร็จราชการของต้าเยี่ยนโหดเหี้ยมอีกสักนิดพวกเขาคงไม่เก็บตัวอันตรายอย่างฝ่าบาทไว้…กองทัพไป๋ของต้าโจวเป็นสิ่งอันตรายสำหรับทุกคนพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาคมกริบของปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงจ้องไปที่ไป๋ชิงเหยียนนิ่ง ดวงตาคมกริบคู่นั้นเฉียบขาดราวกับภาพลวงตาหรือคำโกหกต่างๆ ไม่สามารถรอดผ่านสายตาเขาไปได้ “กระหม่อมขอเปลี่ยนคำถามใหม่ หากครั้งนี้ต้าโจวพ่ายแพ้ในการเดิมพัน ฝ่าบาทจะทรงยอมแพ้จริงๆ หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนยืดหลังตรง นางโค้งกายคำนับปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยต่อ “หากครั้งนี้ต้าโจวพ่ายแพ้จริงๆ ก็แสดงว่าระบอบการปกครองของต้าโจวยังสู้ต้าเยี่ยนไม่ได้ ถึงเวลานั้นการเปลี่ยนผู้นำและนำระบอบการปกครองของต้าเยี่ยนมาใช้จะราบรื่นกว่า มิเช่นนั้นหากต้าโจวเปลี่ยนระบอบการปกครองใหม่อีกทั้งๆ ที่เพิ่งใช้การปกครองเดิมได้ไม่นานจะทำให้ชาวบ้านหมดความศรัทธาในราชสำนักและจะก่อความวุ่นวายขึ้นได้! ที่ชาวบ้านยอมรับระบอบการปกครองใหม่ของต้าโจวในตอนนี้ก็เป็นเพราะว่าต้าโจวเพิ่งถูกสถาปนาขึ้นใหม่เช่นเดียวกัน”
ปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงตะลึง เขาไม่เคยคิดลึกถึงขั้นนี้มาก่อน…
เขามองเด็กสาวซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉยตรงหน้านิ่ง ใจของเขาเต้นรัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ฝ่าบาททรงยอมสละแผ่นดินต้าโจวที่ยิ่งใหญ่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ต้าเยี่ยนอ่อนแอกว่าต้าโจว หากฝ่าบาทอยากรวมรวบใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง ขอเพียงฝ่าบาทเปิดศึกกับต้าเยี่ยน เกรงว่าไม่เกินห้าปีใต้หล้าแห่งนี้ต้องตกเป็นของต้าโจวแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงเกิดมาในตระกูลนับรบ ฝ่าบาททรงหวาดกลัวการทำสงครามหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วหลังสงครามจบลงเล่า ชาวบ้านล้มตาย เลือดของเหล่าทหารนองแผ่นดิน ต้าโจวต้องใช้เวลาอีกกี่ปีในการฟื้นฟูให้แคว้นกลับมาเจริญรุ่งเรืองดังเดิม ท่านปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงกล่าวถูกแล้ว ไป๋ชิงเหยียนเกิดมาในตระกูลนักรบ ทว่า เป็นเพราะข้าเกิดมาในตระกูลนักรบข้าจึงเห็นชาวบ้านพลัดพรากสูญเสีย เห็นศพของทหารกองเป็นภูเขามามากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นข้าจึงอยากรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งด้วยสันติวิธี!”
ใบหน้าของไป๋ชิงเหยียนเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“ถูกแล้วที่ข้าไม่อยากสูญเสียแผ่นดินต้าโจวไป ทว่า เป็นเพราะข้าไม่อยากสูญเสียมันไปข้าจึงไม่อยากทำให้แผ่นดินแห่งนี้เกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง! ที่สำคัญใต้หล้าแห่งนี้ไม่เคยเป็นของผู้ใดเพียงคนเดียว มันเกิดการผลัดเปลี่ยนเจ้าของมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก่อนหน้านี้แผ่นดินนี้อาจเคยสกุลหลิน เหตุใดตอนนี้ชาวบ้านจะเปลี่ยนไปใช้สกุลอื่นไม่ได้ ในสายตาของไป๋ชิงเหยียน ผู้ที่มีความสามารถปกครองแผ่นดิน ผู้ที่ทำให้ชาวบ้านกินอิ่มนอนหลับ ไม่ต้องทุกข์ทรมานจากความอดอยาก คนผู้นั้นล้วนสามารถเป็นผู้นำของใต้หล้าได้ทั้งสิ้น!” ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองบัลลังก์มังกรที่อยู่บนแท่นสูง “ที่แห่งนั้นไม่ใช่ที่ที่คนมีอำนาจสามารถใช้อำนาจได้ตามใจชอบ ทว่า เป็นที่ที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบและหน้าที่ที่หนักอึ้ง!”
ปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงรู้ว่าไป๋ชิงเหยียนเป็นคนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ทว่า เขาไม่เคยคิดว่าใจของหญิงสาวจะกว้างถึงเพียงนี้ นางเห็นความสำคัญของชาวบ้านมาเป็นอันดับหนึ่งจริงๆ
ไป๋ชิงเหยียนไม่อยากปิดบังอาจารย์ของตัวเองและปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิง “บางทีทุกคนอาจคิดว่าข้าไร้เดียงสาเกินไปที่คิดใช้วิธีนี้รวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง ทว่า ข้าอยากพยายามให้เต็มที่ที่สุด จำเป็นต้องมีคนลองในสิ่งที่ไม่เคยมีผู้ใดลองมาก่อนถึงจะรู้ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่เจ้าค่ะ!”
“ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งนานวันเข้าก็จะถูกแบ่งแยก เมื่อแบ่งแยกนานเข้าก็จะถูกรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง ฝ่าบาทจะทรงมั่นพระทัยได้อย่างไรว่าเมื่อต้าโจวและต้าเยี่ยนรวมเป็นหนึ่งแล้วชาวบ้านจะพบความสงบสุขที่แท้จริงพ่ะย่ะค่ะ” ปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงไม่ได้ต้องการบีบคั้นไป๋ชิงเหยียน ทว่า เขาต้องการเขียนชีวประวัติให้ตระกูลไป๋ดังนั้นเขาจึงต้องถามให้ชัดเจน
“นั่นสินะ ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งนานวันเข้าก็จะถูกแบ่งแยก เมื่อแบ่งแยกนานเข้าก็จะถูกรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง…” ใบหน้าของไป๋ชิงเหยียนมีรอยยิ้มน้อยๆ “ตอนนี้ต้องมีคนรวบรวมมันให้เป็นหนึ่ง ส่วนเรื่องการแบ่งแยก…ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนรุ่นหลังเถิด ไป๋ชิงเหยียนไม่กล้ารับรองเรื่องนี้ ทว่า ขอเพียงไป๋ชิงเหยียนยังมีชีวิตอยู่ ไป๋ชิงเหยียนจะพยายามสุดความสามารถเพื่อความสงบของใต้หล้าแห่งนี้ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาในตระกูลไป๋ก็ควรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง”
ปรมาจารย์ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงหันไปมองปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิง จากนั้นกล่าวยิ้มๆ “เป็นอย่างไรบ้าง ข้ากล่าวไม่ผิดใช่หรือไม่ ลูกศิษย์ของข้าคนนี้มีปณิธานที่อยากปกป้องชาวบ้านและบ้านเมืองเหมือนบรรพบุรุษของนางตั้งแต่อายุสิบสามแล้ว การเดิมพันด้วยแคว้นไม่ใช่การตัดสินใจอย่างวู่วาม สหายเชียนชิว ท่านมองลูกศิษย์ของข้าผิดไปแล้ว!”