สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1476 ฉลาด
ตอนที่ 1476 ฉลาด
เฉินชิ่งเซิงกล่าวว่าเดิมทีชุยเฟิ่งเหนียนอยากเดินทางมาด้วยตัวเอง ทว่า เขายุ่งอยู่ที่ต้าเยี่ยนจนไม่สามารถปลีกตัวมาได้จริงๆ ต่อไปเฉินชิ่งเซิงต้องมาดูแลกิจการระยาวในเมืองกวาตู้แทนชุยเฟิ่งเหยียนดังนั้นเขาจึงอยากมาเยี่ยมแม่ทัพกง หวังว่าแม่ทัพกงจะช่วยดูแลกิจการของชุยเฟิ่งเหนียนเป็นพิเศษ
แม่ทัพกงมองไปทางเฉินชิ่งเซิงที่คราวที่แล้วยังเป็นคนต้าจิ้น ทว่า ตอนนี้กลายเป็นคนต้าโจวไปแล้ว จากนั้นกล่าวขึ้นยิ้มๆ
“ตอนนี้ทหารเรือตงอี๋กับต้าโจวทำสงครามกันอยู่ ทหารเรือของตงอี๋เสียหายที่เกาะยาวกว่าครึ่งกองทัพ ตอนที่ทุกคนในแคว้นตงอี๋ต่างอยากแก้แค้น พวกเจ้าไม่กลัวว่ากิจการของพวกเจ้าจะขาดทุนหากมาเปิดที่นี่อย่างนั้นหรือ”
“ข้าจึงมาขอร้องให้ท่านแม่ทัพกงช่วยคุ้มครองกิจการของพวกข้าอย่างไรเล่าขอรับ เถ้าแก่ของข้ากล่าวว่าตอนนี้ต้าเยี่ยนกับต้าโจวกำลังเดิมพันแคว้นกันอยู่ ต่อให้เกิดสงคราม ทว่า สุดท้ายตงอี๋กับต้าโจวก็ต้องจับมือสงบศึกกันอยู่ดี ต้าโจวเปิดศึกกับตงอี๋ด้วยอารมณ์เพราะเรื่องของหานเฉิงอ๋อง ขอเพียงตงอี๋ขอเจรจาสงบศึกและคืนร่างของหานเฉิงอ๋องและคณะทูตของต้าโจวให้ต้าโจวอย่างนอบน้อม ต้าโจวคงไม่ถือสาเอาความอีกขอรับ มิเช่นนั้นผู้ที่ดีใจที่สุดคงเป็นแคว้นต้าเยี่ยน ต้าเยี่ยนจะชนะเดิมพันในสงคราม แคว้นต้าโจวจะตกเป็นของต้าเยี่ยน จักรพรรดินีแห่งต้าโจวไม่มีทางทำเรื่องที่แคว้นต้าโจวเสียผลประโยชน์ถึงเพียงนั้นแน่ขอรับ เถ้าแก่ของข้าคาดการณ์ถูกมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสตอนที่พ่อค้าต้าเยี่ยนหนีไปจากเมืองกวาตู้เข้ามาลงทุนเปิดกิจการที่นี่ขอรับ”
แม่ทัพกงได้ยินคำกล่าวนี้จึงพึมพำออกมาเบาๆ ว่าพ่อค้าเป็นคนฉลาด จากนั้นจึงรับตำราเนื้อเพลงพิณโบราณที่เฉินชิ่งเซิงนำมามอบให้เอาไว้
ไม่เพียงเท่านี้เฉิงชิ่งเซิงยังบอกแม่ทัพกวนอีกว่าชุยเฟิ่งเหนียนให้เขามาเปิดร้านขายของล้ำค่าในเมืองกวาตู้ ร้านขายของล้ำค่าชุยจี้จะจัดการชุมนุมเยี่ยมชมของล้ำค่าในร้านขึ้นหนึ่งครั้ง เฉินชิ่งเซิงกล่าวว่าชุยเฟิ่งเหนียนให้เขานำไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่เท่าจานอาหารมาเป็นล้ำค่าที่สุดในร้าน หากแม่ทัพกงมีเวลาสามารถไปชมไข่มุกราตรีเม็ดที่งานคืนนี้ได้
เฉินชิ่งเซิงไม่ได้รบเร้าแม่ทัพกงให้มาร่วมงานให้ได้ ทว่า ตอนที่นำบัตรเชิญไปให้คนมีฐานะในเมืองกวาตู้เฉินชิ่งเซิงต่างบอกคนเหล่านั้นว่าเขานำบัตรเชิญไปเชิญแม่ทัพกงด้วยตัวเองเพื่อสื่อเป็นนัยว่าแม่ทัพกงจะมาร่วมงานนี้ด้วย ที่สำคัญร้านขายของล้ำค่าชุยจี้ยังเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้สำหรับคนไปร่วมงานอีกด้วย เขาหวังว่าทุกคนจะมาร่วมงานนี้
ผู้ใดเคยเห็นไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่เท่าจานอาหารมาก่อนบ้าง
บางคนกล่าวว่าเฉินชิ่งเซิงผู้ดูแลร้านชุยจี้โกหก บางคนกลับกล่าวว่าเมื่อไปดูก็จะรู้เองว่าไม่มี!
ตอนนี้ชุยเฟิ่งเหยียนมีชื่อเสียงมาก เฉินชิ่งเซิงคือผู้ดูแลกิจการของชุยเฟิ่งหนียน คนที่ได้รับบัตรเชิญย่อมอยากไปดูให้เห็นกับตาของตัวเองว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
เฉินชิ่งเซิงกำหนดเวลาชมไข่มุกราตรีไว้ที่ช่วงปลายของยามซวี[1]ช่วงต้นของยามไฮ่[2] เขากล่าวว่ายิ่งดึกเท่าใดไข่มุกราตรีก็จะส่องแสงประกายงดงามมากเท่านั้น
เฉินชิ่งเซิงวางแผนกับไป๋ชิงเหยียนไว้ล่วงหน้าแล้ว
เขาเริ่มจัดงานขึ้นในช่วงปลายของยามซวี กองทัพไปจะบุกมาถึงเมืองกวาตู้ในช่วงปลายของยามไห่ เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วยามคนที่มาร่วมงานคงเริ่มเมาไม่ได้สติกันแล้ว หลังจากนั้นเฉินชิ่งเซิงสามารถอาศัยไมตรีที่มีระหว่างแม่ทัพกงส่งอาหารเลิศรสไปให้เขาที่จวนได้หากเขาไม่มาร่วมงาน
เรือหลายลำลอบขึ้นไปบนฝั่งของแคว้นตงอี๋อย่างเงียบเชียบในช่วงซานเค่อของยามไฮ่[3]ท้องทะลที่กว้างใหญ่ตรงหน้ามืดสนิทไม่มีแสงไฟแม้แต่น้อย ไป๋ชิงเจวี๋ยสั่งให้เรือรบทุกลำดับไฟทุกดวงให้มืดสนิทตอนเรือรบใกล้ถึงชายฝั่ง
เมื่อใกล้ถึงชายฝั่งทหารกองทัพไป๋ต่างเปลี่ยนไปนั่งเรือเล็กเพื่อมุ่งหน้าไปยังชายฝั่ง ตอนนี้ไป๋ชิงเหยียนซึ่งอยู่ที่ด่านหลิ่วกวนยังไม่ได้ให้กองทัพไป๋บุกโจมตีเมืองชิงกวนทันที ทว่า นางสั่งให้ทหารอาศัยความมืดวางกับดักไว้บนที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองหลิ่วกวนกับกวาตู้
แคว้นตงอี๋เป็นแคว้นเล็กดังนั้นจำนวนประชากรและกองทัพจึงน้อยตามไปด้วย
ไป๋ชิงเหยียนคำนวณดูแล้ว หากเมืองกวาตู้เกิดสงครามขึ้น ทัพเสริมที่สามารถบุกมาช่วยเหลือได้เร็วที่สุดคือกองทัพของทหารที่เมืองหลิ่วกวนซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแคว้น หากแม่ทัพคุ้มกันเมืองหลิ่วกวนไม่ใช่คนรักตัวกลัวตายเขาต้องยกทัพไปช่วยเหลือเมืองกวาตู้แต่น้อย ไป๋ชิงเหยียนสามารถวางกับดักระหว่างทางเพื่อกำจัดกองทัพส่วนหนึ่งของเมืองหลิ่วกวนเสียก่อน เช่นนั้นการโจมตีเมืองกวาตู้จะยิ่งง่ายดายมากยิ่งขึ้น
เมื่อเมืองกวาตู้เกิดสงครามขึ้นในยามไฮ่ต่อให้แม่ทัพคุ้มกันเมืองกวาตู้จะเป็นคนสมองช้าเพียงใด ทว่าภายในครึ่งชั่วยามเขาต้องตระหนักได้ว่ากองทัพในเมืองต้านทานกองทัพไป๋ไม่ได้แน่นอน เขาต้องส่งทหารไปขอความช่วยเหลือจากเมืองอื่นแน่ ระยะทางจากเมืองกวาตู้ไปยังหลิ่วกวน…หากเร่งเดินทางจริงๆ คงใช้เวลาไม่เกินสองชั่วยามเท่านั้น
ไป๋ชิงเหยียนอยากยึดเมืองหลิ่วกวนให้ได้ก่อนฟ้าสว่างเพื่อพักผ่อนเติมพลัง จากนั้นค่อยออกเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงของตงอี๋
ส่วนเฉินชิ่งเซิงยังต้องแสดงละครตบตาผู้อื่นต่อไปเพราะไป๋จิ่นถงยังไม่อยากเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตัวเอง
ความมืดในยามค่ำคืนในคืนนี้เป็นใจมาก แสงจันทร์และแสงดาวบนท้องฟ้ามีเพียงน้อยนิด
เฉินชิ่งเซิงเช่าจวนหรูไว้จวนหนึ่งเพื่อจัดงานในครั้งนี้ เขาจัดงานเลี้ยงครั้งนี้แบบหลิ่วสุ่ยสี[4] จัดที่นั่งไว้ตามแม่น้ำจำลองที่คดเคี้ยวไปมากลางลานหญ้า
น้ำจากกระบอกไม้ไผ่หยดกระทบลงบนก้อนหินใหญ่ในลำน้ำที่จำลองขึ้นมา จากนั้นไหลไปตามลำน้ำ กลางแม่น้ำจำลองคือถาดอาหารที่ไหลไปตามกระแสน้ำ ในถาดอาหารคืออาหารรสเลิศที่คนแคว้นตงอี๋ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน สองข้างของแม่น้ำจำลองคือหินไฟขนาดเล็กที่ให้แสงสว่างอย่างพอเหมาะ แสงไฟอ่อนๆ จากก้อนหินส่องกระทบลงบนอาหารแต่ละชนิดที่ไหลไปตามกระแสน้ำ เป็นภาพที่ดูงดงามเย้ายวนจนน่าลิ้มลองทานมาก
เฉินชิ่งเซิงเห็นเวลาสมควรแล้วจึงกล่าวขึ้นยิ้มๆ
“ต่อมาข้าจะให้ทุกท่านได้พบกับของล้ำค่าที่สุดของร้านชุยจี้ขอรับ!”
เฉินชิ่งเซิงกล่าวพลางปรบมือขึ้นเสียงดัง ไม่นานบ่าวรับใช้สี่คนก็ยกโต๊ะวางสมบัติที่มีผ้าสีแดงปักลายนกกระเรียนสีขาวคลุมอยู่เข้าไปวางไว้ใกล้ร่างของเฉินชิ่งเซิง
“ของล้ำค่าชิ้นนี้คือไข่มุกราตรี ตอนกลางวันมันดูเหมือนไข่มุกธรรมดา ทว่า หากตกกลางคืนมันจะส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงจันทร์ หากวางในห้องมันจะทำให้ห้องสว่างราวกับอยู่ในช่วงเวลากลางวัน หากวางไว้ด้านนอกมันจะทำให้ด้านนอกสว่างราวกับมีดวงจันทร์ส่องแสง ดังนั้นของล้ำค่าชิ้นนี้จึงมีนามว่าดวงจันทร์ในใต้หล้า”
เฉินชิ่งเซิงยืนอยู่ข้างโต๊ะวางสมบัติอย่างมีลับลมคมนัย
“มันคือของล้ำค่าที่สุดของร้านชุยจี้ เชิญทุกท่านรับชมได้”
เฉินชิ่งเซิงกล่าวจบจึงดึงผ้าลายนกกระเรียนสีแดงออก ทว่า สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
แขกที่มาร่วมงานต่างส่งเสียบซุบซิบ…
“นี่มันก้อนหินธรรมดาไม่ใช่หรือ”
“นั่นนะสิ ไม่เห็นส่องแสงสว่างราวพระจันทร์เลย!”
“เกิดอันใดขึ้น! ไข่มุกราตรีอยู่ที่ใด!”
เมื่อเฉินชิ่งเซิงเห็นก้อนหินก้อนใหญ่วางอยู่บนโต๊ะก็เบิกตาโพลงออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าของเขาซีดเผือด
“จิ่วกวน ไข่มุกราตรีอยู่ที่ใด!”
คนที่นามว่าจิ่วกวนรีบวิ่งเข้าไปหาเฉินชิ่งเซิง
“ท่านผู้ดูแล…ข้าไม่ทราบขอรับ พวกเราเฝ้าไข่มุกราตรีไว้ตลอดไม่ได้คลาดสายตาเลยขอรับ!”
[1] ยามซวี ช่วงเวลา 19.00-21.00 นาฬิกา
[2] ยามไฮ่ ช่วงเวลา 21.00-23.00 นาฬิกา
[3] ซานเค่อของยามไห่ หมายถึงเวลาประมาณ 22.15 นาฬิกา
[4] หลิวสุ่ยสี เป็นงานเลี้ยงแบบเสิร์ฟอาหารไม่ขาดตอนประหนึ่งสายน้ำไหล อาจเรียกอีกอย่างว่างานเลี้ยงสายน้ำไหล